อยากให้รถหอม
การสำรวจอย่างไม่เป็นทางการ หรือการสำรวจด้วยตัวผมเอง พบว่าเจ้าของรถยนต์ชาวไทย เป็นกลุ่มเจ้าของรถยนต์ที่มีความรักรถยนต์ของตนเองมากที่สุดในโลก โดยมีข้อสังเกตจากการที่เจ้าของรถยนต์ชาวไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเจ้าของที่มีรถยนต์ใหม่ป้ายแดงเป็นของตนเองคันแรกในชีวิต
เจ้าของรถยนต์กลุ่มนี้ มักจะจ่ายเงินเพิ่มจากค่าตัวรถยนต์มาตรฐานทั่วไปอีก ไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของราคาค่าตัวรถยนต์ เงินจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบที่เพิ่มขึ้นมานั้น เกือบทั้งหมดไม่ได้จ่ายเพิ่มเพื่อทำให้สมรรถนะ และประสิทธิภาพของรถยนต์ดีขึ้นแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อทำให้เจ้าของรถเกิดความรู้สึกว่า รถยนต์คันใหม่ของตนเองมีความสวยงาม และจ่ายให้กับเครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และสร้างความเพลิดเพลินเสียมากกว่า
ปัจจุบันนี้ รถยนต์กว่าร้อยละเก้าสิบห้าที่วิ่งบนท้องถนนทั่วประเทศไทย ล้วนแต่ได้รับการติดตั้งระบบปรับอากาศ เพื่อทำความเย็นในห้องโดยสารเข้าไปแล้วทั้งสิ้น ปัญหาจากระบบปรับอากาศ จึงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจำนวนมากอีกประการหนึ่ง ซึ่งคนที่มีหน้าที่ตอบปัญหาอย่างผม ต้องพลอยรับรู้และศึกษาหาวิธีการใช้งานเพื่อป้องกันความเสียหาย และศึกษาหาข้อมูลสำหรับการแก้ไขซ่อมแซมเมื่อเกิดความเสียหาย เพื่อคอยสนองตอบความต้องการในคำตอบของผู้ใช้รถไปด้วย
คุณอนรรฆพร ส่งอีเมลมาที่ pattanadesh@nationgroup.com เพื่อถามผมเกี่ยวกับระบบปรับอากาศภายในรถ มีใจความว่า
ถาม ใช้รถยนต์ใหม่ป้ายแดงมาได้ 3 ปีแล้ว อยู่ๆ เกิดแอร์ไม่เย็นขึ้นมา จึงเอารถไปให้ที่ศูนย์บริการเจ้าประจำตรวจเช็ค เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นบาท จึงนำรถกลับมาที่ร้านแอร์แถวบ้าน (เป็นร้านเดียวกันกับที่คุณพัฒนเดชเคยแนะนำเมื่อหลายปีมาแล้ว และจดเบอร์โทรศัพท์เอาไว้)
ช่างที่ร้านแอร์บอกว่าถอดตู้แอร์มาล้างก็หาย เสียค่าใช้จ่ายไม่เกิน 2,500 บาท จึงตกลงให้เขาทำ เสียเวลาไปประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ได้แอร์ใหม่เย็นฉ่ำสบายใจ แต่มีข้อสงสัยคือ ตอนที่ช่างถอดตู้แอร์มาล้าง พบว่ามีคราบคล้ายแป้งเปียกเหนียวๆ ติดตามครีบตู้แอร์ ช่างบอกว่าเกิดจากการใช้น้ำหอมปรับอากาศ
จึงสงสัยว่าจริงหรือไม่ และหากต้องการให้รถไม่เหม็นอับ จะทำอย่างไรหากน้ำหอมปรับอากาศ เป็นต้นเหตุให้แอร์เสียจริงตามที่ช่างบอกและตนเองได้เห็นมากับตา
ตอบ ผมมีความเห็นคล้อยตามกับที่ช่างบอกคุณ เพราะเท่าที่ได้รับทราบข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า รถยนต์ที่ใช้พิมเสน, การบูร หรือสารหอมระเหยอื่นๆ วางไว้ในห้องโดยสารเป็นประจำ มักจะมีปัญหาเรื่องตู้แอร์ตันง่ายกว่ารถที่ไม่ใช้ และในทางการแพทย์ ก็มีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สารระเหยที่สามารถสูดดมทางจมูก เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่เยื่อโพรงจมูก ทำให้โพรงจมูกบวม และเกิดอาการคัดจมูกถาวรได้
ในสมัยที่ผมยังชมชอบการมีกลิ่นหอมในห้องโดยสาร ผมจะใช้น้ำหอมหรืออาฟเตอร์เชพกลิ่นที่ผมชอบ เอามาหยดใส่ในสำลีที่ปั้นเป็นก้อน หรือหยดลงในก้นกรองบุหรี่ที่ยังไม่ได้ใช้ แล้วเอาสำลีหรือก้นกรองบุหรี่นั้น ไปจุกไว้ที่ช่องแอร์ช่องใดช่องหนึ่ง เมื่อเปิดแอร์ใช้งานขึ้นมาคราใด ลมเย็นจากแอร์ที่พัดผ่านสำลีหรือก้นกรองบุหรี่ซึ่งชุบน้ำหอมเอาไว้ ก็จะพัดพากลิ่นหอมให้ลอยจรุงตามมาด้วยพอได้ชื่นใจ สักหนึ่งสัปดาห์ก็เปลี่ยนสำลีก้อนใหม่ครั้งหนึ่ง เท่านี้ก็หอมจนอารมณ์ดีได้โดยไม่ต้องไปซื้อสารใดๆ มาวางในรถ
สำหรับหลายท่านที่ไม่ต้องการกลิ่นหอมใดทั้งสิ้น ต้องการเพียงแค่ไม่ให้รถมีกลิ่นเหม็นอับขึ้นมาในห้องโดยสารเท่านั้น ก็ทำเพียงแค่ การเอาผ้ายางปูพื้นออกมาล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งก่อนใส่กลับเข้าไป สัปดาห์ละครั้ง รื้อพรมปูพื้นออกมาตากแดดเดือนละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝน หากอยู่ในช่วงที่ไม่โดนฝนหรือความอับชื้น อาจจะทำ 3 เดือน/ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว
* พยายามหาที่จอดรถที่ปลอดภัยกลางแสงแดด แล้วเปิดบานประตูทั้งหมดออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ โดยจอดรถให้มีมุม ซึ่งแสงแดดจะชอนไชเข้าไปในห้องโดยสารได้ลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้แสงแดดเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคและความอับชื้นออกไปจากห้องโดยสาร
* พึงหลีกเลี่ยงการขึ้นนั่งในรถขณะที่ตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อไคล หรือหลังเล่นกีฬามาใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่มีเบาะเป็นผ้า หรือวัสดุสังเคราะห์จำพวกผ้าชนิดต่างๆ หากจำเป็นก็ต้องจัดการทำให้พนักพิงเบาะ และพื้นรถแห้งสนิทเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังใช้รถ หลีกเลี่ยงการเอาผ้าเปียกๆ เช่น ผ้าเช็ดรถ, เสื้อผ้าที่เพิ่งผ่านการเล่นกีฬาและโชกไปด้วยเหงื่อ ขึ้นไปในห้องโดยสารโดยไม่มีการห่อหุ้มอย่างมิดชิด
* หลีกเลี่ยงการนำเอารองเท้าผ้าใบที่มีกลิ่นเหม็นอับ ไปวางไว้ในห้องโดยสาร หรือแม้แต่ในห้องเก็บของท้ายรถโดยไม่มีวัสดุห่อหุ้มให้มิดชิด
* และเมื่อนำเอาอาหารหรือสิ่งของที่มีความเปียกชื้น หรือมีกลิ่นรุนแรงเข้าไปในรถ ต้องรีบขจัดกลิ่นและความชื้นทันทีหลังจากการใช้งาน เพียงเท่านี้ รถของคุณก็จะไม่มีปัญหาเรื่องของกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์แล้วครับ
โดย พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ที่มา : //www.bangkokbiznews.com
สารบัญ รู้เรื่องรถ
Create Date : 01 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 1 พฤษภาคม 2554 15:11:06 น. |
|
6 comments
|
Counter : 6632 Pageviews. |
|
|
|