ปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบ
เวลาเรามาฟังนี้เราฟังเรื่องราว
เยอะแยะไปหมดเลย แต่เวลาปฏิบัตินี้
เวลาจะทำจิตให้สงบนี้ต้องทำอย่างเดียว
ต้องหยุดความคิดให้ได้
เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปทำ
เรื่องปัญญาไม่ต้องไปทำ
ให้รู้แค่เรื่องศีล เรื่องทาน
เพื่อที่เราจะได้มีเวลามาปฏิบัติ
การทำทาน การรักษาศีลก็เพื่อ
ให้เราได้มีเวลามาปฏิบัติ
พอเราได้ปฏิบัติแล้วขั้นแรกของการปฏิบัติ
ก็คือหยุดความคิด พุทโธๆไป
อย่าปล่อยให้มันคิด พยายามพุทโธๆ
แล้วพยายามนั่งเฉยๆ ให้มาก
ให้จิตสงบให้ได้ พอจิตสงบแล้ว
ก็พยายามทำให้บ่อยๆ ทำให้ชำนาญ
ทำให้มันสงบนานๆ
จนสามารถที่จะให้มันสงบได้
ทุกเวลาที่เราต้องการ พอเราได้อย่างนี้แล้ว
ค่อยไปศึกษาเรื่องปัญญาว่า
ไตรลักษณ์เป็นอย่างไร
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอย่างไร
ร่างกายเป็นอย่างไร อันนี้ค่อยไปอีกตอนหนึ่ง
เป็นคนละขั้น ถ้ายังไม่มีความสงบอย่าไปเรียน
เรียนไปก็ทำอะไรไม่ได้ ปลงไม่ได้ ตัดไม่ได้
เรียนร่างกายว่าต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
พอไปเจอความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ก็ทุกข์ขึ้นมาอีก เพราะไม่มีกำลัง
ที่จะหยุดความอยาก
แต่ถ้าเรามีสมาธิเราหยุดความอยากเป็นแล้ว
พอถึงเวลาบอกให้ปลงก็ปลงได้
ตอนนี้เรายังไม่มีเครื่องมือปลง
ดังนั้นอย่าเพิ่งไปพิจารณาปลง
พิจารณาอย่างไรก็ปลงไม่ลง รู้ ฟังมาทุกวัน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายกัน
แต่ปลงไม่ได้ เวลาจะเป็นอะไรหน่อยนี้
ใจทุกข์ขึ้นมาทันที เจ็บกระเพาะหน่อย
เจ็บท้องหน่อยก็ตกใจแล้ว มะเร็งหรือเปล่า
แต่ถ้ามีสติ มีสมาธิ จะเฉยๆ เป็นก็เป็น
เราไม่ได้เป็นกับมันจะกลัวอะไร
ใจไม่ได้เป็นร่างกายไปกลัวแทนร่างกายทำไม
ร่างกายนี้เป็นไม่เป็นไม่เห็นมันกลัว
ร่างกายมันไม่เคยบ่น
ว่าเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้
มีแต่ใจไปบ่นเอง ไปทุกข์เอง
แต่ถ้ามีสติ มีสมาธิก็หยุดความทุกข์ได้
พอมันจะทุกข์ก็พุทโธๆ ทำใจให้นิ่งมันก็หายแล้ว
หายทุกข์ แล้วก็มาใช้ปัญญา ค้นคว้า
ว่าอะไรที่ทำให้เราทุกข์กันแน่
ร่างกายทำให้เราทุกข์
หรือว่าเราอยากให้มันไม่เจ็บ
ยิ่งทำให้เราทุกข์ มันมี ๒ เหตุ
แต่เราไปคิดว่าความเจ็บของร่างกาย
ทำให้เราทุกข์ แต่มันไม่ใช่เหตุที่ทำให้เราทุกข์
เหตุที่ทำให้เราทุกข์ก็คือ
ความอยากให้มันไม่เจ็บ
อันนี้ เห็นไหม เพียงแต่คิดถึงมัน
มันยังไม่ทันเจ็บก็ทุกข์แล้วใช่ไหม
คิดว่าต้องเป็นมะเร็งขึ้นมาจะทำอย่างไร
แค่นี้ก็ทุกข์แล้ว เพราะอยากไม่เป็น
แต่ถ้าพิจารณาว่ามันต้องเป็น
เกิดมาแล้วมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
มันก็ต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่ง
มันจะเป็นก็ให้มันเป็นไป
เพราะเราห้ามมันไม่ได้
พอเราปลงได้ ยอมรับได้มันก็ไม่ทุกข์
แต่เราปลงไม่ได้ ถ้าเราไม่มีสมาธิ
เราหยุดมันไม่ได้ เราหยุดความอยากไม่ได้
สอนมันอย่างไรว่ามันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
มันก็ไม่ฟัง มันก็ยังไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ
ไม่อยากตายอยู่นั่นแหละ
ดังนั้นสมาธินี้สำคัญมากนะ
ถ้าไม่มีสมาธิแล้วปัญญาทำงานไม่ได้
ใช้ปัญญาตัดกิเลสฆ่ากิเลสไม่ได้
เพราะไม่มีกำลังพอ
แต่ถ้ามีสมาธิอย่างเดียวก็ฆ่าไม่ตาย
เพียงแต่กดมันไว้ เหมือนหินทับหญ้า
สมาธินี้เป็นเหมือนหินทับกิเลส
เวลามีสมาธิจิตสงบ กิเลสก็ไม่ทำงาน
พอออกจากสมาธิมาปั๊บ
พอคิดปั๊บมันก็ออกมาทำงานต่อ
หญ้านี้พอเราเอาหินออกมันก็งอกเงยให้มาได้
ถ้าอยากจะให้หญ้า มันตายอย่างถาวร
ก็ต้องถอนรากถอนโคน
รากของกิเลสก็คือความหลง
ความหลงที่ไม่รู้ว่าความทุกข์นี้
เกิดจากความอยากของเราเอง เท่านั้นเอง
ตอนนี้เรารู้แล้วมีพระพุทธเจ้ามาบอกเรา สบาย
เคล็ดลับอันนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาบอก
ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความไม่สบายใจของเรานี้
เกิดจากความอยากของเราเอง
เราไม่สบายใจเพราะแก่บ้าง
ไม่สบายใจเพราะเจ็บบ้าง
ไม่สบายใจเพราะตายบ้าง ความจริงของเหล่านี้
มันไม่ได้ทำให้เราไม่สบายใจหรอก
เพราะคนที่เขาพิสูจน์มาแล้วคือพระพุทธเจ้านี้
ท่านสบายกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เพราะท่านไม่มีความอยากไม่แก่
อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย ท่านค้นพบแล้วว่า
ความไม่สบายใจของพวกเราเกิดจาก
ความอยากของพวกเราเองไม่ได้เกิดจาก
ความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายเลย
อันนี้เป็นเรื่องของปัญญาที่เราจะต้องศึกษา
ซึ่งตอนนี้เราก็ศึกษากันเยอะแล้วรู้อยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าเรายัง เอามาใช้ไม่ได้
เอามาสอนให้ใจหยุดความอยากไม่ได้
เพราะไม่มีกำลัง ต้องสร้างกำลังหยุดขึ้นมา
ก็คือ สติ พุทโธๆไป หยุดความคิด
แล้วมันก็จะหยุดความอยาก
พอหยุดได้แล้วทีนี้พอมันอยากปั๊บ
เราก็หยุดมันได้
อยากไม่แก่เราก็หยุดมันได้
อยากไม่เจ็บเราก็หยุดมันได้
อยากไม่ตายเราก็หยุดมันได้
แล้วเวลามันแก่ มันเจ็บ มันตายเราก็จะเฉยๆ
เพราะเราไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไปกับมัน
เราไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย
เราไม่ได้เป็นร่างกาย.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.....................
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ