Group Blog
All Blog
### บรรลุธรรม ###









“บรรลุธรรม”

การบรรลุธรรม

ก็คือการมีดวงตาเห็นธรรม

 การจะมีดวงตาเห็นธรรม

ใจจะต้องสงบ

ใจจะสงบจะต้องมีที่สงบ

ถ้าที่ไม่สงบใจมันก็ไม่สงบ

 คนที่อยากจะเห็นธรรม

เขาจึงมักจะไปอยู่ในป่ากัน

เพราะมันเป็นที่สงบ คำว่าสงบก็คือ

อยู่ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

ที่มันจะมาปิดบังธรรม

ทำให้มองไม่เห็นธรรม

ดังนั้นถ้าอยากจะบรรลุธรรม

 อยากจะเห็นธรรม

ก็ต้องไปอยู่ที่ห่างไกล

จากรูปเสียงกลิ่นรส

แล้วไปทำใจให้สงบ

 ถ้าใจอยู่ใกล้รูปเสียงกลิ่นรส

มันจะสงบยาก

 เดี๋ยวมันได้ยินเสียง

มันก็อยากจะไปฟัง

เห็นภาพก็อยากจะไปดู

ได้กลิ่นก็อยากจะไปดม

มันก็จะทำให้ไม่สามารถทำใจให้สงบได้

 เพราะใจไม่สงบมันก็จะไม่เห็นธรรม

 ไม่เห็นธรรมก็ไม่บรรลุธรรม

แต่บางคนถ้าสามารถอยู่ในที่ที่

เขาเก็บตัวของเขาเองได้

 เช่นอยู่ในบ้านคนเดียว

ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับใครไม่ไปรับรู้

รูปเสียงกลิ่นรส

ก็สามารถทำใจให้สงบได้

ก็สามารถบรรลุเห็นธรรมได้

 ถ้าอยู่ใกล้คนอยู่ใกล้เสียง

ได้กลิ่นใกล้รสนี้

เดี๋ยวเห็นเขากินข้าวนี้

อยากจะกินกับเขา

 นั่งสมาธิก็นั่งไม่ได้

 เพราะกินข้าวอิ่มมันก็ง่วงนอน

 ก็อยากจะนอน

 นั่งสมาธิก็จะหลับไม่สงบ

 ดังนั้นมันจะมีอุปสรรค

คอยขัดขวางการทำใจให้สงบ

 เดี๋ยวเขาก็เปิดทีวีดู

 เดี๋ยวเขาก็ร้องรำทำเพลงกินเลี้ยงกัน

 เราจะมานั่งพุทโธๆมันก็นั่งไม่ไหว

 ใจมันก็ไปคิดถึงเสียงที่เขากำลังเล่นกัน

 ร้องรำทำเพลงกัน

 ขนาดไปอยู่ในป่านี้ยังมีปัญหาเลย

 อย่างหลวงตาท่านเคยเล่าว่า

ท่านก็ไปธุดงค์ ไปอยู่ในป่า

แต่มันก็ต้องอยู่ในป่า

ที่ไม่ไกลจากหมูบ้าน

เพราะต้องไปบิณฑบาต

ท่านว่ากลางคืน

เขาก็มีร้องรำทำเพลงกัน

 เสียงมันก็ไปถึงที่ที่ท่านภาวนา

ท่านนั่งภาวนาไปแต่ใจก็อยากจะไป

ร้องรำทำเพลงกับเขา

 ท่านก็หักห้ามใจ

ว่าท่านมานี้ มาเพื่อที่จะมาหาธรรม

ไม่ได้มาหาความสุข

จากการร้องรำทำเพลง

 ถ้าอยากจะร้องรำทำเพลง

 ก็ไม่ต้องมาบวชให้เสียเวลา

ก็จะได้ความสุขแต่ไม่ได้ธรรม

 ได้ความสุขที่กลายเป็นความทุกข์

เวลา ที่ไม่สามารถที่จะร้องรำทำเพลงได้

เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาตาย

นี้มันจะทุกข์มาก

เพราะไม่สามารถที่ จะหาความสุข

จากการร้องรำทำเพลงอะไรต่างๆได้

แต่ถ้ามีใจที่สงบ ใจก็จะมีความสุข

โดยที่ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรสมาเสพ

 แล้วใจก็จะเห็นว่า

ความทุกข์ต่างๆ ของใจ

เกิดจากความอยากจะเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสนี่เอง

พอตัดความอยากได้

ความทุกข์ต่างๆ ก็จะหายไปหมด

 อันนี้ก็เรียกว่าบรรลุธรรม เห็นธรรม

 เห็นว่าความทุกข์นี้เกิดจาก

ความอยากของเราเอง

 แล้วก็การดับความทุกข์

 ก็คือการทำใจให้สงบ

การจะทำใจให้ฉลาดให้รู้ว่า

การไปทำตามความอยากต่างๆ

เป็นการไปสร้างความทุกข์

ไม่ใช่เป็นการไปสร้างความสุข

 ถ้าเห็นด้วยปัญญา

 เห็นเพราะว่าเวลาอยากมันจะทุกข์

 เวลาใช้ปัญญาหยุดความอยากแล้ว

มันจะสงบ มันจะมีความสุข

มันก็บรรลุธรรม เห็นอริยสัจ ๔

การที่บรรลุธรรมนี้

ก็คือการเห็นอริยสัจ ๔

 เห็นว่าความไม่สบายใจของเรา

 เกิดจากความอยากของเรา

 และเห็นว่าการทำตามความอยากนี้

เป็นการสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

 เราก็หยุดมัน

 เพราะการทำตาม ความอยาก

ไม่ได้นำไปสู่ความสุขที่ถาวร

 ความสุขต่างๆที่ได้

จากการทำตามความอยาก

เป็นความสุขชั่วคราว

 ประเดี๋ยวประด๋าว

เวลาได้ดูได้ฟังได้ดื่ม

ได้รับประทานก็มีความสุข

พอเสร็จแล้วความสุขนั้นก็หายไป

 แล้วก็เกิดความอยากดื่ม

อยากรับประทานขึ้นมาใหม่

ถ้าไม่ได้ดื่มไม่ได้รับประทานก็ทุกข์

อันนี้ก็จะเห็นธรรม

 แล้วก็จะสามารถบรรลุธรรมได้

บรรลุธรรมก็คือดับความทุกข์ต่างๆ

ที่มีอยู่ในใจได้ ที่เกิดจากความอยาก

ด้วยการไม่ทำตามความอยาก

อยากได้อะไรก็ไม่เอา

 อยากให้คนนั้นคนนี้

เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

ก็ไม่อยากแล้ว ปล่อยให้เขาเป็นไป

 ใครอยากจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา

ใครอยากจะด่า ก็ปล่อยให้เขาด่าไป

 ใครอยากจะชมก็ปล่อยให้เขาชมไป

ใครอยากจะกลั่นแกล้ง

ก็ปล่อยให้เขากลั่นแกล้งไป

 ใครอยากจะตีก็ปล่อยให้เขาตีไป

 ถ้าหลบได้ก็หลบ ถ้าหลบไม่ได้ก็ถือว่า

เป็นเรื่องของกรรมก็แล้วกัน

ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตาย

คิดอย่างนี้แล้วมันก็จะไม่ทุกข์กับอะไร

 ใครจะเอาอะไรไปก็เอาไป

 เอาไปได้ก็เอาไป

ตอนนี้ถ้าเกิดขโมยขึ้นบ้านเรา

ก็ทำอะไรไม่ได้

มันจะขโมยข้าวของอะไรไป

หรือไฟกำลังไหม้บ้านก็ทำอะไรไม่ได้

ไหม้ก็ปล่อยมันไหม้ไป

 ตอนนี้ถ้าจะถูก เขามายิงตาย

ก็ห้ามเขาไม่ได้มันต้องตาย ตายก็ตาย

ถ้าไม่มีความอยากแล้วมันจะไม่ทุกข์

 ถ้าไม่มีความอยากไม่ตาย

มันจะไม่ทุกข์

 ถ้าไม่มีความอยากให้ขโมยขึ้นบ้าน

มันจะไม่ทุกข์

ถ้าไม่มีความอยากให้ไฟไหม้บ้าน

มันก็จะไม่ทุกข์ ไหม้ก็ไหม้ไป

ห้ามมันได้หรือเปล่า ห้ามมันไม่ได้

แต่เราห้ามใจได้ ห้ามความอยาก

 ห้ามความทุกข์ที่เกิด

จากความอยากได้

 เราก็อยู่เหนือความทุกข์ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

 มันก็จะไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้

ใครจะด่าเราอย่างไรเราก็ไม่ทุกข์

ถ้าเราไม่มีความอยากไม่ให้เขาด่า

 เราทุกข์เพราะเรา

ไม่อยากให้เขาด่าเท่านั้นเอง

 แต่ถ้าเราไม่มีความอยากให้เขาด่า

 เขาจะด่าก็ด่าไป

 เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร

ปากของเขา เราห้ามเขาไม่ได้

ก็เหมือนฟ้าร้อง

ฟ้าร้องเราก็ห้ามมันไม่ได้

 เราก็ปล่อยมันร้องไป

เสียงฟ้าร้องมันดังกว่าเสียงคนด่า

ตั้งหลายเท่าเรายังทนได้

 แต่เสียงด่าเบาๆกลับทนไม่ได้

ทนไม่ได้เพราะ

ไม่อยากให้เขาด่าเท่านั้นเอง

 ถ้ายอมให้เขาด่าแล้ว

เขาด่าจนปากเปียกปากฉีก

เดี๋ยวเขาก็หยุดเอง

 ทำใจให้ไม่มีความอยากแล้วจะสบาย

 อย่าไปอยากในรูปเสียงกลิ่นรส

อย่าไปอยากมีอยากเป็น

อยากให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 อยากให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้

เขาจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา

 เขาจะด่าก็เรื่องของเขา

ไม่ใช่เรื่องของเรา

 เรื่องของเราก็คือทำใจเรา

อย่าให้ไปเดือดร้อน

กับการกระทำของคนอื่น เท่านั้นเอง

 เราชอบไปเดือดร้อน

กับการกระทำของคนอื่น

เพราะความอยากของเรา

อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอเขาไม่เป็นก็เดือดร้อน

 แล้วดีไม่ดีก็ไปก่อเวรก่อกรรม

ไปด่าเขา ไปว่าเขา ไปทุบตีเขา

เพื่อให้เขาทำตาม

ที่เราต้องการให้เขาทำ

การที่อยากจะบรรลุธรรมนี้

ต้องทำใจให้สงบให้ได้ก่อน

ถ้าใจไม่สงบแล้วมันจะไม่เห็นธรรม

ใจเวลาไม่สงบ มันขุ่น

 เวลาสงบแล้วมันใสเหมือนน้ำ

น้ำขุ่นนี้จะมองไม่เห็นตัวปลา

 แต่พอเราทำน้ำให้ใสแล้วนี้

ปลาอยู่ในน้ำก็จะเห็น

 เห็นก็จับปลาได้

 ใจไม่สงบนี้มองไม่เห็นทุกข์

ไม่เห็นต้นเหตุของความทุกข์

ไม่เห็นวิธีการดับทุกข์

 แต่พอใจสงบ ใจจะใสจะเห็นทุกข์

 เห็นตัวที่สร้างความทุกข์ขึ้นมา

จะเห็นตัวที่จะมาหยุดความทุกข์

 มันก็จะสามารถทำให้

ใจไม่ทุกข์กับอะไรได้

 ไม่ทุกข์กับความแก่

 ความเจ็บ ความตาย

ไม่ทุกข์กับลาภยศ สรรเสริญ

สุข จะเจริญหรือจะเสื่อม

ก็ไม่เดือดร้อน

 เพราะไม่มีความอยาก

ในลาภยศ สรรเสริญ

 ถ้าอยากแล้วมันก็จะทุกข์

เวลาที่ลาภยศ สรรเสริญ

 สุขมันเสื่อมไป

 ถ้าไม่มีความอยากได้

ลาภยศ สรรเสริญ สุขมันก็จะไม่ทุกข์

เวลาลาภยศ สรรเสริญ สุขเสื่อมไป

ตอนนี้ใจของเราไม่สงบ

มันจึงไม่เห็นว่าความทุกข์

ความวุ่นวายใจของเรา

เกิดจากความอยากของเราเอง

กลับไปโทษคนนั้นโทษคนนี้

ว่าเขาทำไม่ดี

 เขาพูดไม่ดี เขากลั่นแกล้งเรา

 เขาอิจฉาริษยาเรา

เขาโหดร้าย ทารุณกับเรา

แต่ความจริงมันไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว

เขาเป็นเพียงแต่ตัวจุดชนวน

ตัวที่เป็นลูกระเบิดอยู่ในใจเรา

ใจเรานี้เป็นลูกระเบิด

เพียงแต่รอให้คนอื่น

เขามาจุดชนวนเท่านั้นเอง

 พอเขาพูดไม่ดีหน่อยก็ทุกข์แล้ว

ระเบิดขึ้นมา พอเขาทำอะไร

ไม่ถูกใจเราหน่อยก็ทุกข์ขึ้นมาแล้ว

 พอเราอยากให้เขาทำอะไร

เขาไม่ทำให้ เราก็โกรธแล้ว ทุกข์แล้ว

 ความโกรธก็คือความทุกข์

แต่ถ้าเราเอาลูกระเบิดออกไปได้

 เอาความอยากออกไปได้

ใจก็จะไม่ทุกข์กับอะไร

 ใครจะทำอะไร ใจก็ไม่ทุกข์

เพราะไม่มีความอยาก

ที่จะให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

 คนที่เราไม่รู้จักนี้เขาทำอะไร

เราไม่ค่อยทุกข์กับเขาเท่าไร

แต่คนที่เรารู้จัก

โดยเฉพาะคนใกล้ตัวเรานี้

 เช่นแฟนเรานี้ ทุกข์กับแฟนเรานี้

 อยากให้เขาทำอย่างนั้น

อยากให้เขาทำอย่างนี้

อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 อยากให้พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้

 พอไม่ทำตามใจอยาก

ก็ทุกข์กับเขาแล้ว

 แล้วก็ไปว่าเขาไปบ่นกับเขา

 ไปสร้างความรำคาญให้กับเขา

 เขาก็ยิ่งเบื่อเราใหญ่

แทนที่เขาจะรักเรา

 เขากลับเบื่อเราขึ้นมา

พอเขาเบื่อเรา เราก็ยิ่งทุกข์ใหญ่

เพราะเราอยากให้เขารักเรา

เราไม่อยากให้เขาเบื่อเรา

 แต่วิธีการของเรา เราไปทำให้เขาเบื่อ

เพราะเขาไม่ได้เป็นต้นเหตุ

ของความไม่สบายใจของเรา

ต้นเหตุของความไม่สบายใจของเรา

อยู่ที่ความอยากของเรา

อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้

ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

ก็มาหยุดความอยากซิ ปล่อยเขา

 เขาเป็นตัวของเขา

เราไปบังคับเขาได้อย่างไร

ตัวเราเรายังไม่อยาก

ให้ใครมาบังคับเราเลย

 แล้วเราจะไปบังคับคนอื่น

ให้เขาเป็นอย่างนั้น

เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

 เขาจะเป็นอะไร ก็ปล่อยเขาเป็นไปซิ

เขาจะไปก็ให้เขาไป

เขาจะอยู่ก็ให้เขาอยู่

เมื่อเราไม่ไปกดดันเขา

ไม่ไปสร้างความรำคาญใจ ให้กับเขา

เขาก็ดีกับเรา เขาก็ชอบเรา

 เขาก็รักเราเอง

 ที่เขาเบื่อเรา เขาไม่ชอบเรา

 เพราะเราชอบไปวุ่นวายกับเขา

 ชอบไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขา

 อยากให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

นี่แหละปัญหาของมนุษย์เรา

ที่อยู่ด้วยกัน แล้วมีเรื่องมีราวกัน

 ก็เพราะว่าไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

ไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

เลยกลายเป็น

การสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่

ถ้าแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว

ก็จะไม่มีปัญหาอะไรตามมา

ถ้าหยุดความอยากที่จะไปยุ่งกับคนอื่น

 หยุดความอยาก

ให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 เราก็ปล่อยเขา

 เขาก็อยู่ของเขาเป็นอิสระ

 เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา

เขาก็ไม่โกรธเกลียดเรา

เขาก็ไม่รำคาญเรา ไม่เบื่อหน่ายเรา

 แต่ถ้าเราไปคอยวุ่นกับเขา

ไปวุ่นกับเขาไปเจ้ากี้เจ้าการ

กับชีวิตของเขา เขาก็เบื่อ

ถ้าเป็นเรา เราก็เบื่อเหมือนกัน

ถ้าใครมาวุ่นวายกับเรา

 มาจู้จี้จุกจิกมาอะไรกับเรา

แต่ความอยากมันอยากทำให้เขา

เป็นไปตามความต้องการ

มันเลยเครียดเลยทุกข์

 เราเลยต้องไปพูดไปว่าเขา

 เพื่อให้เขาทำตามควาอยากของเรา

 แทนที่เขาจะรักเรา

 เขาก็เลยกลับเบื่อเรา

 แต่ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขา

เราก็ทำหน้าที่ของเรา

เขาก็ทำหน้าที่ของเขาบกพร่องบ้าง

 คนเรามันไม่มีอะไร

ดีเต็มร้อยตลอดเวลา

 บางเวลามันก็บกพร่องบ้าง

ก็อย่าไปถือสากัน ก็อยู่ด้วยกันได้

ไม่ใช่มาคอยจ้องจับผิดกัน คอยว่ากัน

 มาเอาอกเอาใจกันดีกว่า

อยู่ด้วยกันต้องเอาอกเอาใจกัน

 แล้วใจต่างฝ่ายต่างจะมีความสุข

 ถ้าเอาอกเอาใจไม่ได้ก็ปล่อยวาง

 อย่าไปยุ่งกับเขา

ถ้าเอาใจเขาแล้วเขาไม่พอใจ

ก็ไม่ต้องมาเอาใจ ปล่อยเขา

ถ้าเขาไม่ชอบให้เราเอาใจ

ก็ไม่ต้องเอาใจ ปล่อยเขา

เขาอยากจะทำอะไร

ก็ปล่อยเขาทำไป

 อย่างมากก็แค่แยกทางกัน

คิดแค่นี้มันก็จบ

ถ้ามันจะแยกทางกัน

จะทำอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

แต่อย่างน้อยเราไม่ทุกข์

 แยกก็แยก ไปก็ไปซิ

เมื่อก่อนเราไม่มีเขา เราก็อยู่ได้

เราไม่ได้เกิดมากับเขา

เราไม่ได้เป็นแฝดสยาม

ทำไมจึงจะต้องอยู่ด้วยกัน

ไม่มีเขาก็หาใหม่ได้

คนมีตั้งเป็นล้าน

ไม่ใช่มีคนสองคนในโลกนี้

 เดี๋ยวก็ได้ใหม่อาจจะได้ดีกว่าเก่าก็ได้

ถ้าเข็ดแล้วก็อยู่คนเดียวดีกว่า

 มาทำใจให้สงบดีกว่า

 หยุดความอยากแล้วใจจะสงบ

มีความสุขไม่ต้องมีอะไร

ถ้าใจสงบแล้วก็ไม่ต้องการ

รูปเสียงกลิ่นรส ไม่ต้องการอะไร

อยู่คนเดียวเฉยๆ ก็มีความสุข

สุขกว่าการมีคนนั้นคนนี้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้

 มีแล้วก็ต้องไปวุ่นกับเขา

 เพราะเขามันชอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

 บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ดี

 มาหัดทำใจให้สงบกัน

 แล้วปัญหาต่างๆ มันก็จะหมดไป

 เพราะเวลาใจสงบแล้ว

เวลาเกิดความทุกข์

 มันจะเห็นชัดเลย

 เหมือนกับน้ำที่มันนิ่ง

 เวลาปลามันผุดขึ้นมานี้

มันจะทำให้น้ำมันกระเพื่อม

 เวลาจิตสงบนี้

เวลาเกิดความอยากขึ้นมานี้

ใจจะกระเพื่อมขึ้นมาเลย จะรู้เลยว่า

 อ๋อ..ตัวนี้เองที่ทำให้ใจกระเพื่อม

ทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจหงุดหงิด

รำคาญใจอะไรต่างๆ

 เกิดจากความอยากเท่านั้นเอง

 แล้วเราก็ใช้ปัญญา หรือใช้สติหยุด

ใช้สติก็พุทโธๆไป

สองสามคำมันก็หยุดแล้ว

 หรือถ้าใช้ปัญญาก็สอนว่า

ไม่ต้องไปทำตามความอยาก

ทำแล้วก็ไม่ได้สุข สุขก็เดี๋ยวเดียว

 สุขแล้วเดี๋ยวก็ต้องทุกข์

 เพราะสิ่งที่ได้มาเดี๋ยวก็ต้องเสียไปจากไป

 ความสุขชั่วคราว เอาความสุขถาวรดีกว่า

 ความสุขถาวรก็คือความสงบนี้

เอาความสุขที่เกิดจากความสงบ

รักษาความสงบของใจ

ด้วยการหยุดความอยาก

 พอหยุดความอยากได้

ไม่ทำตามความอยากใจก็ไม่กระเพื่อม

ใจก็นิ่งสงบเหมือนเดิม

จะทำอย่างนี้ได้ต้องมีความสงบก่อน

 จิตต้องเข้าข้างใน

ตอนนี้จิตไม่เคยดูจิตเลย

ดูแต่ข้างนอก

 ดูแต่คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

แล้วก็ไปเกิดเป็นคู่กรณีกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

 คนนั้นคนนี้ไป ไปวุ่นกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

ไปวุ่นกับคนนั้นคนนี้ แล้วแทนที่จะสงบ

กลับวุ่นวายมากขึ้นกลับทุกข์มากขึ้น

 มันจึงต้องไปอยู่คนเดียว

ไปปลีกวิเวกไปอยู่ห่างไกล

 จากคนจากเเสงสีเสียง

 จากอะไรต่างๆ

 เพื่อจะดึงใจให้เข้าข้างใน

ใช้พุทโธดึงเข้าไป พุทโธๆ

ความอยากมันจะดันออกมา

 ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส

มันจะคอยดันให้เราไปคิดถึง

รูปเสียงกลิ่นรส คิดถึงคนนั้นคนนี้

คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราใช้พุทโธ

ก็เท่ากับดึงมันเข้าไปข้างใน

 ให้มันหยุดคิด พอมันหยุดคิด

มันก็เข้าข้างใน

พอมันคิดมันก็ออกข้างนอก

 พอมันหยุดคิดใจก็สงบ

เย็นสบาย มีความสุข

รู้แล้วว่า ความสุขอยู่ที่ความสงบนี่เอง

 ไม่ได้อยู่ที่คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนั้นสิ่งนี้มันวุ่นวาย

 ให้ความวุ่นวายมากกว่าให้ความสุข

ความสุขก็ได้เดี๋ยวเดียว

แล้วก็ไปวุ่นวายกับเขา

สิ่งที่พวกเราควรที่จะมาหัดทำกัน

ก็คือทำใจให้สงบ

ทำใจให้สงบแล้วจะมีความสุข

แล้วก็จะอยู่คนเดียวได้

ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรส

ไม่ต้องมีตาหูจมุกลิ้นกาย

ไม่ต้องมีร่างกาย

ร่างกายเป็นอะไรก็ไม่เดือดร้อน

 เพราะยังมีความสุขได้

ถ้าต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

 เวลาร่างกายไม่สบาย

 ก็หาความสุขไม่ได้

 เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาแก่ เวลาตาย

ก็เป็นเวลาที่ทุกข์ทรมานใจ

 เพราะไม่สามารถ

หาความสุขให้กับใจได้

แต่ถ้าทำใจให้สงบได้

ก็ไม่ต้องใช้ร่างกาย

 มีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ร่างกายจะแก่ จะเจ็บ

จะตายก็ไม่เดือดร้อน

อันนี้แหละเป็นความสุขที่แท้จริง

เป็นความสุขที่ดีกว่า

ความสุขที่ต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือ

เราจึงต้องไปอยู่ที่ห่างไกล

จากรูปเสียงกลิ่นรส

เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องใช้ร่างกายไปเสพ

ตอนนี้เราเป็นเหมือนคนติดยาเสพติด

ถ้าอยู่ใกล้แล้วมันอดไม่ได้

จึงต้องไปอยู่ที่ไกลๆ

คนที่อยากจะเลิกสุรา ยาเสพติดนี้

ไปอยู่ในที่ไม่มียาเสพติด

ถ้ามันทนอยู่ได้ พอมันหายอยาก

มันก็สบายแล้ว

พอมันไม่ได้เสพ ไปสักพักหนึ่ง

มันก็หายอยากแล้ว

ถ้าจะให้มันอยู่ได้

ก็ต้องมีพุทโธคอยดึงไว้

คนที่อยากจะเลิกยาเสพติด

 เลิกบุหรี่เลิกสุรา

 เลิกรูปเสียงกลิ่นรสนี้

ต้องมีสติคอยดึงใจเอาไว้

ไม่ปล่อยให้มันวิ่งไป

หารูปเสียงกลิ่นรส

 ไม่ไปหายาเสพติดต่างๆ

สิ่งเสพติดต่างๆ

 แล้วพอความอยากมันหมดกำลัง

มันก็หายอยากมันก็หาย

จากการติดยาติดอะไรต่างๆ

 ถ้าไม่ออกมามันก็ติดมันก็อยู่ใกล้กัน

เดี๋ยวก็เปิดทีวีดู เดี๋ยวก็เปิดตู้เย็นดู

มีอะไรกิน มีอะไรดื่ม กินไปดื่มไป

 ร่างกายก็อ้วนไปพองไป

เดี๋ยวโรคภัยไข้เจ็บก็มาหา

โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน

 โรคอะไรต่างๆ ที่เกิดจากการกิน

กินมากเกินไป แล้วพอเจ็บไข้ได้ป่วย

ก็ทุกข์ทรมานใจ

แล้วพอรู้ว่าจะต้องตาย

ก็ยิ่งทุกข์ทรมานใจใหญ่

แต่ถ้าทำใจให้สงบได้แล้วจะไม่ทุกข์

 ร่างกายจะเจ็บก็รักษาไป

 รักษาได้ก็รักษาไป

 รักษาไม่ได้ก็ทำอย่างไร

ก็ต้องอยู่กับมันไป

ถ้ามันไม่อยู่มันจะตาย

ก็ต้องปล่อยให้มันตายไป

 แต่ใจไม่ทุกข์กับมัน

ใจมีความสุขจากความสงบ

ทำใจให้สงบ ถ้าทำใจให้สงบเป็นแล้ว

เวลาร่างกายเป็นอะไร

ก็ยังสามารถรักษาความสงบได้

ร่างกายก็ยังทำใจให้สงบได้

 ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทำให้สงบได้

ร่างกายจะตายก็ทำให้สงบได้

 ไม่มีปัญหาอะไรเลย

นี่คือประโยชน์

จากการที่เราไปอยู่คนเดียว

 ไปทำใจให้สงบ

อยู่คนเดียวมันจะสงบง่าย

กว่าอยู่กับคนหลายๆ คน

อยู่กับบ้าน อยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสนี้

มันเหมือนกับมีขวากหนามเยอะ

 จะเดินไปทางนั้นก็ชน

เดินไปทางนี้ก็ชน

เจอแต่ขวากเจอแต่หนาม

แต่ถ้าไปอยู่คนเดียวไม่มีขวากหนาม

 เดินเข้าสู่ความสงบได้อย่างง่ายดาย

ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวคนนั้นก็เปิดไอ้นั่นฟัง

เดี๋ยวนี้ก็เปิดไอ้นี่ดู

 เดี๋ยวคนนี้ก็ร้องรำทำเพลง คุยกัน

 คนนั้นก็กินโน้นกินนี่ ดื่มนั่นดื่มนี่

 เราก็จะไม่มีกำลังจิต

กำลังใจที่จะมาพุทโธ

 เห็นแล้วก็อยากตามเขาไป

ก็จะไม่มีทางที่จะทำใจให้สงบได้

 แต่ถ้าไปอยู่คนเดียวไม่มีอะไร

มีแต่ข้าวมื้อหนึ่งพอแล้ว

แล้วก็มีน้ำเปล่า

 เหมือนพระธุดงค์นี้ท่านก็มีเท่านี้แหละ

 ไปอยู่ธุดงค์ในป่านี้

ท่านก็บิณฑบาตหนเดียว

 เช้าก็เข้าบ้านบิณฑบาต ได้อะไรมาฉัน

ฉันเสร็จมีน้ำเปล่าไว้ดื่ม

ถ้าหิวน้ำก็ดื่มน้ำเปล่า

ถ้าหิวข้าวก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น

เอาแค่มื้อเดียวพอ

 แล้วก็เอาเวลามาควบคุมใจ พุทโธๆ

ดึงใจอย่าให้ไปคิดถึงรูปเสียงกลิ่นรส

อย่าให้ไปคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้

 พอมันไม่คิดแล้วมันก็สงบ

 เย็นสบายมีความสุข

ถ้าไปอยู่คนเดียวแล้วมันง่าย

 ถ้าอยู่กับคนนั้นคนนี้

อยู่ในบ้านอยู่ในเมืองนี้มันยาก

 นอกจากเราต้องขังตัวเราเอง

อยู่ในห้องคนเดียว อยู่ในบ้านคนเดียว

อย่างนี้ก็ยังพอจะทำได้อยู่

แต่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับคน

 เกี่ยวข้องกับการทำงานแล้ว

ก็อย่าไปหวังเลย

เรื่องการที่จะทำใจให้สงบนี้เป็นไปไม่ได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมะบนเขา

 วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2559 7:32:41 น.
Counter : 784 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ