"หน้าที่ของเงินทอง"
เงินทองก็เป็นของในโลกนี้
ไม่มีใครเอาติดตัวไปได้
เงินทองก็มีไว้รับใช้ร่างกายของเรา
ให้ร่างกายเราอยู่อย่างสุขสบาย มีปัจจัยสี่
มีอาหาร มียารักษาโรคมีเครื่องนุ่งห่มมีที่อยู่อาศัย
พอเรามีครบแล้ว มีมากกว่านั้นก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร
เพราะไม่สามารถเอาไปให้ความสุขกับจิตใจได้
จะให้ความสุขกับจิตใจ ก็ต้องเอาเงินทองที่เหลืออยู่
จากการใช้ในการดูแลร่างกายนี้ เอาไปทำบุญ
พอเราเอาเงินทองไปทำบุญ เราก็จะได้บุญ
ที่จะเป็นความสุขของใจ
ถ้าเอาเงินทองไปซื้อความสุข
ทางร่างกายก็จะได้ความสุขปลอม
ได้ความสุขเดี๋ยวเดียว เช่นเราไปเที่ยว
เราก็ได้ความสุขตอนที่เราไปเที่ยวกัน
พอเรากลับมาบ้านความสุขนั้นก็หายไป
ความอยากเที่ยวก็มาอีก
ก็ต้องไปเที่ยวอีกถึงจะมีความสุข
ถ้าไม่ได้เที่ยวก็กลับเป็นความทุกข์ไป
แต่ถ้าเราเอาเงินที่จะไปเที่ยวนี้มาทำบุญ
เราจะได้ความสุขใจอิ่มใจ
ที่ไม่ได้หมดไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับการไปเที่ยว
เราทำบุญแล้วความอยากไปเที่ยวก็ไม่มี
ทำให้เราอยู่บ้านเฉยๆ ได้
อยู่ไม่ได้ทำอะไรก็มีความสุข อยู่เฉยๆ ก็มีความสุข
เพราะบุญที่เราทำมันเป็นเหมือนอาหาร
หล่อเลี้ยงจิตใจ ทำให้ใจไม่หิว
กับความต้องการไปทำตามความอยากต่างๆ
การทำบุญนี้เป็นการมาสลายความอยากใช้เงิน
ไปในทางที่เป็นโทษ ใช้เงินไปในทางที่ทำให้
เกิดความอยากขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นเอาเงินไปเที่ยว
เอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ
ซื้อแล้วแทนที่มันจะพอ มันไม่พอ
มันกลับอยากจะซื้ออีก อยากจะได้อีก
ไปเที่ยวก็อยากจะไปเที่ยวอีก
แต่ถ้าเอาเงินที่จะใช้กับสิ่งเหล่านี้ไปทำบุญ
มันก็ทำให้ความอยากเที่ยว
อยากใช้เงินต่างๆ มันน้อยลงไป
ถ้าเราทำเรื่อยๆ ต่อไป
เราจะไม่มีความรู้สึกอยากจะเที่ยว
อยากจะซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ เพราะใจเรามีบุญ
มีความสุขใจที่เกิดจากการทำบุญ
ระงับความอยากต่างๆ ความอยากใช้เงินต่างๆ ได้
นี่คือหน้าที่ของเงินทองที่พวกเรามีอยู่
ส่วนหนึ่งก็ต้องมีไว้สำหรับดูแลร่างกาย
เพราะร่างกายถ้าขาดปัจจัยสี่
ร่างกายก็จะต้องทุกข์ยากลำบาก
หรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถึงกับเสียชีวิตไป
เราก็ต้องมีเงินทองส่วนนี้ไว้สำหรับเลี้ยงดูร่างกาย
แต่ถ้าเรามีมากกว่าที่เราจะใช้กับการดูแลร่างกายได้
ก็อย่าเอาไปใช้ซื้อของฟุ่มเฟือย
ซื้อของไม่จำเป็น เอาไปทำตามความอยากต่างๆ
เพราะมันจะเป็นการสร้างความทุกข์ให้กับใจ
แทนที่จะให้ความสุขกับใจ
มันจะสร้างความอยากให้เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
..........................
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ