โรคสมาธิสั้นในเด็ก
หลายท่านที่มีบุตรหลานที่กำลังอยู่ในวัยเรียน อาจพบว่าบุตรหลานของท่านมีปัญหาเกี่ยวกับ โรคสมาธิสั้นในเด็กหรือโรคไฮเปอร์ ขอนำเสนอสาระู้เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นในเด็กดังต่อไปนี้ โรคสมาธิสั้น หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder ซึ่งเรียกอย่างย่อว่า ADHD คือ กลุ่มอาการที่เกิดในวัยเด็ก ก่อนอายุ 7 ปี แล้วก่อให้เกิดผลกระทบต่อพฤติกรรม,อารมณ์,การเรียนรู้ และ การเข้าสังคมกับผู้อื่น โดยเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะมีอาการสำคัญ 3 รูปแบบ 1.ความบกพร่องของสมาธิ คือ มีความสนใจสั้น เบื่อง่าย วอกแวกง่าย ทำงานไม่เรียบร้อย ไม่รอบคอบ มักทำงานไม่เสร็จค้างคาไว้เสมอ 2.ความบกพร่องของพฤติกรรม คือ เด็กมักจะนั่งไม่ติดที่ ชอบวิ่ง ปีนป่าย กระโดดเล่นโลดโผน เสียงดัง อยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ก็จะหยุกหยิกตลอดเวลา 3.ความบกพร่องในการคิดวางแผน คือ เด็กมักจะหุนหัน วู่วาม ควบคุมตนเองไม่ได้ ยับยั้งตนเองไม่เป็น ใจร้อน มักตอบคำถามก่อนที่ผู้ถามจะถามจบ รอคอยไม่เป็น ชอบพูดแทรกคนอื่น เด็กอาจมีอาการทั้ง 3 รูปแบบ หรือมีเพียงรูปแบบใดเพียง 1 หรือ 2 แบบ ทำให้ขณะที่อยู่ในห้องเรียน เด็กจะสนใจการเรียนไม่นาน เหม่อลอย หรือวอกแวกไปสนใจ สิ่งนอกห้องเรียน แหย่เพื่อน หรือรบกวนคนอื่นๆในห้องเรียน ไม่ตั้งใจเรียนและผลการเรียน มักไม่ดีเท่าที่ควร เด็กมักถูกลงโทษจากทั้งคุณครูและผู้ปกครองบ่อยกว่าคนอื่น และถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อ เด็กซน นิสัยไม่ดี โรคสมาธิสั้นเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วน โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ในปัจจุบัน คาดว่าเกิดจากสารเคมีในสมองบางชนิดไม่สมดุลทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเอง ได้ดี แม้เด็กจะพยายามควบคุมตนเองแล้วก็ตาม จากการวิจัยพบว่า เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมัก ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าความสามารถที่แท้จริงของเด็ก ทั้งการเรียนและมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น มักมีปัญหาทางจิตใจ คือ มองตนเองเป็นคนไม่ดี ไม่มั่นใจตนเอง รู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อง การของใคร ๆ และจากการศึกษา พบว่าจำนวน 25% ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะกลาย เป็นเด็กเกเร ก้าวร้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาช่วยเหลือก่อน
สำหรับการรักษาโรคสมาธิสั้นนั้น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดต้องใช้การรักษาแบบ ผสมผสานหลายๆด้าน โดยเป้าหมายของการรักษา คือช่วยให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคม อย่างมีความสุข และลดปัญหาทางอารมณ์ ซึ่งการรักษาประกอบด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ 1. ผู้ปกครองและครูของเด็กที่เป็นสมาธิสั้น ควรมีความรู้เกี่ยวกับตัวโรค และเทคนิคการปรับ พฤติกรรม เพื่อช่วยในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็ก การประจาน ประณาม หรือตราหน้าว่าเด็กเป็นเด็กไม่ดีรวมทั้งการลงโทษด้วยความรุนแรง เป็นวิธีการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมที่ไม่ได้ผล โดยจะทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธ หรือแสดงพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าว มากขึ้น แต่การชมหรือให้รางวัลเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รวมถึงการควบคุมพฤติกรรม ที่ไม่เหมาะสม โดยการตัดสิทธิหรืองดกิจกรรมที่เด็กชอบ จะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีกว่า 2. เด็กสมาธิสั้นส่วนใหญ่มักมีปัญหาการเรียนร่วมด้วยเนื่องจากไม่สามารถเรียนได้ตาม ศักยภาพที่มี ดังนั้นควรมีการประสานงานกับครูอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดการเรียน และสิ่งแวดล้อม ในห้องให้เหมาะสมกับเด็กคือ ห้องเรียนต้องค่อนข้างสงบไม่สับสนวุ่นวายและไม่มีสิ่งกระตุ้นมาก มีระเบียบกำหนดกิจกรรมที่เด็กจะทำอย่างชัดเจน ก็จะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นให้เรียนได้ดีขึ้น 3. ยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้นนั้นเป็นยาที่ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย และมีประสิทธิภาพ ในการรักษาสูง ไม่ก่อให้เกิดการง่วงซึม หรือสะสมในร่างกาย ยาจะช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น ซนน้อยลง ดูสงบขึ้นมีความสามารถในการควบคุมตนเอง ผลที่ตามมาคือ การเรียนอาจดีขึ้น มีความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรอบข้างดีขึ้นและเด็กจะมีความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
เมื่อเด็กโตขึ้นผ่านวัยรุ่น ประมาณ 1 ใน 3 ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายจากโรคนี้ สามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ปกติโดยไม่ต้องรับประทานยา ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นยังคงมีความบกพร่องของสมาธิในระดับหนึ่ง แต่สามารถควบคุม ตนเองได้ดีขึ้น และสามารถปรับตัวและเลือกงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมากนัก ก็จะประสบความสำเร็จ และดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แม้แพทย์จะวินิจฉัยลูกว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกเป็นเด็กไม่ดี หรือจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่หมายความว่าลูกมีปัญหาในการตั้งสมาธิ ดังนั้น ความรักและความเข้าใจลูกในสิ่งที่ลูกเป็นและพยายามให้กำลังใจช่วยแก้ไข ข้อบกพร่องของลูกมีความสำคัญ และมีส่วนช่วยเหลือลูกให้ประสบความสำเร็จได้
ผ.ศ. ดนัย บวรเกียรติกุล ที่มา : //www.docdek.com
เนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง 12 วิธี ช่วยจัดการเด็กในสมาธิสั้น สำหรับพ่อแม่
Create Date : 19 มกราคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 19 มกราคม 2552 18:54:23 น. |
Counter : 952 Pageviews. |
|
|
|