Group Blog
All Blog
<<< "ความมืดบอดของใจของผู้ที่ไม่มีปัญญา" >>>








“ความมืดบอดของใจ

    ของผู้ที่ไม่มีปัญญา “

หนังสือนี้ก็เป็นความรู้เป็นเรื่องของปัญญา

 คนเราจะฉลาดจะมีความรู้ก็ต้องมีการศึกษาจากผู้รู้

 ถ้าเราไม่สามารถศึกษาจากตัวเราเองได้

สอนตัวเราเองได้ให้ฉลาด เราก็ต้องอาศัย

คนที่เขาฉลาดมาสอนเรา เราก็ต้องศึกษาจากเขา

เช่น อ่านหนังสือหรือฟังคำสอน

 เมื่อเราได้รับได้ยินได้ฟังได้อ่านหนังสือ

เราก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา

 ความรู้ที่เราไม่รู้มาก่อนเราก็จะได้รู้

ความรู้นี้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่จิตใจของพวกเรา

 เพราะจิตใจของพวกเรานี้

เปรียบเหมือนคนที่อยู่ในที่มืด

 มืดบอดด้วยความไม่รู้ มืดบอดด้วยความหลง

 ความหลงก็คือความเห็นผิดเป็นชอบ

 ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เช่น เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 เราก็เลยทุกข์กันอยู่เรื่อยๆ เพราะเราคิดว่า

สิ่งที่เป็นทุกข์นั้นเป็นสุขกัน ถ้าเรามีปัญญา

หรือมีคนบอกให้เรารู้ว่า

สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นสุขนั้นมันเป็นทุกข์

 แล้วเราเห็นตามที่เขาบอก เราก็จะไม่ไปหาสิ่งนั้นอีก

 เมื่อเราไม่ไปหาสิ่งนั้นเราก็จะไม่ต้องทุกข์กับมัน

 แต่ตอนนี้เรายังทุกข์กันอยู่

ทุกข์เพราะว่าเรายังไม่เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์

เรากลับไปเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 เราก็เลยไปหามัน พอไปหามันก็เลยต้องทุกข์กับมัน

 เหมือนกับเห็นงู งูพิษว่าเป็นปลาไหล

 ก็ไปจับมันมาเพราะคิดว่าเป็นอาหาร

 พอไปจับงูพิษที่เราคิดว่าเป็นปลาไหลก็ถูกมันกัด

 มันก็เจ็บทรมาน

นี่คือความมืดบอดความเห็นผิดเป็นชอบ

 ความเห็นที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

 เราจึงต้องทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสุข

 เพราะเขาเป็นทุกข์ เหมือนไฟมันร้อน

แต่เราไปคิดว่ามันเย็น

 เพราะเราไปแต่ไฟเข้าไฟก็ไหม้มือเราเผามือเรา

 เห็นไหมเด็ก เด็กมันไม่รู้ว่าไฟมันเป็นอันตราย

ไปเล่นกับไฟก็ถูกไฟเผาถูกไฟช็อตเอา

 ผู้ใหญ่รู้ผู้ใหญ่ก็เลยต้องคอยสอนเด็ก

คอยห้ามเด็กไม่ให้ไปเล่นกับไฟ

พวกเราถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นผู้ใหญ่

แต่ใจยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่รู้สิ่งที่ทุกข์ว่าเป็นทุกข์อยู่

ยังไปคิดว่าสิ่งที่เป็นทุกข์นี้เป็นสุขกัน

 เราจึงทุกกันอยู่ทุกวันนี้

 ความทุกข์ของเรานี้เกิดจากความหลง

เกิดจากความไม่เห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์

 เกิดจากความเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 เราเลยเข้าหาความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

 เพราะคิดว่ากำลังเข้าหาความสุขกัน

 พอเข้าไปเจอต้องร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจกัน

นี่คือความมืดบอดของใจของผู้ที่ไม่มีปัญญา

 ผู้ที่ไม่มีความรู้ว่าทุกข์คืออะไร

สิ่งไหนคือทุกข์สิ่งไหนไม่ใช่ทุกข์

สิ่งไหนคือสุขสิ่งไหนคือทุกข์

 เราเห็นกลับตรงกันข้าม

 สิ่งที่เป็นสุขเรากลับเห็นว่าเป็นทุกข์

สิ่งที่เป็นทุกข์เรากลับเห็นว่าเป็นสุข

เราก็เลยไปหาความทุกข์กัน

อะไรที่เป็นทุกข์ที่เราคิดว่าเป็นสุข

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ

 รูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์

 แต่มันจะมีความสุขเคลือบอยู่บางๆ

เหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาล เวลาเราได้มันมาใหม่ๆ

เราจะมีความสุขกัน ได้ลาภมาก็ดีใจ

ได้เงินได้ทองมาก็ดีใจ ได้ยศได้ตำแหน่งก็ดีใจ

 ได้รางวัลได้การสรรเสริญเยินยอก็ดีใจ

ได้ไปสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ

 เช่น เวลาเราไปเที่ยวเราไปสัมผัส

กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ

ไปกันไปดื่มอาหารเครื่องดื่มชนิดต่างๆ

 ไปดูไปฟังภาพยนตร์ดูละคร ฟังการร้องรำทำเพลง

 พอเราไม่มีมันความสุขที่เราได้จากมันก็หายไป

ความทุกข์คือความว้าเหว่ความเศร้าสร้อยหงอยเหงา

 ความซึมเศร้าก็จะปรากฏขึ้นมาในใจเรา

นี่คือทุกข์ แต่เราไปคิดว่ามันเป็นสุข

 มันเป็นสุขเดี๋ยวเดียว

 สุขตอนที่เราได้ไปสัมผัสได้ไปรับรู้ ได้รับมา

 แต่เราไม่สามารถเก็บมันไว้ให้อยู่กับเราไปตลอดเวลา

 ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวมันก็ต้องหมดไป

บางอย่างก็หมดเร็วบางอย่างก็หมดช้า

 แต่ก็ต้องหมดต้องมีวันสิ้นสุด

 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดว่าให้ความสุขกับเรา

 ในที่สุดมันก็ต้องหมดไป ลาภยศสรรเสริญ

 รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มันต้องหมดไป

 ร่างกายของเราที่ใช้ในการหาลาภยศสรรเสริญ

 หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ มันก็ต้องหมดไป.

อาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 พฤษภาคม 2561
Last Update : 28 พฤษภาคม 2561 9:47:56 น.
Counter : 1148 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ