Group Blog
All Blog
<<< ขันธ์ ๕ >>>










"ขันธ์ ๕"

ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์เรื่อง ขันธ์ ทั้ง ๕

 โดยเฉพาะรูป เวทนา สัญญา สังขาร

 และวิญญาณ ต่างกันอย่างไร คืออะไรเจ้าคะ

 เพื่อเวลาฟังพระอาจารย์แสดงธรรม

จะได้เข้าใจมากขึ้น

พระอาจารย์ : รูปก็คือร่างกายของเราไง

 ที่ทำมาจากดินน้ำลมไฟ ที่มีอาการ ๓๒

 ที่เกิดแก่เจ็บตาย นี่คือรูป รูปขันธ์

 แล้ววิญญาณขันธ์ นี้มี ๔ นามขันธ์มี ๔ คือ

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

อันนี้เป็นเรื่องอยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย

 แต่จิตมีวิญญาณขันธ์ส่งมาเกาะติด

อยู่กับร่างกาย มาเชื่อม มา connect

มารับข้อมูลจากทางร่างกาย

 วิญญาณขันธ์ก็มาเกาะที่ตาก็รับรูปไป

 เกาะที่หูก็รับเสียงไป เกาะที่ลิ้นก็รับรสไป

 เกาะที่จมูกก็รับกลิ่นไป

เกาะที่ร่างกายก็รับความรู้สึกทางร่างกายไป

 อันนี้เรียกว่าวิญญาณขันธ์

 เป็นตัวที่เชื่อมต่อใจกับร่างกาย

เพื่อที่จะได้มีการรับรู้ผ่านทางร่างกายได้

 ต้องมีวิญญาณขันธ์มาเกาะ

แล้วนอกจากมีตัวมารับรู้แล้วยังมีตัวมาสั่งการ

ให้ร่างกายทำอะไรอีก ตัวที่สั่งการก็คือ สังขาร

ความคิดปรุงแต่ง สั่งให้ร่างกายลุกขึ้นเดิน

ไปกินน้ำเข้าห้องน้ำ ไปทำอะไร

นี่ก็สังขารความคิด เรียกว่าสังขาร

แล้วก็สัญญาก็คือความจำ

เวลาเห็นรูปอะไรถ้าจำได้ก็รู้ว่า

อ้อ คนนี้เป็นชื่อนั้นชื่อนี้

ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เรียกว่าสัญญา

 เวทนาก็ความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

เวลาเห็นรูปบางทีก็สุขบางทีก็ทุกข์

 เห็นรูปของเงินทองก็สุขขึ้นมา

 ถ้าเห็นเงินไหลมาอย่างงี้

เห็นรายได้เข้ามาเนี่ยมันก็สุข

 พอเห็นรายจ่ายมันก็ทุกข์

 อันนี้ก็เกิดจากการที่เห็นอะไรต่างๆ

 นี่คือเรื่องของ ขันธ์ ๕

 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 เมษายน 2560
Last Update : 23 เมษายน 2560 6:31:58 น.
Counter : 620 Pageviews.

0 comment
<<< ธาตุ ๔ >>>









"ธาตุ ๔"

เวลาร่างกายนี้ตายไป

ใจมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย

 มันก็เลยไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 ใจมันอยู่ในโลกทิพย์

ใจของพวกเราทุกคน

ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ใจของพวกเรา

อยู่ในโลกทิพย์กัน

 เพียงแต่ว่าเราส่งกระแสใจมารับรู้

ส่งกระแสใจมาเกาะที่ตามารับภาพ

 มาเกาะที่จมูก

 เกาะที่ลิ้น เกาะที่หู เกาะที่ร่างกาย

พออะไรมาแตะร่างกายเราก็รู้เลย

 อ้อ มีของแข็งของนุ่ม

มีความร้อนความเย็น

มาแตะที่ร่างกายเรา

 ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ที่ร่างกายเราก็รู้ได้

 เหมือนกับคนที่อยู่ที่บ้าน

พอเราพูดอะไรปั๊บ

คนที่บ้านก็ได้ยิน

 คนที่อยู่ทางบ้านคนที่เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้

เขาก็ได้ยินเขาก็ได้เห็นเหมือนกัน

ฉะนั้นเวลาอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายนี้

ใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย

 ท่านเรียกว่าใจถึงไม่ตายกับร่างกาย

ร่างกายต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

 พอร่างกายตายไปปั๊บ

กระแสการติดต่อก็ขาด

ตามันไม่ส่งภาพไปแล้วใช่ไหม

 ตามันไม่ทำงาน

 หูไม่ทำงาน อะไรไม่ทำงานหมด

เหมือนกับเครื่องนี้พอปิดเครื่องปั๊บ

ก็ไม่รับภาพไม่รับเสียงอะไร

 คนที่อยู่ทางบ้านก็ดูไม่ได้

คนที่อยู่ทางบ้านก็ต้องไปทำอย่างอื่น

ใจพอไม่มีร่างกายก็ต้องไปทำอย่างอื่น

ก็ทำแบบตอนที่นอนหลับเนี่ย

 เวลานอนหลับใจทำอะไรรู้ไหม

 ใจก็ฝันไงใช่ไหม ใช้ร่างกายไม่ได้ตอนนั้น

ร่างกายปิดเครื่องชั่วคราวพักผ่อน

เวลาที่เรานอนหลับ

ก็เหมือนปิดเครื่องโทรศัพท์

 ก็ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เมื่อใช้โทรศัพท์ไม่ได้

ก็จะคุยกับใครก็ต้องเดินไปคุยกับเขา

 อันนี้ก็เหมือนกัน พอไม่มีร่างกาย

พอร่างกายพักผ่อน ใจก็ไปฝันเลย

ฝันดีก็ไปสวรรค์ ฝันไม่ดีก็ไปนรก

 และอะไรทำให้เราฝันดีฝันไม่ดี

 ก็เวลาเราทำบุญเราฝันดี

เพราะเราทำแต่สิ่งที่ดี

 เวลาทำอะไรไว้มันก็จะอัดเทปไว้ในใจเรา

 พอนอนหลับมันก็เปิดเทปมาให้เราดู

 เวลาเราทำบาปมันก็จะอัดเทปไว้

 เพราะเวลาเรานอนหลับ

มันก็จะเปิดเทปมาให้เราดู

 มันก็จะให้เราดูเรื่องที่ไม่ดี

 เวลาเราทำบุญมันก็จะให้เราดูเรื่องที่ดี

นี่คือใจที่ไม่ได้อยู่ในร่างกาย

เพียงแต่ว่ามีกระแสวิญญาณมาเชื่อมกัน

 เพื่อมารับข้อมูลต่างๆ ผ่านทางร่างกาย

 รับรูปรับเสียงรับกลิ่นรับรสรับอะไรต่างๆ

 แล้วพอรับแล้วก็มีความรู้สึกมีความสุข

ความทุกข์กับรูปเสียงที่ได้รับ

 เหมือนคนทางบ้านเนี่ย

ถ้าได้ยินเสียงที่ดีก็มีความสุข

ถ้าได้ยินเสียงไม่ดีก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 นี่คือร่างกายกับใจ เป็นสองคน

ใจนี้ไม่มีรูปไม่มีร่างมันก็เลยไม่เกิดไม่ดับ

 มันไม่มีการตายเพราะว่า

มันไม่มีส่วนประกอบเหมือนกับร่างกาย

 ร่างกายเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้น

ด้วยดินน้ำลมไฟ แล้วเดี๋ยวดินน้ำลมไฟ

มันก็บอกว่าบ๊ายบาย

ดินก็อยากจะกลับไปหาดิน

น้ำก็จะกลับไปหาน้ำ

ลมก็จะกลับไปหาลม

ไฟก็จะกลับไปหาไฟ

ตอนนั้นก็เรียกว่าธาตุ ๔

ก็แยกออกจากร่างกายไป

ร่างกายก็หายไป

นี่คือเรื่องของร่างกายที่เราต้องพิจารณา

ให้เข้าใจ ให้เรารู้ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา

ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราสั่งมันไม่ได้

ห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะบ๊ายบายเรา

ไปห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะแยกทางกัน

 เวลาดินน้ำลมไฟในร่างกาย

มันจะไปกันคนละทิศคนละทาง

 เราห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะเจ็บ

เราก็ห้ามมันไม่ได้

เวลาไม่สบายแต่เราไม่ต้องไปไม่สบายกับมัน

เพราะเราสบายเราไม่ได้เป็นอะไร

 ใจไม่ได้เป็นอะไร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 เมษายน 2560
Last Update : 23 เมษายน 2560 6:20:33 น.
Counter : 596 Pageviews.

0 comment
<<< ความสุขที่เหนือกว่า >>>










"ความสุขที่เหนือกว่า"

พอใจสงบก็จะเกิดความสุขใจขึ้นมา

 ทำให้มีความพอใจ ทำให้มีความอิ่มใจ

 ทำให้ไม่มีความอยากที่จะได้อะไร

 พอไม่มีความอยากใจก็สบาย

 ไม่มีอะไรมาทำให้ใจหงุดหงิดรำคาญ

ไม่มีอะไรมาทำให้จิตเศร้าสร้อยหงอยเหงา ว้าเหว่

 อยู่เฉยๆโดยไม่มีอะไร กลับมีความสุขกว่า

การไปดูไปฟังไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

กับการไปซื้อข้าวของสิ่งของต่างๆ มาครอบครอง

 เป็นความสุขคนละชนิดกัน

อย่างที่ได้พูดไว้ตอนต้น

รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง

 ความสุขที่เกิดจากการปฎิบัติธรรมนี้

เป็นความสุขที่เหนือกว่า

ความสุขจากการทำตามความอยากต่างๆ

 แล้วก็ไม่มีความทุกข์ตามมา 

ถ้าได้ความสุขที่เกิดจากความสงบแล้ว

ก็จะสามารถรักษาความสงบนี้ไปได้เรื่อยๆ

ตอนต้นก็รักษาด้วยสติ

ต่อมาก็หัดใช้ปัญญาเป็นตัวรักษา

 ปัญญาก็คือการที่เราเห็นว่าสิ่งต่างๆ

ที่เราอยากได้นี้มันเป็นความสุขปลอม

มันเป็นความทุกข์มากกว่า

 เพราะว่าสิ่งที่เราได้มานั้น ไม่ช้าก็เร็ว

ก็จะต้องหมดไปเสื่อมไป หรือจากเราไป

หรือเราจากเขาไป

 พอเวลาต้องพลัดพรากจากกัน

 ความสุขที่ได้จากสิ่งนั้น

ก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

นี่คือการเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ของสิ่งต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ได้มาแล้วเดี๋ยวจะต้อง มีวันพลัดพรากจากกัน

เวลาพลัดพรากจากกัน ความสุขที่ได้ก็จะหายไป

 สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ก็คือความเศร้าโศกเสียใจ

ความทุกข์ทรมานใจ

 นี่คือการที่เราจะเห็นด้วยปัญญา

 สอนใจให้เห็นด้วยปัญญาว่า

 ความสุขในโลกนี้ เช่นความสุขจากลาภ

 ยศ สรรเสริญ ความสุขจากรูป

เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี้

จะต้องกลายเป็นความทุกข์ในบั้นปลาย

เวลาที่เกิดการพลัดพรากจากกันไป

ถ้าเห็นด้วยปัญญา ก็จะระงับความอยาก

ได้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในโลกนี้ได้.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๐

"ศรัทธาในพระธรรม"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 เมษายน 2560
Last Update : 21 เมษายน 2560 8:44:37 น.
Counter : 746 Pageviews.

0 comment
<<< การมีสัมมาคารวะ >>>










"การมีสัมมาคารวะ"

คนเรานี้มันอยู่ในโลกของสมมติ ที่มีสูงมีต่ำ

 มีผู้มีพระคุณ มีผู้ที่เราจะต้องยกย่องเทิดทูนบูชา

ให้อยู่เหนือเศียรเกล้าของเรา

 เพราะบุคคลเหล่านี้

เขามีคุณมีประโยชน์กับเรามาก

 เพราะถ้าไม่มีเขาเราก็จะไม่มีเรา

อย่างเช่นพ่อแม่ถ้าไม่มีพ่อแม่

เราจะไม่มีร่างกายอันนี้

 เราจะไม่สามารถมานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมกันได้

 บุญคุณของพ่อแม่นี้ยิ่งใหญ่

เหนือฟ้าที่เราต้องรำลึกถึง

ต้องเทิดทูนบูชาผู้ที่ให้พระคุณแก่เรา

 เช่นพ่อแม่ของเราให้กำเนิดกับเรา

 แล้วก็พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ก็จะให้ทางสู่การหลุดพ้นกับเรา

ถ้าไม่มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

เราก็จะต้องติดอยู่ในคุกตะราง

ของการเวียนว่ายตายเกิดไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

 แต่พอมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มา

ก็เหมือนกับมีการอภัยโทษ

พอมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

ปรากฎขึ้นมาในโลกนี้

ก็เหมือนกับการเปิดประตูคุกตะราง

ให้ผู้ที่ติดคุกติดตะรางนี้ได้ออกมาได้

คุณของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี้

จึงยิ่งใหญ่กว่าคุณของบิดามารดาเสียอีก

เพราะบิดามารดาให้เพียงแต่เรามาเกิด

มีร่างกายนี้เท่านั้น แต่ก็ยังให้เราติดคุกอยู่

ไม่สามารถช่วยให้เราพ้น

ออกจากคุกออกจากตารางไปได้

 ไม่มีคำสอน มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

ที่จะบอกทางให้กับพวกเราให้ออกจากตารางไป

 บุคคลที่สำคัญบุคคลที่มีพระคุณนี้

เราจึงต้องให้ความเคารพ

 เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้หลักผู้ใหญ่

เพราะท่านจะได้มีความเมตตากับเรา

 มีอะไรท่านก็จะแบ่งให้เราช่วยเราได้

ก็จะยินดีช่วยเหลือเรา

แต่ถ้าเราทำเป็นคนที่ไม่มีสัมมาคารวะ

ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้

เขาก็ไม่อยากจะช่วยเหลือเรา

 เพราะเห็นแล้วว่าช่วยไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร

 คนแบบนี้เป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณของผู้อื่น

ทำไปแล้วก็เสียเวลาไปเปล่า

 ดีไม่ดีอาจจะถูกเขาทำร้ายได้ก็ได้

วันดีคืนดีอาจจะทำให้เขาโกรธขึ้นมา

เขาก็อาจจะทำร้ายเราได้

นี่คือบุญที่เกิดจากการมีการอ่อนน้อมถ่อมตน

 จากการมีสัมมาคารวะ

 การอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะสบาย

 ไม่ต้องไปยืนยันให้คนอื่นรู้ว่า

เราเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ เราอย่างนั้นเราอย่างนี้

ทำตัวให้เราโง่ดีกว่าทำตัวให้เราจนดีกว่า

เราจะได้ไม่ต้องไปพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า

เราฉลาดเรารวย เราก็จะอยู่อย่างสบาย

 ไม่ต้องมีใครมาคอยทดสอบ

ความเก่งความรวยของเรา

 อันนี้ก็คือผลที่เราจะได้รับ

จะทำให้ใจเราสงบสบายไม่ต้องวุ่นวาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐

"บุญ"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 เมษายน 2560
Last Update : 20 เมษายน 2560 8:46:32 น.
Counter : 740 Pageviews.

0 comment
<<< บุญที่เกิดจากการให้ธรรมะผู้อื่น >>>










"บุญที่เกิดจากการให้ธรรมะแก่ผู้อื่น"

บุญที่เกิดจากการให้ธรรมะแก่ผู้อื่น

 อันนี้ก็ต้องเกิดจากการที่เราตรัสรู้บรรลุธรรมแล้ว

ถึงจะให้ธรรมะแก่ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่

 คลายทุกข์ใครเดือดร้อนนี่เราจะช่วยเขาได้

 จะสอนเขาได้บอกเขาได้ วิธีดับทุกข์ว่าทำอย่างไร

 เวลาได้ช่วยเหลือคนอื่นให้เขาพ้นทุกข์

เราก็จะมีความสุข พระพุทธเจ้ามีความสุข

จากการแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์โลกทุกวัน

วันละสามสี่เวลาด้วยกัน ตอนบ่าย ๒ สอนญาติโยม

 ตอนค่ำสอนภิกษุสามเณร ตอนดึกสอนเทวดา

 ตอนเช้าก่อนออกบิณฑบาตก็เล็งญาณดูว่า

จะไปสอนใครเป็นกรณีพิเศษในวันนั้น

เพราะสอนแล้วเพื่อให้เขาได้

หลุดพ้นจากความทุกข์กัน

การที่เห็นผู้อื่นหลุดพ้นจากความทุกข์

ก็จะทำให้มีความสุขกัน

 แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำเพื่อพระพุทธเจ้าเอง

พระพุทธเจ้านี้ท่านมีความสุขในตัวของท่านอยู่แล้ว

 ความสุขเต็มหัวใจอยู่แล้ว จะทำหรือไม่ทำ

ก็ไม่มีความแตกต่างกัน แต่ทำเพราะความสงสาร

จะสัตว์โลกที่ยังต้องติดอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิดนี้

แต่สำหรับพวกเราที่ยังไม่ได้หลุดพ้น

เราก็สามารถเอาธรรมของพระพุทธเจ้านี้

มาเผยแผ่มาแจกให้แก่ผู้อื่นได้

พิมพ์หนังสือธรรมะแจกกัน อันนี้ก็เรียกว่าธรรมทาน

 เป็นการให้ที่ชนะการให้ทั้งปวง

 ให้ธรรมะนี้ดีกว่าการให้ข้าวของเงินทองต่างๆ

ข้าวของเงินทองก็มาบำบัดความทุกข์ทางร่างกาย

 แต่ธรรมะนี้จะมาบำบัดความทุกข์ทางจิตใจ

ที่มีน้ำหนักมากกว่าความทุกข์ของร่างกาย

 เพียงแต่ได้ยินได้ฟังธรรม ได้อ่านหนังสือธรรมะ

 ก็ทำให้ความทุกข์เบาบางลงไปได้เยอะแล้ว

 เพียงแต่ว่ายังอาจจะไม่หมด

 หรือหมดก็อยู่ที่กำลังของผู้ฟัง

ว่ามีสมาธิที่จะสามารถหยุดความอยากต่างๆ

ให้หมดไปจากใจได้หรือไม่เท่านั้นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐

"บุญ"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 เมษายน 2560
Last Update : 19 เมษายน 2560 9:12:12 น.
Counter : 696 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ