ทำไม ! ต้องตรวจเลือด – ตรวจปัสสาวะ
ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้ หลายโรคไม่สามารถวินิจฉัยได้ทันที แต่จำเป็นต้องมีการตรวจ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และนำผลที่ได้มาประกอบการวินิจฉัย เพื่อวางแผนการรักษา แต่ท่านทราบหรือไม่การตรวจด้วยวิธีนี้เขาต้องเตรียมตัวกันอย่างไร และประโยชน์ที่ได้มีอะไรบ้าง ติดตามกันเลยค่ะ การตรวจเลือด
• ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนตรวจ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหมจนเกินไป งดดื่มสุรา งดยาบางชนิด(ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง) ท่านสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ยกเว้นในการตรวจหาปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด ควรงดอาหารนาน 8–12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด (ดื่มน้ำเปล่าได้) • ตรวจเลือดแต่ละครั้งต้องใช้เลือดปริมาณเท่าไร ใช้เลือดประมาณ 8–10 ซีซี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเลือดในร่างกายที่มีทั้ง หมดประมาณ 5,000 ซีซี ดังนั้นจึงไม่มีผลเสียต่อร่างกาย ส่วนการบริจาคเลือดแต่ละครั้ง ผู้บริจาคจะเสียเลือดประมาณ 400 ซีซี. โดยที่ไม่มีอันตรายใด ๆ • ใช้เวลาเท่าไรจึงจะทราบผล ประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับการตรวจเลือดตามปกติ เช่น การตรวจเม็ดเลือด การตรวจ สมรรถภาพของตับและไต ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด แต่สำหรับการตรวจพิเศษบางอย่าง อาจต้องใช้เวลานานเป็นวันจึงจะทราบผล เช่น ผลการเพาะเชื้อจากเลือด เป็นต้น
• เลือดที่ถูกเจาะไป ใช้ตรวจอะไรได้บ้าง - ตรวจนับเม็ดเลือด เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเลือด เช่น ทาลัสซีเมีย ลิวคีเมีย - ตรวจสมรรถภาพของตับ ช่วยในการหาสาเหตุของภาวะดีซ่าน ช่วยวินิจฉัยโรคตับ เช่น - ตรวจสมรรถภาพของไต ช่วยในการวินิจฉัยโรคของไต เช่น ภาวะไตวาย - ตรวจระดับไขมันในเลือด ช่วยในการวินิจฉัยภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน - ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน - ตรวจหาปริมาณฮอร์โมน ช่วยวินิจฉัยโรคของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ - ตรวจหาโรคติดเชื้อทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส - ตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคออโตอิมมูน เช่น โรคเอสแอลอี โรคข้ออักเสบรูห์มาตอยด์ นอกจากนี้ยังมีการตรวจพิเศษอีกหลายชนิด ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาส่งตรวจตามความเหมาะสม • นอกเหนือจากการตรวจน้ำตาลในเลือด มีการตรวจอะไรที่ช่วยติดตามผลการรักษาผู้ป่วย โรคเบาหวานได้ดีกว่าการตรวจระดับ Hemoglobin A1C จะสามารถช่วยติดตามผลการ รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดีกว่าการตรวจน้ำตาลในเลือดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสามารถ บอกได้ถึงระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยภายในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
• การตรวจเลือดสามารถบอกถึงสาเหตุโลหิตจางได้หรือไม่ได้บางชนิด เช่น ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โรคโลหิตจางทาลัสซีเมีย ภาวะการแตกสลายของเม็ดเลือดแดง เป็นต้น
• โรคหัวใจวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดได้หรือไม่ ได้ เพราะจากประวัติการเจ็บหน้าอก การตรวจร่างกาย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ร่วมกับการ ตรวจเลือด จะช่วยในการวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการตรวจเลือดในปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นมากจนสามารถใช้วินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือดได้ ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง และยังช่วยแยกโรคที่มีอาการใกล้เคียงกัน ทำให้แพทย์สามารถให้ การรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง • โรตไต วินิจฉัยจากการตรวจเลือดได้หรือไม่ ? ได้ เนื่องจากการตรวจเลือดสามารถบอกถึงประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียจากไตทางอ้อม โดยสังเกตจากปริมาณของเสียที่หลงเหลืออยู่ในเลือด และเมื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยร่วม กับประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกายและผลการตรวจปัสสาวะ จะช่วยให้วินิจฉัยโรคหรือยืนยันการเกิดโรคไตได้ การตรวจปัสสาวะ
มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการบอกถึงความผิดปกติของไต และระบบทางเดิน ปัสสาวะ โดยบอกได้ทั้งความผิดปกติของหน้าที่การทำงาน เช่น ไตวาย และความผิดปกติทางกายวิภาค เช่น การอักเสบติดเชื้อ นิ่ว เป็นต้น • เตรียมตัวให้พร้อม.... เก็บปัสสาวะที่ถ่ายหลังตื่นนอนตอนเช้า เพราะจะมีความเข้มข้น สามารถพบตะกอนของสาร ต่างๆได้ดี แต่มีเคล็ดลับเล็กๆคือ ควรถ่ายปัสสาวะทิ้งไปเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยถ่ายใส่ภาชนะ เพื่อลดการปนเปื้อนของเซลล์ต่าง ๆ บริเวณส่วนต้นของท่อปัสสาวะ สำหรับสตรีที่มีประจำเดือน ไม่ควรตรวจปัสสาวะ เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเม็ดเลือดแดง ขณะเก็บปัสสาวะ ทำให้แปรผลผิดพลาดได้ ดังนั้น ก่อนตรวจทางห้องปฏิบัติการทุกครั้ง ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความถูกต้องของผลที่ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการวินิจฉัยเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป รศ.ดร.พญ.นิศารัตน์ โอภาสเกียรติกุล พยาธิคลินิกแพทย์
Create Date : 25 มกราคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2552 10:44:56 น. |
Counter : 3280 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณนะคะสำหรับความรู้ดีๆ