Group Blog
All Blog
<<< ปฏิบัติบูชา >>>









"ปฏิบัติบูชา"

ถ้าเราอยากจะบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า

ของพระธรรมคำสอนของพระอริยสงฆ์สาวก

 พระพุทธเจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกนี้

ท่านไม่ต้องการอะไรจากเราจากพวกเรา

 สิ่งที่ท่านมีนั้นมันวิเศษกว่าสิ่งต่างๆ

 ที่เราจะสามารถมอบให้กับพระพุทธเจ้า

มอบให้กับพระอริยสงฆ์สาวกได้

 แต่สิ่งที่ท่านต้องการนั้นก็คือ

ท่านอยากจะเห็นพวกเราหลุดพ้น

ออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ที่แสนทรมานนี้ ถ้าเราหลุดพ้นได้

อันนั้นแหละจะทำให้ท่านมีความปลื้มปิติมีความสุข

 ทั้งๆ ที่ท่านท่านก็มีความสุขล้นฟ้าอยู่แล้ว

 แต่ถ้าได้เห็นพวกเราได้หลุดพ้นนั้น

มันเป็นความสุขที่ท่านต้องการ

 หรือจะทำให้ท่านมีความพอใจมีกำลังใจ

ที่จะเผยแผ่คำสั่งคำสอนอันวิเศษนี้ต่อไป

ถ้าท่านสั่งสอนแล้วพวกเราไม่ปฏิบัติตาม

เหมือนกับเข้าหูซ้ายแล้วออกหูขวาไป

พูดอะไรเราก็ลืมไปหมด ถ้าเปรียบเหมือนกับ

การรดน้ำใส่หลังสุนัข สรงน้ำให้หมา

อาบน้ำให้หมาเทน้ำใส่หลังหมา

หมามันก็สะบัดทิ้งหมด นี่คือการไม่บูชา

ไม่ปฏิบัติบูชาก็จะเป็นในลักษณะนั้น

ถ้าพวกเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันแล้ว

พวกเราไม่นำเอาไปปฏิบัติกัน

มันก็ไม่เกิดผลขึ้นมา มันก็จะทำให้

ผู้ที่สั่งสอนนี้เสียกำลังใจ ไม่รู้ว่าจะสั่งสอนไปทำไม

 สั่งสอนไปแล้วก็ไม่ปฎิบัติตาม

 เมื่อไม่ปฏิบัติตามก็ไม่เกิดผล

 ก็ยังต้องติดคุกติดตะราง

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

ผู้สั่งสอนก็เสียน้ำลายไปเปล่าๆ

 เสียเวลาไปเปล่าๆ

แต่ถ้าสั่งสอนแล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

 และได้รับผลจากการปฏิบัตินี้

มันก็จะทำให้ผู้สั่งสอนนี้มีความสุข

ทั้งๆ ที่มีความสุขล้นฟ้าอยู่แล้ว

 แต่ความสุขที่ได้จากการเห็นลูกศิษย์ลูกหา

ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ มันก็มีน้ำหนักพอ

ที่จะมาทำให้เกิดความรู้สึกในพระทัยของพระพุทธเจ้า

ในใจของครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เหมือนกัน

 ที่เห็นว่าไม่เสียเวลาเปล่า ได้สั่งได้สอน

ได้ทำให้เขาได้หลุดพ้นจากความทุกข์

 เหมือนกับหมอที่รักษาคนไข้รักษาคนไข้

บอกให้คนไข้ปฏิบัติให้กินยาให้ทำอะไร

 ถ้าคนไข้เชื่อฟังหมอแล้วปฏิบัติตามแล้ว

หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หมอเห็นแล้ว

ก็หมอก็มีกำลังใจที่รักษาคนไข้ต่อไป

 แต่ถ้ารักษาแล้วคนไข้ไม่ยอมปฏิบัติตาม

 หมอก็จะไม่มีกำลังใจที่จะรักษาคนไข้อีกต่อไป

 คนไข้ก็จะไม่ไม่มีวันหายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ผู้ที่ติดอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

อย่างพวกเรานี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ปฏิบัติบูชา

 เราไม่น้อมเอาคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า

มาปฏิบัติกัน ผลที่จะเกิดก็จะไม่เกิด

เมื่อไม่เกิดก็ไม่มีอะไรแตกต่างในตัวเรา

ตัวเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม

ยังติดอยู่ในกองทุกข์ของความแก่

ของความเจ็บ ของความตาย

ของการพลัดพรากจากกัน

ของการที่จะต้องกลับมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย

มาพลัดพรากจากกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น

 ดังนั้นถ้าพวกเราอยากที่จะบูชาพระคุณ

ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ขอให้เรามาปฏิบัติบูชากันเถิด

แล้วจะทำให้พระพุทธพระเจ้าอริยสงฆ์สาวกนั้น

มีกำลังจิตกำลังใจที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไป

เพื่อจะได้สั่งสอนเพื่อจะได้ช่วยเหลือพวกเรา

ที่ยังติดอยู่ในกองทุกข์นี้

ให้หลุดออกจากกองทุกข์นี้ไป

ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ

เราต้องเข้าหาคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เข้าหาคำสอนของพระอริยสงฆ์สาวก

อย่างที่ท่านกระทำกันในวันนี้

มาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังแล้วก็จะได้ความรู้

ว่าจะต้องปฏิบัติอะไรบ้าง

 เช่นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นี้ท่านทรงสอนอะไร

 ท่านสอนเหมือนกัน ท่านสอนให้เราละ

การกระทำบาปทั้งปวง

ให้เราสร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม

 ให้เราชำระใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์

กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง

 กำจัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ให้หมดไปจากใจ เพราะกิเลสตัณหานี้แล

ที่เป็นต้นเหตุของการทำให้เรา

มาเกิดแก่เจ็บตายอยู่เรื่อยๆ

 ถ้าไม่มีกิเลสตันหาก็จะไม่มีเหตุที่จะดึงใจ

ให้มาเวียนว่ายตายเกิด ถ้าไม่มาเวียนว่ายตายเกิด

 ก็จะอยู่ที่นิพพาน อยู่ที่บรมสุข

อยู่ที่การไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย

ดังนั้นเมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้วว่า

พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้นทรงสั่งทรงสอนอะไร

เราก็ควรที่จะน้อมนำเอามาปฏิบัติ

 อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

อย่าบอกว่าขอรอไว้รอปฏิบัติ

จากคำสอนของพุทธเจ้าองค์ต่อไป

 คือรอให้พระศรีอารย์คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

 มาตรัสรู้มาเผยแผ่คำสั่งคำสอนก่อนแล้วค่อยปฏิบัติ

 เพราะตอนนี้เราไม่มีพระพุทธเจ้า

มาสั่งมาสอนเราแล้ว

 ถ้าคิดอย่างนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด

 เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นยังอยู่กับพวกเรา

 อยู่ในรูปแบบของคำสั่งคำสอน

ที่มีการจารึกไว้ในพระไตรปิฎกนี้

พระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนนี้แล

ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ต่อไป

พวกเราจะไม่ได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้า

จะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

 นี่คือคำพูดคำสอนที่พระพุทธเจ้า

ได้ทรงตรัสไว้ตอนก่อนที่จะจากไปว่า

พระธรรมวินัยที่ตถาคตได้ตรัสไว้ชอบแล้วนี้แล

 จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป

พวกเธอจะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

ตราบใดที่มีพระธรรมวินัยที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎกนี้

 จะเป็นศาสดาของพวกเธอ

 และพระอริยสงฆ์สาวกทุกๆ รูป

ก็น้อมเอาคำสั่งคำสอนที่มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎกนี้

มาสั่งสอนให้แก่พวกเรา

 ท่านไม่ได้เอาคำสั่งคำสอนของใคร

เอาคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอน

 เพราะฉะนั้นตอนนี้เรายังมีพระพุทธเจ้าอยู่กับพวกเรา

 อย่าไปหลอกตัวเองว่าเราต้องรอ

พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาตรัสรู้มาเผยแผ่สั่งสอน

 แล้วเราค่อยไปศึกษากับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่

พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ก็จะสอนเหมือนกับ

พระพุทธเจ้าองค์เก่า ไม่ว่าพระพุทธเจ้ากี่พระองค์

ที่ตรัสรู้ได้มาประกาศพระธรรมคำสอน

ให้แก่สัตว์โลกนี้

 จะสอนเหมือนกันหมด สอนสามข้อใหญ่ๆ นี้

คือ ละการกระทำบาปทั้งปวง

สร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม

ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ นี่แหละ

จึงขอให้พวกเรามีความแน่วแน่มีความมั่นใจ

ว่าเรายังมีพระพุทธเจ้าอยู่ และการปฏิบัติตาม

คำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

ก็จะทำให้เราได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้

เช่นเดียวกับสมัยที่พระพุทธเจ้า

ยังมีพระชนม์ชีพอยู่

 สมัยที่ผู้ปฏิบัติได้ศึกษา

ได้ปฏิบัติจากพระพุทธเจ้า

และได้บรรลุมรรคผลนิพพานกัน

 สมัยนี้ก็สามารถที่จะศึกษาและปฏิบัติ

และบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้เช่นเดียวกัน

ดูบรรดาครูบาอาจารย์ต่างๆ

ที่เรากราบไหว้เคารพนับถือ

ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา

 หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น

หลวงปู่แหวน หลวงพ่อลี หลวงตามหาบัว เป็นต้น

 ครูบาอาจารย์เหล่านี้

ท่านก็ศึกษาจากพระธรรมคำสอน

 จากครูบาอาจารย์ จากพระอริยสงฆ์สาวก

 แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้ว

ก็ได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานกัน

ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดกัน

 ดังนั้นศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ยังมีประสิทธิภาพ

มีประสิทธิผลอย่างเต็มร้อย

เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็น อกาลิโก

 เป็นธรรมที่ไม่เสื่อมไปกับกาลเวลานั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๐

"บูชาผู้มีพระคุณ"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 เมษายน 2560
Last Update : 18 เมษายน 2560 8:55:01 น.
Counter : 687 Pageviews.

0 comment
<<< ทำกรรมอันใดไว้ ก็จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น >>>










"ทำกรรมอันใดไว้

ก็จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"

ถาม : หลายคนไม่เชื่อว่าเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด

ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีจริง พวกเขาจึงใช้ชีวิต

แบบไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายในภาคหน้า

พวกเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนเหล่านี้

เราจะอยู่อย่างไรไม่ให้ใจของเรา

มีอารมณ์กับพวกเขาเจ้าคะ

พระอาจารย์ : ก็เหมือนกับเราอยู่กับคนตาบอด

 เราจะไปมีอารมณ์กับคนตาบอดทำไม

 ในเมื่อเขามองไม่เห็นสิ่งที่เราเห็นใช่มั้ย

 เขาก็ทำอะไรไปตามความรู้สึก

นึกคิดของเขาเท่านั้นเอง

เราก็ปล่อยเขาทำไป ปัญหาของเราอยู่ที่

เราอยากให้เขาเห็นเหมือนเราคิดเหมือนเรา

 พอเขาไม่คิดเหมือนเราเห็นเหมือนเรา

ไม่ทำเหมือนเราเราก็เลยไม่สบายใจเท่านั้นเอง

 เราก็แยกกันอยู่ไป เขาก็อยู่ของเขาไป

เขาอยากจะกินเหล้าเมายาก็ปล่อยเขากินไป

 เขาอยากจะสำส่อนก็ปล่อยเขาสำส่อนไป

 เราก็รักษาศีลของเราไป มันก็ตัวใครตัวมัน

 พระพุทธเจ้าบอกใครทำกรรมอันใดไว้

ก็จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นไป

 เพราะเราไปสั่งเขาไม่ได้ ไปห้ามเขาไม่ได้

ไปสอนเขาไม่ได้ ไปบอกเขาไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 เมษายน 2560
Last Update : 18 เมษายน 2560 8:37:07 น.
Counter : 680 Pageviews.

0 comment
<<< พอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้ >>>









พอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้

“ตราบใดที่เรายังเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ

เราจะหาความสุขไม่ได้เลย ไม่ว่าร่ำรวยแค่ไหน

 ได้โชคได้ลาภเพียงใดก็ตาม

 แต่ทันทีที่เรารู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้

ความสุขจะบังเกิดขึ้นทันที

 แทนที่จะเฝ้ามองสมบัติของคนอื่นว่าดีกว่าอย่างไร

 เราลองหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามี เห็นข้อดี

หรือประโยชน์ของสิ่งที่มีอยู่

 ความพอใจก็จะเกิดขึ้น ความรุ่มร้อนก็จะหายไป

 แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เราไม่มี

ทำไมไม่หาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในขณะนี้”

พระไพศาล วิสาโล






ขอบคุณที่มา fb. Zen Sukato
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 เมษายน 2560
Last Update : 18 เมษายน 2560 8:28:06 น.
Counter : 543 Pageviews.

0 comment
<<< ตายได้อย่างสงบ >>>









ตายได้อย่างสงบ

การหมั่นพิจารณามรณสติ

 จะทำให้เรารู้จักใช้ประโยชน์

จากการสูญเสียสิ่งรักสิ่งหวงแหน

 แทนที่จะเอาแต่ทุกข์ไปกับเหตุการณ์ดังกล่าว

 ควรถือว่าความสูญเสียเหล่านั้น

มิใช่อะไรอื่นหากคือสัญญาณเตือนภัยว่า

สักวันหนึ่งเราจะต้องประสบกับความสูญเสีย

ที่ใหญ่หลวงกว่านั้น ถ้าหากเรายังทำใจ

กับความสูญเสียสิ่งรักสิ่งหวงแหนไม่ได้

 เราจะรับมือกับความตายได้อย่างไร

 เพราะถ้าวันนั้นมาถึงเราจะต้อง

สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ

ครอบครัว คนรัก อำนาจ

ตลอดจนชีวิตจิตใจและร่างกาย

รวมทั้งโลกที่เรารู้จัก

นอกจากการระลึกถึงความตายอยู่เสมอแล้ว

 เรายังสามารถเตรียมตัวเผชิญความตายได้

ด้วยการหมั่นทำความดีอยู่เสมอ

 เพราะความดีนั้นช่วยเสริมสร้างคุณภาพจิต

ให้มีความสงบเย็น และเป็นปกติ

ขณะเดียวกันการละเว้นความชั่ว

ก็ทำให้จิตไร้สิ่งเศร้าหมอง

 คุณภาพจิตเหล่านี้มีความสำคัญมาก

ในวาระสุดท้ายของชีวิตเพราะช่วยประคองใจ

ไม่ให้อารมณ์อกุศลเข้ามาครอบงำ

จนเกิดความทุกข์ทรมาน

 ขณะเดียวกันความอิ่มเอิบปีติก็จะเกิดขึ้น

เมื่อระลึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำ

 ทำให้จากไปอย่างสงบ

ในทางตรงกันข้าม

กับคนที่ทำความชั่วอยู่เป็นอาจิณ

 จิตจะเต็มไปด้วยอารมณ์อกุศล

 ในยามใกล้ตายบาปกรรมที่เคยกระทำ

จะมาปลุกเร้าอารมณ์อกุศลให้แผ่ซ่าน

 เช่น ความรู้สึกผิด ความหวาดกลัว

ความตื่นตระหนก ความเคียดแค้นชิงชัง

 ซึ่งทำให้ทุรนทุรายและตายอย่างไม่สงบ

ควบคู่ไปกับการทำความดีหมั่นบำเพ็ญกุศล

 ก็คือฝึกจิตอย่างสม่ำเสมอให้มีสติที่เข็มแข็งฉับไว

หรือมีความตื่นรู้อยู่เป็นนิจ

ในยามที่ร่างกายใกล้แตกดับ

จิตจะแปรปรวนและง่าย

ที่จะเข้าไปในอารมณ์ที่เป็นอกุศล

ซึ่งทำให้ทุกข์และทุรนทุรายมากขึ้น

สติที่ฝึกฝนไว้ดีแล้วจะเป็นเครื่องรักษาใจ

ไม่ให้ถลำจมในอารมณ์อกุศลทั้งหลาย

 และช่วยให้จิตใจเกิดความสงบเย็นเป็นสมาธิได้ง่าย

ยิ่งศึกษาและปฏิบัติจนเกิดปัญญา

คือความเข้าใจแจ่มชัดในความจริงของสิ่งทั้งปวง

 ก็จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงได้ง่ายดาย

 ไม่คิดเหนี่ยวรั้งสิ่งใด ๆ ไว้

แม้กระทั่งร่างกายหรือชีวิต

 เพราะตระหนักชัดว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง

และไม่น่ายึดถือแต่อย่างใด

ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป

และดังนั้นจึงพร้อมรับความตายได้อย่างสงบ

ไม่ต่างจากคนที่เมื่อได้ยินระฆังเลิกงาน

ก็วางงานลงและกลับบ้าน

โดยไม่มีความรู้สึกอาลัยแต่อย่างใด.

พระไพศาล วิสาโล





ขอบคุณที่มา fb. ข้อธรรมคำสอน พระไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 เมษายน 2560
Last Update : 17 เมษายน 2560 8:30:32 น.
Counter : 600 Pageviews.

0 comment
<<< การทำสมาธิให้เป็นอุเบกขานานๆ >>>











"การทำสมาธิให้เป็นอุเบกขานานๆ"

ถาม : เมื่อสงบแล้วควรนำธรรมข้อใดมาพิจารณาคะ

พระอาจารย์ : เวลาสงบยังไม่ต้องทำอะไร

 ให้จิตสงบให้นิ่งเฉยๆ นานๆ

 เพราะความนิ่งนี่แหละเป็นกำลังของจิต

ที่เราจะใช้ต่อสู้กับกิเลสตัณหาต่อไป

 ถ้าใจเรานิ่งเป็น เวลาเกิดความโกรธ

เราก็นิ่งเฉยๆ ไป ความโกรธมันก็จะหยุดไปเอง

 ฉะนั้นพยายามเวลาสงบแล้วอย่าพึ่งไปทำอะไร

พยายามหัดให้มันนิ่งไปนานๆ

ให้มันเฉยไปนานๆ เขาเรียกว่าอุเบกขา

ให้มันเป็นอุเบกขาไปนานๆ

เพราะเวลาออกจากสมาธิมา

มันจะได้มีอุเบกขาอยู่นานๆ

 เหมือนกับเราเอาน้ำไปแช่ในตู้เย็น

ถ้าเราแช่ไว้นานๆ น้ำมันก็จะเย็นมาก

พอเราออกมาจากตู้เย็นมันก็จะเย็นนานกว่า

ถ้ามันเอาไปแช่เดี๋ยวเดียว

 ถ้าเอาไปแช่เดี๋ยวเดียวมันเย็นไม่มาก

ออกมาแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็ร้อนแล้ว

ใจเราก็เหมือนกันเวลาเข้าสมาธิ

ก็เหมือนเอาเข้าตู้เย็นดีๆ นี่เอง

 เข้าไปให้ใจเย็นให้สบาย

พอออกมันก็ยังเย็นสบายอยู่

ใครด่าก็ยังเฉยอยู่ ใครขโมยของไปก็ยังเฉยอยู่

 แต่พอสักพักนึงพอมันเริ่มร้อนแล้ว

มันก็จะไม่เฉยแล้ว ฉะนั้นเวลาตอนที่ออกมา

ตอนที่มันเย็นมันเฉยนี้เป็นเวลา

ที่เราควรที่จะมาสอนวิปัสสนา สอนความจริง

 เพราะเวลาถ้ามันไม่เย็นมันจะไม่ยอมรับความจริง

 ใจเราถ้าเวลามีกิเลสมันร้อนนี้มันจะไม่ยอมรับ

มันจะไม่ชอบฟังอนิจจังทุกขังอนัตตา

มันจะชอบฟังแต่นิจจังสุขขังอัตตา

ฉะนั้นเวลาที่ออกมาจากสมาธิเป็นเวลาที่เหมาะ

ต่อการสั่งสอนใจว่าทุกอย่างไม่เที่ยง

ทุกอย่างไม่ใช่ของเราทุกอย่างเป็นทุกข์นะ

 มันก็จะเชื่อมันก็จะฟัง แต่พอสักระยะหนึ่งแล้ว

เดี๋ยวมันก็จะเริ่มไม่เชื่อแล้ว มันเริ่มร้อนแล้ว

 กิเลสมันเริ่มออกมาทำงานแล้ว

มันเริ่มอยากได้โน้นอยากได้นี่

มันก็จะไม่เชื่อว่ามันเป็นทุกข์แล้ว

 มันจะคิดว่ามันเป็นสุข

ตอนนั้นเราก็ต้องกลับเอาน้ำ

กลับเข้าไปแช่ในตู้เย็นใหม่

 เอาจิตกับเข้าไปในสมาธิใหม่ ทำให้มันเย็นใหม่

การที่เราต้องพิจารณาอย่างนี้ก็ต้องพิจารณาบ่อยๆ

 เพื่อให้เราไม่ลืม ให้เราจำได้ตลอดเวลา

 ถ้าเราพิจารณาครั้งสองครั้งเดี๋ยวเราก็ลืม

เดี๋ยวเราก็กลับไปคิดแบบเดิม คิดว่าดีเป็นสุข

 กระเป๋าใบนี้สวยเสื้อชุดนี้งามรองเท้าคู่นี้สวย

 อยากได้ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเรามีวิปัสสนา

เราก็บอกว่าเฮ้ย!มันก็เป็นความสุขเดี๋ยวเดียวแหละ

ซื้อมาแป๊บเดียวดีใจเดี๋ยวเดียว

 เดี๋ยวก็เห็นคู่ใหม่เห็นกระเป๋าใบใหม่

ก็อยากจะได้ใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว

นี่คือการใช้ปัญญาสอนใจ

ต้องสอนตอนที่ใจยังเย็น

ยังสบายยังเป็นอุเบกขาอยู่

 ถ้ามาสอนตอนที่มันโลภแล้วสอนยาก

 พอมันโลภแล้วมันจะเอาอย่างเดียว

 ใครจะว่าไม่ดีอย่างไรมันก็ไม่ฟังแล้ว

ก็อย่างพ่อแม่สอนลูกว่าอย่าไปทำนู่นทำนี่นะ

 แต่เวลามันอยากทำขึ้นมาแล้วสอนยังไงก็ไม่ฟัง

 จะทำอย่างเดียว แต่ตอนที่เขาอารมณ์สงบๆ

ไม่อยากได้อะไร ตอนนั้นสอนเขา เขาก็จะฟังได้

เพราะฉะนั้นการทำสมาธิเพื่อทำใจให้เย็น

ให้เป็นอุเบกขานานๆ

เพื่อออกมาเราจะได้สอนใจได้นานๆ

สอนได้นานเท่าไหร่ต่อไปมันจะไม่ลืม

ต่อไปมันจะจำได้ แล้วพอมันอยากจะได้อะไร

มันก็จะรู้ว่าเป็นทุกข์ เพราะมันไม่เที่ยง

 เพราะว่ามันจะต้องจากเราไปสักวันหนึ่ง

 พอเรารู้อย่างนี้ปั๊บเราก็ไม่เอาดีกว่า

 อยู่คนเดียวดีกว่า

 เราก็จะหลุดพ้นจากความอยาก

 หลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 เมษายน 2560
Last Update : 17 เมษายน 2560 8:18:39 น.
Counter : 665 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ