Group Blog
All Blog
### ธาตุ ๖ ###











“ธาตุ ๖”

สอนอยู่เสมอว่า

เกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา

 แต่ใจไม่ตาย ไปกลัวทำไม ใจไม่เคยตาย

กลับไปกลัวตายเสียเอง

สิ่งที่ตายกลับไม่กลัวก็คือร่างกาย

 หนังเนื้อเอ็นกระดูกไม่กลัว

ผู้ที่กลัวไม่ตาย ให้ค้นความจริงนี้ให้พบเถิด

 แล้วจะอยู่อย่างสบาย

 ให้พบผู้ที่ไม่ตาย ก็คือเรานี่เอง

 แต่ทำไมเรามองไม่เห็นตัวเรา

เพราะไม่มีกระจกเงาดู

 กระจกเงาที่จะดูใจได้ก็คือธรรมะ

 การภาวนาเป็นการสร้างกระจกเงาดูใจ

 ถ้าสร้างสำเร็จแล้ว ก็จะมีดวงตาเห็นธรรม

 เห็นความจริง เห็นว่า

ใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน

กายเป็นดินน้ำลมไฟ ใจเป็นธาตุรู้

 มาอยู่ร่วมกัน ตามอำนาจของตัณหา

ความอยาก ของบุญและบาป

ถ้าเป็นอำนาจบุญก็ได้ร่างมนุษย์

 ถ้าเป็นอำนาจบาปก็ได้ร่างเดรัจฉาน

 อยู่ไประยะหนึ่งแล้วก็แยกออกจากกัน

 แล้วก็กลับมารวมกันใหม่

 กลับมาได้ร่างใหม่ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้

มานับไม่ถ้วนแล้ว

แต่ผู้ที่ได้ร่างนี้ไม่เคยศึกษาความจริงนี้

 ทุกครั้งที่ได้ร่างกาย

ก็คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา

 พอร่างกายเป็นอะไรไป

 ก็เกิดความหวาดกลัว

เกิดความทุกข์ขึ้นมา

ถ้ามีกระจกเงาไว้ดูใจ

เหมือนมีกระจกเงาดูหน้าตา

 ก็จะรู้ว่าเราไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา

 ท่านถึงได้แสดงไว้ว่าร่างกายเป็นอนัตตา

 ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

 เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตาย

 เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติดไปหลง

คิดว่าเป็นตัวเราของเรา

 นี่คืออนิจจังทุกขังอนัตตา

ถ้าเห็นธรรมนี้ ก็จะมีกระจกเงาเห็นตนเอง

จะไม่กลัวความตาย

 เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ

 ท่านก็เปล่งวาจาว่า

 “สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา”

ท่านเห็นอย่างชัดเจนว่า

 ผู้เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็นเป็นคนละส่วนกัน

 สิ่งที่ถูกเห็นก็คือร่างกาย

ที่ประกอบจากดินน้ำลมไฟ คือธาตุ ๔

ไม่ได้เป็นผู้เห็น ผู้เห็นเพียงมาครอบครอง

เป็นสมบัติชั่วคราว เมื่อถึงเวลา

สมบัตินี้ก็จะต้องเสื่อมหมดสภาพไป

ก็จะแยกกลับคืนสู่สภาพเดิม

กลับไปสู่น้ำ กลับไปสู่ดิน

 กลับไปสู่ลม กลับไปสู่ไฟ

 เวลาคนตายไฟก็จะออกจากร่างไป

 ร่างกายก็จะเย็น น้ำก็จะไหลออกไป

ลมก็จะระเหยออกไป

ในที่สุดก็จะเหลือแต่ส่วนที่เป็นดิน

เห็นกันชัดๆ ตัวเราอยู่ตรงไหน

ตัวเขาอยู่ตรงไหน ไม่มีหรอก

 ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ไปแล้ว

ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เป็นเหมือนกันทุกคน

 ใจของทุกคนเป็นธรรมชาติเดียวกัน

 เป็นธาตุรู้เหมือนกัน

 ต่างกันที่รู้ไม่จริงกับรู้จริงเท่านั้นเอง

ถ้ารู้จริงก็ไม่ทุกข์ ปล่อยวางไม่ยึดไม่ติด

 ไม่อยากจะได้ร่างกายใหม่

 เพราะได้มาทีไรก็ต้องเป็นภาระ

 เป็นภารหเว ปัญจขันธา ขันธ์ ๕

เป็นภาระที่ต้องแบก

 เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวก

 หลังจากที่ตรัสรู้บรรลุธรรมแล้ว

 ก็ยังต้องแบกภาระของร่างกายอยู่

ยังต้องดูแลรักษา ให้อาหารอาบน้ำอาบท่า

 เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องให้ยา

เป็นภาระอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีร่างกาย

ก็จะไม่มีภาระ

ถ้าไม่มีลูกก็จะไม่มีภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูก

 ถ้ามีลูกก็จะมีภาระต้องเลี้ยงดูลูก

 ตั้งแต่ออกมาจากท้อง จนกว่าจะเจริญเติบโต

 จนเลี้ยงตัวเองได้ ถึงจะหมดภาระ

นี่คือกระจกส่องใจ

แว่นดวงใจ แว่นส่องใจ คือปัญญา

หรือแสงสว่างแห่งธรรม

ที่จะทำให้เห็นความจริงนี้

มีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว

 ที่ทรงเห็นใจได้ด้วยพระองค์เอง

ที่ทรงตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องของใจนี่เอง

 ตรัสรู้ว่าใจทุกข์เพราะอะไร

ใจสุขเพราะอะไร ใจทุกข์เพราะหลง

ไปยึดไปติดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเราของเรา

 ทรงแสดงไว้ในทุกขสัจ

อุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ถ้าไม่มีอุปาทานก็จะไม่มีความทุกข์

ถึงแม้จะมีขันธ์ ๕ แต่ถ้าไม่มีอุปาทานก็จะไม่ทุกข์

 เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่ทุกข์กับร่างกาย

 จะเป็นจะตายอย่างไรไม่เดือดร้อน

ตายในอิริยาบถใดที่ไหนเวลาใดได้อย่างสบาย

เพราะไม่มีอุปาทานในขันธ์ ๕ในร่างกาย

 ว่าเป็นตัวเราของเรา

 เห็นชัดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

พระอริยสัจ ๔ ก็คือทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค

 ทุกข์ได้แก่การเกิดแก่เจ็บตาย

การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ

การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ

โดยสรุปก็คืออุปาทานในขันธ์ ๕

ทั้งของเราและของผู้อื่น

อุปาทานในขันธ์ ๕ ของเราก็คือร่างกายเรา

ของผู้อื่นก็คือ

ของสามีของภรรยาของบุตรของธิดา

 ของพ่อของแม่ของเพื่อน

พอมีอุปาทานว่าเป็นเพื่อนเราเป็นญาติเรา

ก็เกิดความอยากให้เขาอยู่อย่างปลอดภัย

อยู่ไปนานๆ พอมีเหตุการณ์มากระทบ

กับความปลอดภัย ก็สร้างความหวั่นไหว

 สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนใจขึ้นมา

ทั้งหมดนี้ก็เกิดจาก อวิชชาปัจจยาสังขารา

 ความเห็นผิดเป็นชอบ

ไม่เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา

 สัพเพธัมมาอนัตตา

 สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นเพียงธาตุ

ธาตุที่เห็นกันก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 ธาตุที่ไม่เห็นมีอยู่ ๒ คืออากาศธาตุ

 และธาตุรู้คือใจ

สรรพสัตว์ทั้งหลายมีธาตุ ๖ มาผสมกัน

 สิ่งอื่นๆมีเพียง ๕ ธาตุ

 มนุษย์กับเดรัจฉานมี ๖ ธาตุ

 คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ธาตุรู้คือใจ

 แล้วก็มีอากาศธาตุคือความว่าง

ที่อยู่รอบร่างกาย และอยู่ข้างในร่างกายด้วย

 ตรงไหนเป็นช่องว่าง ตรงนั้นก็เป็นอากาศธาตุ

 เช่นที่รูจมูก ส่วนที่ว่างในร่างกาย

 ก็จะเป็นอากาศธาตุ

 ส่วนที่อยู่รอบร่างกายก็เป็นอากาศธาตุ

ส่วนธาตุรู้ก็คือใจ ที่เป็นเจ้านายของร่างกาย

ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว

ธาตุรู้เป็นผู้สั่งให้ร่างกายทำงาน ให้ไปนั่นมานี่

ให้พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้

 ธาตุรู้เป็นทั้งผู้สั่งและผู้รับรู้

 สิ่งต่างๆที่เข้ามาทางทวารทั้ง ๕

คือตาหูจมูกลิ้นกาย

ส่วนอวิชชาปัจจยาสังขาราก็คือ

ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุ

กลับไปคิดว่าเป็นตัวเราของเรา

เวลาร่างกายสุขก็ดีใจ

เวลาร่างกายเจ็บก็ทุกข์ใจ

 จึงเกิดตัณหาขึ้นมา

 เกิดกามตัณหาภวตัณหาวิภวตัณหาขึ้นมา

 ตัณหาเป็นสมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์

เพราะอวิชชาจึงเกิดอุปาทานตัณหา

เกิดความทุกข์ตามมา

 ที่พวกเราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทุกข์ทางใจ

 เพราะตัณหาทั้ง ๓ นี้ อากาศร้อนก็ทุกข์

 เพราะไม่ชอบเวทนาที่ร้อน อยากจะให้เย็นก็ทุกข์

ถ้ายอมรับความร้อนได้ ร้อนก็ร้อนไป

 ก็จะไม่ทุกข์ ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ

 ไม่ต้องหาวิธีต่างๆมาดับความร้อน

อยู่ได้ก็อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ตาย ก็จะไม่ทุกข์

เพราะไม่มีอุปาทาน ไม่ได้คิดว่าตัวเราร้อน

 ไม่ได้คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา

ตัวเราไม่ร้อน ตัวเราเพียงแต่รู้ว่าร่างกายร้อน

 ตัวเราคือผู้รู้ไม่ได้ร้อนไปกับร่างกาย

 เราเย็นด้วยความสงบ ด้วยการปล่อยวาง

 เป็นอุเบกขา ไม่มีตัณหาทั้ง ๓

 กามตัณหาก็ไม่มี

ภวตัณหาก็ไม่มี วิภวตัณหาก็ไม่มี

 ยินดีตามมีตามเกิด

นี่คือเป้าหมายของการปฏิบัติ

เพื่อสอนใจให้ปล่อยวาง

 ไม่ให้ยึดไม่ให้ติดในสิ่งต่างๆ

ที่เป็นเพียงธาตุ ๖ ธาตุดินน้ำลมไฟ

ธาตุอากาศและธาตุรู้

ถ้าเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกสิ่งทุกอย่าง

 ก็จะปล่อยวางได้ จะไม่ทุกข์กับอะไร

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมาจากธาตุ ๖ นี้เอง

 ร่างกายและใจของเราก็มาจากธาตุ ๖

ของคนอื่นก็ธาตุ ๖ บ้านก็เป็นธาตุ

 สมบัติต่างๆก็เป็นธาตุ

เพชรก้อนโตเท่ากำมือก็เป็นธาตุ

 เป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่เราสมมุติว่ามีราคา

 แล้วก็หลงตามสมมุติ

 แต่ความจริงไม่มีราคาอะไร

 เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง

กระดาษที่พิมพ์ตัวเลข ๑๐๐๐

 เลข ๕๐๐ เลข ๑๐๐

ก็เป็นเพียงกระดาษ

ถูกสมมุติให้มีราคาเท่านั้นเท่านี้

 สมัยเป็นเด็กๆเคยเล่นไพ่ใช้เงินปลอม

ไม่มีใครเชื่อกันว่าเป็นเงินจริง

แต่เงินปลอมของผู้ใหญ่กลับเชื่อกัน

เงินปลอมของเด็กไม่เชื่อ

เป็นเงินปลอมเหมือนกัน

เป็นกระดาษเหมือนกัน

 พอมีคนเชื่อก็เลยมีค่าขึ้นมา

เอากระดาษนี้ไปแลกข้าวปลาอาหารได้

เพราะเชื่อกัน

 เงินของฝรั่งพิมพ์คำว่าเราเชื่อในพระเจ้าไว้

จึงมีคุณค่า ความจริงเป็นเพียงกระดาษ

 แต่ทุกคนเชื่อกันหลงกันว่ามีราคา

จึงเป็นของมีราคาขึ้นมา

 แต่ความจริงไม่มีราคาอะไร

ถ้าหลงอยู่ในป่า ไปเจอเพชรกองเท่าภูเขา

 ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร

ไปเจอกล้วยสักหวีหนึ่งจะดีกว่า

แต่เราไม่ใช้ปัญญาแยกแยะกัน

 เกิดมาถูกสอนให้เชื่อก็เชื่อตามกันมา

 สอนว่าร่างกายคนนี้เป็นพ่อ

 ร่างกายคนนี้เป็นแม่ ก็เชื่อกันมา

คนนี้เป็นพี่ คนนี้เป็นน้อง

คนนี้เป็นเจ้า คนนี้เป็นบ่าว ก็คนเหมือนกัน

หน้าตาเจ้ากับหน้าตาบ่าวต่างกันตรงไหน

ถ้าเจ้ามีเขาก็น่าจะวิเศษกว่าบ่าว

 เจ้าก็ไม่มีเขา บ่าวก็ไม่มีเขา

 มีแขนมีขาเหมือนกัน มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน

 จะไปตื่นเต้นกับอะไร เพราะไม่ใช้ปัญญา

 หลงตามสมมุติกัน สมมุติว่าคนนั้นมีราคา

 คนนี้ไม่มีราคา

แต่ความจริงก็เป็นร่างกายเหมือนกัน

 เป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน

เป็นดินน้ำลมไฟเหมือนกัน

นี้เรียกว่าปัญญา

จะรู้ทันกิเลสก็ต้องรู้แบบนี้

ต้องพิจารณาแบบนี้ ต้องมองอย่างนี้

จะได้หลุดพ้นจากสมมุติ

 เราติดอยู่กับสมมุติ จึงต้องศึกษาอยู่เรื่อยๆ

 พิจารณาอยู่เรื่อยๆ เป็นการบ้านสำหรับวันนี้

 ไปพิจารณาดู เห็นอะไรก็พิจารณาว่าเป็นธาตุ

 แยกแยะดูว่าเป็นธาตุหรือไม่

 มีอะไรบ้างที่ไม่เป็นธาตุ ดินน้ำลมไฟ

 ธาตุดินก็เป็นส่วนแข็ง ธาตุน้ำเป็นส่วนเหลว

บางสิ่งก็มีทั้งธาตุดินธาตุน้ำผสมกัน ก็ข้นหน่อย

ถ้าใสก็จะไม่มีธาตุดินเลย หรือมีน้อยมาก

เช่นน้ำแร่ มีธาตุดินอยู่ด้วย แต่มีจำนวนน้อยมาก

 ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าน้ำแร่ได้อย่างไร

ต้องเรียกว่าน้ำกลั่น

 เพราะน้ำกลั่นแทบจะไม่มีธาตุดินผสมอยู่เลย

 เพราะกลั่นเอาแต่น้ำออกมา

ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนผสมของธาตุ ๔

 รวมกันทั้งนั้น

 ไม่เที่ยง รวมตัวแล้วก็แยกออกจากกัน

 ธรรมชาติของธาตุจะกลับคืนสู่ธาตุเดิมเสมอ

น้ำจะกลับไปรวมกับน้ำ ดินจะกลับไปรวมกับดิน

 แต่ถูกปัจจัยอื่นบังคับให้มารวมกัน

พอรวมกันแล้วก็จะแยกกัน

เช่นต้นไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากดิน

เพราะมีเมล็ดอยู่ในดิน

 พอมีน้ำมาผสม ต้นก็เลยงอกออกมา

ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็ต้องแห้งตายไป

ถ้าไม่มีอากาศต้นไม้ก็ต้องตาย

ไม่มีความร้อนต้นไม้ก็ต้องตาย

 ต้องมีธาตุทั้ง ๔ ถึงจะเจริญเติบโตและอยู่ได้

 ถ้าธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งหมดไปก็จะอยู่ไม่ได้

ถ้าพลังแยกที่จะทำให้แยกออกจากกัน

 มีกำลังมากกว่า ก็จะต้องตายไป

ร่างกายของเราตายเพราะธาตุ ๔

ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน จะแยกทางกัน

ตอนต้นพลังที่ดึงไว้ให้อยู่ร่วมกันมีกำลังมากกว่า

 ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต พออ่อนกำลังลง

 สู้ปัจจัยที่จะแยกให้ออกจากกันไม่ได้

ร่างกายก็จะค่อยๆเสื่อมลงไป

 เริ่มแก่ลงไป แล้วในที่สุดก็แยกจากกันไป

คนละทิศคนละทาง น้ำก็ไปทางหนึ่ง

ไฟก็ไปทางหนึ่ง ลมก็ไปทางหนึ่ง

ดินก็ไปทางหนึ่ง

 ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

 ให้พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะปล่อยวางได้

 พอพร้อมที่จะปล่อยก็เอาไปปล่อยดู

ไปทดสอบดูว่าปล่อยได้จริงหรือไม่

ที่ไหนที่น่ากลัวๆ ที่น่าจะมีอันตรายต่อร่างกาย

 ก็ลองไปดู

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๔๑๑ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๓

“ธาตุ ๖”






ขอบตุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2559 10:05:07 น.
Counter : 669 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ