|
สตาร์ทและอุ่นเครื่องยนต์ ตอนเช้า

หลังจากรถของท่านจอดนอนพักผ่อนมาในตอนกลางคืน เครื่องยนต์ที่เคยร้อนตอนใช้งาน ก็จะเย็นลงจนมีอุณหภูมิเท่ากับหรือใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อม และ ณ เวลาที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่นี้ หากมีการใช้งานเครื่องยนต์ก็จะมีการสึกหรอที่สูงมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บทความนี้ มีข้อแนะนำสำหรับการใช้รถในช่วงเช้าหลังจากสตาร์ทเครื่องใหม่ ๆ แต่ก่อนจะถึงข้อแนะนำ เราลองมาดูที่สาเหตุของการสึกหรอกันก่อนนะครับ
สาเหตุหลักที่เครื่องยนต์จะมีอัตราการสึกหรอสูงในตอนเช้า ขณะเครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ มีดังนี้
- ขณะกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องที่รวมกันอยู่ด้านล่างของเครื่องยนต์ จะยังไม่สามารถกระจายไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ในเครื่องยนต์ได้ ชิ้นส่วนในเครื่องจะเสียดสีกันโดยตรงโดยไม่มีการหล่อลื่น (อาจมีสารหล่อลื่นตกค้างอยู่บ้าง แต่น้อยมาก) ทำให้มีการสึกหรอสูงมาก
- น้ำมันเครื่องที่เย็นจะมีความหนืดสูง แม้ว่าเครื่องยนต์จะสตาร์ทติดแล้ว มีน้ำมันกระจายไปหล่อลื่นส่วนต่าง ๆ แล้ว แต่อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องยังต่ำอยู่ ความสามารถในการหล่อลื่นก็จะยังไม่ดีนัก จนกว่าจะถึงอุณหภูมิใช้งานของเครื่องยนต์ (การใช้น้ำมันเครื่องเกรดรวมหรือแบบ multi-grade ซึ่งเป็นน้ำมันเครื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงความหนืดน้อยกว่าน้ำมันเครื่องปกติเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป จะช่วยให้อัตราการสึกหรอจากกรณีนี้ลดลง)
เมื่อเครื่องยนต์และน้ำมันเครื่องร้อนขึ้น การหล่อลื่นก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น อัตราการสึกหรอก็จะค่อย ๆ ลดลงจนมีอัตราการสึกหรอต่ำสุด เมื่อเครื่องยนต์ร้อนถึงอุณหภูมิใช้งาน โดยเราสามารถสังเกตดูได้ที่เกจวัดอุณหภูมิบนแผงหน้าปัทม์ ในปัจจุบันผู้ผลิตมักออกแบบให้เข็มความร้อน เมื่อมาอยู่ ณ ตำแหน่งตรงกึ่งกลางของเกจ ก็จะหมายถึงว่าเครื่องยนต์ได้มาอยู่ ณ อุณหภูมิใช้งานพอดีแล้ว
จากสาเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อยากให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาข้อเสนอแนะเหล่านี้ดู
1. ในเมื่อตอนกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นช่วงที่มีการสึกหรอมากที่สุด ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอน้อยที่สุด เราก็จะต้องสตาร์ทเครื่องให้น้อยครั้งมากที่สุด และเพียงครั้งละสั้น ๆ เท่านั้น หรือกล่าวคือเราต้องการให้เครื่องยนต์ของเราสตาร์ทติดง่ายนั่นเอง 1.1 จะต้องมีการดูแลและตรวจเช็คระบบไฟฟ้า ที่เกี่ยวข้องกับการสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่เสมอ ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น แบตเตอรี่ สตาร์ทเตอร์ หัวเทียน (เบนซิน) ระบบจุดระเบิด สายไฟ จุดเชื่อมต่อสาย ฯลฯ 1.2 ต้องมีการดูแลและตรวจเช็คระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่เสมอ ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน คาร์บูเรเตอร์ หัวฉีด ท่อน้ำมัน ฯลฯ 1.3 ต้องมีการปรับตั้งเครื่องยนต์ให้ถูกต้อง ตามที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้
2. หลังสตาร์ทเครื่องติดใหม่ ๆ ยังไม่ควรให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก จนกว่าเครื่องยนต์จะร้อนถึงอุณหภูมิใช้งานแล้ว 2.1 เมื่อสตาร์ทเครื่องติดแล้วควรปล่อยทิ้งไว้ (อุ่นเครื่อง) สักพัก สักพักที่ว่านี้มีแนะนำกันมากมาย ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงนานเป็นนาที สำหรับความเห็นของผมน่าจะทิ้งไว้ประมาณ 8-12 วินาทีก็พอ เพื่อให้น้ำมันเครื่องได้ไหลเวียนกระจายไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ทั่วถึง จากนั้นก็ออกรถได้แล้ว แต่ถ้าเป็นบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นก็ควรจะทิ้งไว้นานกว่านี้นะครับ เพื่อให้ตอนออกรถ น้ำมันเครื่องไม่หนืดจนเกินไป 2.2 ออกรถอย่างนิ่มนวล ใช้อัตราเร่งที่ต่ำ ใช้ความเร็วรอบต่ำ ๆ (ไม่ควรเกิน 2,500 รอบ/นาที) จนกระทั่งเข็มของเกจวัดอุณหภูมิขึ้นมาอยู่ใกล้ตำแหน่งกึ่งกลาง แล้วทีนี้ก็ขับตามสบายครับ
3. ระบบระบายความร้อน 3.1 ต้องมีการดูแลและตรวจเช็คระบบระบายความร้อนอยู่เสมอ ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น ระดับน้ำหล่อเย็น หม้อน้ำและน้ำยากันสนิม พัดลม ปั๊มน้ำ สายพาน ท่อน้ำ เทอร์โมสตัท ฯลฯ การที่ระบบระบายความร้อนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เครื่องยนต์ที่พึ่งสตาร์ทใหม่ ๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้นไปถึง ณ อุณหภูมิใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ให้อยู่ที่อุณหภูมิดังกล่าวไว้ได้ตลอดเวลา 3.2 เทอร์โมสตัท เป็นชิ้นส่วนมีบทบาทที่สำคัญมากอันหนึ่ง ที่จะทำให้เครื่องยนต์มาอยู่ ณ อุณหภูมิใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และรักษาอุณหภูมิดังกล่าวให้คงที่ไว้ได้ โดยการเปิดปิดวาล์วน้ำให้น้ำหล่อเย็นผ่านไปที่หม้อน้ำ เพื่อระบายความร้อนในอัตราปริมาณที่เหมาะสม สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของเครื่องยนต์
ดังนั้น การถอดเทอร์โมสตัทออกไป ก็จะเป็นผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบระบายความร้อนลดลง
4. น้ำมันเครื่อง 4.1 ใช้เกรดน้ำมันเครื่องให้ตรงตามที่ผู้ผลิตกำหนด น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดมากหรือน้อยเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพการหล่อลื่นโดยรวมลดลง 4.2 เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะทางหรือระยะเวลา (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ น้ำมันเครื่องเก่าเกินอายุการใช้งานจะมีคุณสมบัติการของหล่อลื่นต่ำ เศษโลหะที่สึกหรอซึ่งตกค้างอยู่ในน้ำมันเครื่อง จะเป็นตัวเร่งการสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนี้สารเพิ่มประสิทธิภาพต่าง ๆ (additives) ที่ผสมอยู่ในน้ำมันเครื่องก็เสื่อมคุณสมบัติในการทำงานไปแล้ว
การปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าวข้างต้น จะเป็นผลให้อัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างช้า ๆ เครื่องยนต์จะมีอายุการใช้งานยาวนาน และจะช่วยประหยัดค่าซ่อมหรือค่าบำรุงรักษาในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับท่านที่มีเวลาน้อยต้องรีบเร่งอยู่เสมอ หรือท่านที่ใช้รถเพียงไม่นานก็เปลี่ยนซื้อใหม่แล้ว อันนี้ก็คงต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักกันเอาเองนะครับ
บทความนี้ ผู้เขียนมีเจตนาจะกล่าวถึงเฉพาะช่วงที่สตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ ไม่ได้มีการกล่าวถึง ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็มีข้อแนะนำสั้น ๆ ว่า หากรถของท่านมีความร้อนขึ้นสูงแล้ว (เกิน 3/4 ของเกจ) ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะฝืนขับต่อไป เพราะจะทำให้เครื่องยนต์บอบช้ำ และอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายอย่างหนักได้ ควรจะหาที่จอดและให้ช่างมาตรวจสอบ กรณีนี้ต้องใจเย็นๆ
อีกประการหนึ่งคือในการขับรถเราควรต้องมองเกจ และไฟเตือนบนหน้าปัทม์อยู่เสมอ ๆ พยายามทำให้เป็นนิสัย สิ่งนี้จะช่วยในเรื่องความปลอดภัย และช่วยลดความเสียหายลงได้มาก หากรถของท่านมีข้อบกพร่องเกิดขึ้น
ที่มา : coronathailand.com ภาพจาก : //eroundlake.com
สารบัญ รู้เรื่องรถ
Create Date : 11 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2554 16:22:23 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1105 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: คนรักรถ IP: 119.42.82.209 วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:10:27:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณมากๆครับสำหรับบทความนี้