Group Blog
All Blog
<<< จิตของพระอริยะเวลาละสังขาร >>>










“จิตของพระอริยะเวลาละสังขาร”

ถาม : จิตของพระอริยะเวลาจะละสังขารนี้

 จะดำเนินสมาธิอย่างเดียวกับ

พระพุทธเจ้าหรือเปล่า

พระอาจารย์ : ไปทางเดียวกัน

 จิตสงบเป็นอุเบกขาปล่อยวาง

ความสงบเป็นอุเบกขามีอยู่ ๒ ระดับ

 ระดับสมาธิกับระดับปัญญา

สมาธิเพียงแต่กดกิเลสไว้

เวลาจิตแยกออกจากร่างกายแล้ว

 พออำนาจของสมาธิเสื่อมหมดไป

กิเลสก็ยังออกมาบงการ

ให้จิตไปเกิดในภพใหม่ได้

ขณะที่สงบนิ่งในสมาธินั้นเป็นฌาน

 เป็นสวรรค์ชั้นพรหม

 ถ้าแยกจากร่างกายตอนนั้น

ก็จะไปอยู่ในพรหมโลก

 แต่พรหมโลกที่อยู่ได้

ด้วยอำนาจของสมาธินี้

จะเสื่อมหมดไปได้

พออำนาจของสมาธิหมดไป

 กิเลสก็จะออกมาเพ่นพ่าน

จะเกิดความหิวในรูปเสียงกลิ่นรส

เบื้องต้นก็รูปเสียงกลิ่นรสที่ละเอียด

รูปทิพย์เสียงทิพย์

ก็เลื่อนจากพรหมมาสู่ชั้นเทพ

 พอหมดบุญจากชั้นเทพ

ก็ต้องการรูปเสียงกลิ่นรสชนิดหยาบ

ก็ลงมาสู่ชั้นมนุษย์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

 มาสร้างบุญสร้างกรรมใหม่

ถ้าสงบนิ่งด้วยวิปัสสนา

ด้วยไตรลักษณ์ด้วยปัญญา

 จะไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่เลย

ไม่ต้องภาวนาพุทโธๆเลย

 เพียงแต่มีสติรู้อยู่เฉยๆ

จะว่ามีสติก็ไม่เชิง เพราะสติก็หมดไปแล้ว

 มรรคไม่มีแล้ว เช่นมหาสติมหาปัญญา

 หมดไปตั้งแต่ตอนที่กิเลสหมด

 เหมือนกับกินยารักษาโรค

 พอหายจากโรคแล้ว

 ก็ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป

 จิตไม่กระเพื่อมไม่กำเริบ

 จิตสงบตลอดเวลา

นิพพานัง ปรมังสุขังอยู่ตลอดเวลา

 เวลาร่างกายตายไป จิตสงบนิ่งอยู่เฉยๆ

 ปล่อยให้ร่างกายตายไป

หรือจะเข้าฌานขึ้นๆลงๆก็ได้ จะไม่เข้าก็ได้

ทำจิตให้เป็นปกติ ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน

เหมือนกับเวลาที่นั่งสมาธิ

แล้วเกิดอาการเจ็บปวด ไม่เดือดร้อนกับมัน

 ปล่อยให้เจ็บไป จิตรับรู้ความเจ็บปวด

 แต่ไม่ไปกลัว ไม่อยากให้มันหาย

ปล่อยให้มันหายเอง

อย่างนี้เป็นระดับหลุดพ้นแล้ว

ไม่ต้องใช้ปัญญา

 เมื่อหลุดพ้นแล้วจะไม่มีความอยาก

อยากให้ทุกขเวทนาหายไป

 หรืออยากจะหนีจากทุกขเวทนานั้นไป

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายกับขันธ์

 จิตเพียงแต่รับรู้

ยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังหายใจอยู่

 ทุกขเวทนาความเจ็บปวดของร่างกาย

ยังมีอยู่ก็รู้ว่ายังมีอยู่

พอไม่หายใจก็รู้ว่าไม่หายใจ

 เวทนาหายไปก็รู้ว่าหายไป

นี่เกิดจากการฝึกฝน

 เจริญสมถะและวิปัสสนา

 จนกลายเป็นธรรมชาติของจิตไป

อยู่ในอุเบกขาตลอดเวลา

ไม่มีอารมณ์กับอะไรทั้งนั้น

 เมื่อไม่มีอารมณ์ก็ไม่มีความทุกข์

 ไม่มีความทุกข์ก็ไม่เดือดร้อนอะไร

กับความเป็นไปของร่างกายของเวทนา

 ที่เป็นปัญหาสำคัญก็ ๒ ตัวนี้เอง

ร่างกายกับเวทนา

ทุกขเวทนาความเจ็บปวด

 ความตาย ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย

ที่สร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกตลอดเวลา

 เวลาอื่นจะไม่ค่อยแสดงผลเท่าไร

 เวลาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาไม่แก่

สามารถทำอะไรได้ตามความอยากของกิเลส

ตอนนั้นก็จะสนุกสนานมีความสุข

 แต่ไม่เคยคิดว่า

สักวันหนึ่งจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย

 สักวันหนึ่งจะต้องตาย

ตอนนั้นจะมีวิชารับกับเหตุการณ์ได้หรือเปล่า

 เหมือนกับตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่ไม่มีสงคราม

 เป็นภาวะปกติ เราก็อยู่กันสุขสบาย

แต่ถ้าเกิดมีข้าศึกบุกเข้ามา

 เรามีอาวุธไว้ต่อสู้หรือเปล่า

 ถ้าไม่มีก็จะถูกเขาทำลาย ถ้ามีก็ป้องกันได้

 ที่พวกเรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

มาทำบุญให้ทาน มารักษาศีล มาภาวนานี้

มาเพื่อเสริมสร้างกำลังไว้ปกป้องรักษาจิตใจ

 ไม่ได้มารักษาร่างกาย

 ไม่ได้ทำบุญเพื่อให้อยู่ไปนานๆ

ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ให้ตาย

ทำบุญเพื่อให้ใจปล่อยวาง

เพราะใจยึดติดกับสิ่งภายนอกอยู่มาก

 พอยึดติดแล้วก็จะไม่มีเวลาภาวนากัน

 จะหมดเวลากับการแสวงหา

ดูแลจัดการกับสิ่งภายนอก

 จึงต้องปล่อยวางภายนอกก่อน

 ด้วยการบริจาค ด้วยการเสียสละ

 ด้วยการละสิ่งของที่ฟุ่มเฟือย

เหลือเฟือเกินความจำเป็น

ความจำเป็นก็คือปัจจัย ๔

ถ้ามีปัจจัย ๔ พอเพียงก็ถือว่าพอแล้ว

 มากกว่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้น

 เป็นนิวรณ์เช่นกามฉันทะ

ติดรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ถ้ามีนิวรณ์จิตจะไม่สงบ

 จิตไม่สงบก็จะไม่เห็นธรรม

ไม่สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้

ก็จะหลุดพ้นไม่ได้ จึงต้องตัดภายนอกก่อน

 เก็บสมบัติข้าวของเงินทองไว้เท่าที่จำเป็น

มีไว้ดูแลจนถึงวันตายได้ก็พอแล้ว

 มีเงินไว้สักก้อนหนึ่ง

 จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรม

 ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ต้องมีเลยก็ได้

 ยกให้คนอื่นไปหมด รักใครชอบใคร

อยากจะให้ใครก็ให้ได้

ไม่จำเป็นจะต้องให้พระเสมอไป

ให้กับคนอื่นก็ได้

 ให้กับลูกให้กับภรรยาก็ได้

 พระพุทธเจ้าก็ทรงทิ้งไว้ให้ลูกให้ภรรยา

 ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย

ต้องการเวลาเท่านั้นเอง

 เวลาที่จะอยู่คนเดียวเพื่อจะได้บำเพ็ญ

 ทำทุกอย่างเพื่อจิตใจเท่านั้น

 ไม่ได้ทำเพื่อร่างกาย

 ทำร่างกายให้ดีขนาดไหนก็ตาม

 ก็ต้องเป็นไปตามวาระของเขา

 ไม่มีใครยับยั้งได้

 พวกเรากำลังยืนเข้าคิวกัน

 เหมือนเวลาไปธนาคาร

หรือหยุดรถตามสี่แยกไฟแดง

 เข้าคิวรอให้ไฟเขียว จะได้ขยับไปได้

 จนกว่าจะพ้นสี่แยก

การตายก็เหมือนสี่แยกไฟแดงนี้เอง

 เราก็กำลังเข้าคิวอยู่ที่สี่แยกไฟแดง

รอให้รถขยับไป แต่เวลาอยู่สี่แยกไฟแดงนี้

อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ จะได้ไปเร็วๆ

ทำไมกับเรื่องของความตาย

กลับไม่อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ

เพราะเราไม่มีธรรมะ

 มีแต่อวิชชามีแต่ความหลง

 หารู้ไม่ว่ายิ่งอยู่ไปนานเท่าไร

ยิ่งทุกข์นานขึ้นไปเท่านั้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๓๘๙ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

(จุลธรรมนำใจ ๑๕)

“ปฏิจจสมุปบาท”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 มีนาคม 2560
Last Update : 23 มีนาคม 2560 18:26:37 น.
Counter : 788 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ