Group Blog
All Blog
### เป้าาหมายของการภาวนา ###











“เป้าหมายของการภาวนา”

เป้าหมายของการภาวนา

 ก็เพื่อหยุดความคิดปรุงแต่งนี้เอง

 จะหยุดได้ก็ต้องมีสติคอยเบรกไว้

พอมีสติปั๊บก็รู้ว่ากำลังคิดปรุงแต่ง เผลอแล้ว

 ถ้าสติดึงไม่อยู่ก็ต้องใช้พุทโธ

 หรือใช้การสวดมนต์ดึงเอาไว้

 สวดไปเรื่อยๆถึงแม้ตอนเริ่มต้นสวด

อาจจะแข่งกันก็ได้

 จะสวดไปแล้วคิดไปด้วยก็ช่างมัน

ให้พุ่งไปที่การสวดอย่างเดียว สวดไปๆ

 ไม่นานความคิดปรุงแต่งก็ต้องยอมแพ้เราเอง

ถ้าเราไม่ยอมแพ้มันๆก็ต้องยอมแพ้เรา

 เหมือนพวกที่ชักเย่อกัน ๒ ฝ่าย

 ฝ่ายที่ไม่ยอมแพ้ มีกำลังมากกว่า

 ก็ต้องชนะได้

ถ้ากำลังน้อยกว่าก็แพ้

นั่งได้ไม่นานก็ทนไม่ไหว

 เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ก็ลุกขึ้น

แสดงว่าแพ้แล้ว

 ถ้าสู้ไปเรื่อยๆ พอเขายอมแพ้

จะรู้สึกเบาสบายขึ้นมาทันที

เพราะแรงต้านหมดไป

แรงที่จะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้หมดไป

 จิตก็สงบตัวลง จะสงบมากสงบน้อย

ก็อยู่ที่ฐานของจิต

ใหม่ๆฐานของจิตจะอยู่ไม่ลึก

 จะสงบน้อย ถ้าภาวนาไปเรื่อยๆ

จะลึกลงไปเรื่อยๆ

 ต่อไปจะรวมได้เต็มที่ จะลงถึงฐานเลย

 จะว่าง จะสบาย เหมือนลอยอยู่ในอวกาศ

ต้องพยายามภาวนากัน

ทุกคนต้องเริ่มต้นที่

 ก.ไก่ ข.ไข่ เริ่มต้นที่ก้าวที่ ๑ ไป

 พยายามก้าวไป พยายามทำไป

 ทำได้มากน้อย ก็ทำไป สติสำคัญที่สุด

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่กว่าสติ

 ทรงเปรียบสติเหมือนรอยเท้าช้าง

ส่วนสมาธิปัญญาเป็นรอยเท้าสัตว์อื่น

 ถึงแม้จะต้องใช้ปัญญาตัดกิเลส

ถ้าไม่มีสติ ปัญญาก็เกิดไม่ได้

 เหมือนพระพุทธเจ้านี้

 ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้

 ต้องมีพ่อแม่ให้กำเนิด

ถึงแม้พ่อแม่จะไม่สามารถบรรลุ

เป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ตาม

 แต่พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้า

 สติก็เป็นผู้ให้กำเนิดสมาธิและปัญญา

 ถ้าไม่มีสติ สมาธิและปัญญาก็จะเกิดไม่ได้

 การภาวนาต้องเริ่มที่สติก่อน พัฒนาสติก่อน

 ในสติปัฏฐานสูตรนี้ สอนทั้งการเจริญสติ

สอนทั้งการนั่งสมาธิ คืออานาปานสติ

 แล้วสอนทั้งการเจริญปัญญา

 คือพิจารณารูปขันธ์นามขันธ์

รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาน

 สอนทั้งสติสอนทั้งสมาธิสอนทั้งปัญญา

 ที่ประเทศศรีลังกาถือพระสูตรนี้

เป็นพระสูตรที่สำคัญที่สุด

 ชาวพุทธที่ศรีลังกา

จะต้องท่องพระสูตรนี้ให้ได้กัน

 ถือว่าได้บุญมาก

ของไทยเราจะถือมงคลสูตรกันมากกว่า

 อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา

อันนี้ก็เป็นพระสูตรสำคัญ

 แต่จะไม่ละเอียดไม่ได้พูดถึงการภาวนา

จะพูดถึงความเจริญ เริ่มต้นก็ต้อง

 อะเสวะนา จะ พาลานัง ไม่คบคนพาล คนโง่

คนที่ไม่รู้ธรรมะ ให้คบบัณฑิต

คนฉลาดคนที่รู้ธรรม

เช่นเข้าหาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี้

เรียกว่าคบบัณฑิต

ถ้าคบกับพวกกินเหล้าเมายาเล่นการพนัน

 แสดงว่ากำลังคบคนพาล

ต้องศึกษาและปฏิบัติก่อน ถึงจะปฏิเวธ

 ถึงจะบรรลุธรรมได้ ถ้าศึกษาจนรู้แล้ว

ว่าต้องปฏิบัติอะไร ทีนี้ก็ต้องปฏิบัติ

 หยุดศึกษาไว้ก่อน ปฏิบัติไป

จนกว่าจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ

ก็ศึกษาอีก อย่าศึกษาตั้งแต่ต้นจนจบ

เพราะเดี๋ยวก็ลืม ศึกษาไปก็เปล่าประโยชน์

 เหมือนเรียนหนังสือ อยู่ชั้น ป. ๑

ก็เรียนวิชาของ ป. ๑ ไปก่อน

 ไม่ใช่เรียนวิชาของ ป. ๑ จนถึงปริญญาตรีเลย

 ปีแรกก็เรียนชั้น ป. ๑ ไปก่อน

ตอนนี้ก็เรียนวิชาการทำบุญให้ทานไปก่อน

แล้วนำเอาไปปฏิบัติ ให้ไปให้หมดเลย

มีเท่าไหร่ก็ให้ไปให้หมด

 ถ้าให้หมดแล้วก็เรียนขั้นที่ ๒ เรียนขั้นศีล

 บวชพระก็เรียนศีล ๒๒๗ ข้อ

 ถ้าบวชเป็นภิกษุณีก็ ๓๑๑ ข้อ

ถ้าบวชชีก็รักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ไป

แล้วก็ภาวนาไปด้วย ศึกษาการภาวนา

ว่าต้องทำอย่างไร เจริญสติอย่างไร

สมาธิที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

สมาธิที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร

ถ้านั่งแล้วไปรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้

 เรียกว่าไม่ถูกต้อง

ทางศาสนาพุทธไม่ต้องการสมาธิแบบนี้

ต้องการสมาธิที่นิ่งว่างสงบสบาย

ใจเป็นอุเบกขา

 ไม่หิวไม่อยากไม่ต้องการอะไร

 เพื่อตัดกำลังของกิเลสตัณหา

เพื่อเป็นบาทฐานของการเจริญปัญญาต่อไป

ถ้าจิตไม่สงบกิเลสไม่ถูกตัดกำลัง

 เวลาพิจารณาทางปัญญา จะเกิดอารมณ์หดหู่

 อารมณ์ไม่ดีตามมาได้ เช่นพิจารณาความตาย

 หรือพิจารณาอสุภะ

ถ้าไม่มีสมาธิจะไม่อยากพิจารณา

ไม่อยากดูซากศพ

ไม่อยากดูอาการ ๓๒ ของร่างกาย

 แต่ถ้าจิตสงบแล้วจะดูได้ จะพิจารณาได้

 จะไม่หดหู่ จะชอบ

 เพราะดูแล้วทำให้ปลงสังเวชได้

 ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตาได้

ถ้าไม่มีสมาธิแล้วไปเจริญปัญญา

จิตจะวิปลาสได้

สมัยพระพุทธกาล

มีพระภิกษุที่พิจารณาความตาย

แล้วก็ฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าร่างกายต้องตาย

ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็เลยฆ่าตัวตาย

 พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม ฆ่าไม่ได้

 ถ้าคิดจะฆ่าตัวตายก็ต้องหยุดคิดแล้ว

 ทรงสอนให้เจริญสมถภาวนาก่อน

 ให้เจริญเมตตาภาวนา

 ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น

 เมื่อหลายปีมาแล้วมีข่าวครอบครัวหนึ่ง

ที่แขวนคอตายทั้งครอบครัว

ปฏิบัติธรรมแล้วจิตวิปลาสไป คิดว่าบรรลุแล้ว

ไม่ต้องอยู่ต่อไป คงจะคิดว่า

ถ้าบรรลุแล้วต้องฆ่าตัวตายได้

แต่ความจริงไม่ใช่เป็นอย่างนั้น

ความจริงต้องยอมรับความตาย

 ต้องกล้าตาย แต่ไม่ได้หมายความว่า

ต้องฆ่าตัวตาย ต้องปลงให้ได้

ต้องยอมรับความตายให้ได้

อย่างที่พระภิกษุไปอยู่ในป่านี้ ก็เพื่อไปปลง

 เพื่อให้พบกับความตาย

ไปอยู่ใกล้กับความตาย

ที่จะทำให้เกิดความกลัว ซึ่งเป็นกิเลส

พอเกิดความกลัวสุดขีดขึ้นมา

 วิธีที่จะดับได้ วิธีที่จะดึงจิต

ให้กลับเข้าสู่ความสงบได้ ก็ต้องใช้ปัญญา

 คือไตรลักษณ์นี้ ต้องพิจารณาว่า

 เกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา

ล่วงพ้นความตายไม่ได้

พอยอมรับว่าต้องตายแล้วก็ยอมตาย

 จิตก็จะสงบ

 หลังจากนั้นร่างกายจะตายหรือไม่ตาย

 จะไม่เป็นปัญหา

ที่เราต้องการฆ่านี้ไม่ใช่ร่างกาย

ต้องการฆ่ากิเลสคือความกลัวตาย

ด้วยการยอมตาย เพราะความกลัวตายก็คือ

วิภวตัณหานี่เอง ความอยากไม่ตาย

อยากอยู่ไปนานๆ

วิภวตัณหาเป็นตัวที่สร้างความทุกข์

แต่พอยอมตายแล้ว จะไม่กลัวความตาย

 อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังเป็นกิเลส

 ถ้าอยากตายก็เป็นกิเลส อยากอยู่ก็เป็นกิเลส

 ต้องเป็นกลางเฉยๆ

อยู่ก็ได้ ตายก็ได้ ถึงไม่เป็นกิเลส

การปฏิบัติถ้าไม่มีครูบาอาจารย์

จะหลงกันทุกคน

 ขั้นสมาธิก็หลง ส่วนใหญ่นั่งสมาธิ

ก็อยากจะเห็นนั่นเห็นนี่กัน

เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นเทพ เห็นพรหม

เห็นอะไรต่างๆ ก็เหมือนดูทีวี ไม่เกิดประโยชน์

ไม่ได้ดับกิเลส ไม่ได้เกิดปัญญา

 ถ้าจะเห็นต้องเห็นไตรลักษณ์

 เช่นเห็นเรานอนตาย เห็นอย่างนี้ใช้ได้

 เห็นอสุภะก็ได้ แต่เห็นเพียงเดี๋ยวเดียว

ยังไม่พอ ออกจากสมาธิแล้วต้องเอามาเจริญต่อ

 ต้องเอามาระลึกต่อ ให้เห็นอยู่ทุกเวลาเลย

 ทุกลมหายใจเข้าออก

มองใครนี้มองเห็นเป็นซากศพเลย

มองเห็นว่าต่อไปต้องกลายเป็นขี้เถ้า

กลายเป็นเศษกระดูก ต้องเห็นอย่างนี้

 ถึงจะตัดกิเลสได้ ถ้าเห็นขณะที่อยู่ในสมาธิ

 พอออกมาไม่เอามาเจริญต่อก็จะลืม

 เหมือนดูหนังในโรง พอออกจากโรงก็ลืมแล้ว

 การเห็นอะไรในสมาธิ

ไม่ได้หมายความว่าบรรลุแล้ว

จะต้องเอามาพิสูจน์ในชีวิตจริง

 ถ้าเห็นว่านอนตาย ก็ต้องไปพิสูจน์ดูว่า

 ยอมตายหรือไม่ รับความตายได้หรือไม่

 ต้องเข้าสนามสอบ

เวลานั่งสมาธิเหมือนทำการบ้าน

นอกจากธรรมขั้นละเอียด

 ถ้าผ่านขั้นร่างกายไปแล้ว จะบรรลุได้

ในขณะที่อยู่ในสมาธิ เพราะสนามสอบอยู่ในจิต

 ถ้ายังเกี่ยวกับร่างกาย

ต้องเอาร่างกายเข้าไปในสนามสอบ

ต้องไปอยู่ในที่ๆท้าทายต่อความเป็นความตาย

ถ้าเกี่ยวกับความเจ็บปวด

ก็ต้องนั่งให้เจ็บจนหายไปเอง

ใจต้องไม่หวั่นไหว ไม่กลัว

ไม่ได้อยากให้ความเจ็บหายไป

 ต้องชอบความเจ็บ แทนที่จะเกลียดความเจ็บ

 ต้องชอบความเจ็บ ถ้าชอบอะไรแล้ว

จะไม่อยากให้จากเราไป ใช่ไหม

เวลาภาวนาก็ต้องดูแผนที่บ้าง

 ถ้ามีหนังสือธรรมะก็ต้องอ่านบ้าง

เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับผลที่เกิดจากการปฏิบัติ

 อย่าเอาการวิเคราะห์ของเราเป็นตัวตัดสิน

 เพราะอาจจะสรุปผิดได้

ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมจากผู้ที่ผ่านมาแล้ว

จะดีกว่าอ่านพระไตรปิฎก

 เพราะมีบางเรื่อง

ในพระไตรปิฎกไม่ได้แสดงไว้

 เพราะปัญหามีหลากหลายด้วยกัน

 แต่ถ้ามีผู้ที่ผ่านมาแล้วนี้

 ถ้ามีปัญหาอะไรไปเล่าให้ท่านฟัง

ท่านจะตอบกลับทันที

ขอให้พยายามปฏิบัติไปเรื่อยๆ

 ฟังเทศน์ฟังธรรมบ้าง สลับกับการภาวนา

 ทำบุญให้ทานตามวาระ

ศีลก็พยายามรักษาให้มากขึ้น

จากศีล ๕ ก็พยายามรักษาศีล ๘ ไปให้ได้

ถ้าจะภาวนาต้องมีศีล ๘ ถึงจะมีกำลัง

 ศีล ๕ ไม่มีกำลัง เหมือนรถยนต์

 รถที่จะขึ้นเขาได้ง่ายต้องเป็นรถโฟร์วิลล์

 ถ้ารถธรรมดาจะขึ้นไม่ง่าย ศีล ๕ เหมือนรถเก๋ง

 ไม่มีแรงขึ้นเขา ถ้าจะภาวนาต้องใช้ศีล ๘

 เพราะจะได้ตัดกามฉันทะ

 ตัดความอยากในกามารมณ์ต่างๆ

ศีล ๕ ยังตัดไม่ได้ ศีล ๕ ยังดูหนังฟังเพลงได้

ยังกินข้าวเย็นได้ ยังนอนบนฟูกหนาๆได้

ยังร่วมหลับนอนกับคู่ครองของตนได้

 แต่พอถือศีล ๘ แล้ว จะทำไม่ได้

เมื่อทำไม่ได้แล้ว ก็จะมีเวลามาภาวนา

แต่ต้องปลีกวิเวกด้วย ไปหาที่สงบ

ถ้าอยู่ที่บ้านก็ทำห้องไว้สำหรับการภาวนา

 เวลาภาวนาต้องอยู่คนเดียว อย่าอยู่ใกล้คนอื่น

 เพราะวิถีชีวิตของเขากับของเราไม่เหมือนกัน

 เขากินข้าวเย็นเราไม่กินข้าวเย็น

 จะเป็นอุปสรรคได้

หนังสือกับซีดีใครต้องการก็มาหยิบไปได้นะ

 หยิบไปตามความต้องการ

 อ่านมากๆไม่รู้จะเฟ้อไปหรือเปล่า

อ่านก็ได้ประโยชน์ แต่อย่าอ่านอย่างเดียว

 ต้องอ่านควบคู่กับการปฏิบัติถึงจะดี

เพราะหนังสือธรรมะเป็นคู่มือของการปฏิบัติ

 เหมือนกับคู่มือรถยนต์ ถ้ารถเสียก็ต้องเปิดคู่มือ

ดูว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ถ้าไม่มีช่างก็ต้องดูคู่มือ

 ต้องแก้เอง การภาวนา

ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์

ก็ต้องเปิดหนังสือทางปฏิบัติดู จะช่วยได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

กัณฑ์ที่ ๔๓๕ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕

 (จุลธรรมนำใจ ๒๘)

“งานสำคัญที่สุด”





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 ธันวาคม 2559
Last Update : 3 ธันวาคม 2559 11:23:22 น.
Counter : 722 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ