Group Blog
All Blog
<<< "ไม่ทำตามความอยาก" >>>










"ไม่ทำตามความอยาก"

การทำตามความอยากนี้

มันจะนำไปสู่ความเสียใจ นำไปสู่ความทุกข์ใจ

นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพ

 แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิ ถึงแม้จะรู้เราก็ทำไม่ได้

หยุดไม่ได้ เพราะเวลามันอยากแล้วมันหิวโหย

 เวลาอยากกาแฟ อยากบุหรี่ อยากเหล้านี้

มันหิวโหย มันทรมานใจ แต่ถ้าเรามีสมาธิ

 เราสามารถดับมันได้ เวลาอยากกาแฟ

อยากบุหรี่ อยากเหล้า เราก็มานั่งสมาธิกัน

 ทำใจให้สงบกัน พอใจสงบ

ความอยากก็จะหายไปหยุดไป

ถ้าเราทำแบบนี้บ่อยๆ ต่อไปความอยาก

มันก็จะหมดกำลังไปเอง

ความอยากมันจะหมดไป

กำลังมันจะอ่อนกำลังไปเรื่อยๆ

 ทุกครั้งที่เราไม่ทำตามความอยาก

คนที่เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ได้ก็เพราะว่า

ทุกครั้งที่เขาอยากจะสูบบุหรี่

อยากจะดื่มเหล้า เขาก็ไม่ดื่มเขาก็ไม่สูบ

พอครั้งต่อไปอยากอีกก็ไม่สูบไม่ดื่มอีก

 พอครั้งต่อไปอยากอีกก็ไม่สูบอีกไม่ดื่มอีก

 แล้วต่อไปความอยากมันก็หายไป

เลิกได้เลิกดื่มได้เลิกสูบบุหรี่ได้

นี่คือวิธีที่เราจะดับความทุกข์ต่างๆ

 ที่เกิดจากความอยาก ด้วยการใช้สมาธิ

 ด้วยการใช้ปัญญาสอนใจ

ว่าทำไมเราต้องไม่ทำตามความอยาก

 เพราะการทำตามความอยาก

ไม่ได้นำไปสู่ความสุข

 นำไปสู่ความทุกข์ นำไปสู่ความเสียใจ

 นำไปสู่ความทรมานใจ

ฉะนั้น ถ้าเรามีกำลังนั่งสมาธิ

เวลาเราอยากได้อะไร

เราก็ไม่ไปทำตามความอยาก

อยากไปเที่ยวก็ไม่ไป มาอยู่วัดแทน

มานั่งสมาธิพุทโธพุทโธกัน

แล้วต่อไปความอยากเที่ยวก็จะหมดไป

 อยากอะไรถ้าเราฝืนมันไป

ไม่กี่ครั้งเดี๋ยวมันก็หมดกำลัง

แล้วมันจะทำให้เราสบาย อยู่เฉยๆ

โดยไม่มีอะไรมารบกวนใจ

ตรงที่มาสร้างความวุ่นวายใจ

มาสร้างความไม่สบายใจให้กับเรา

ก็คือความอยากต่างๆ นี่แหละ

 พออยากอะไรขึ้นมาใจก็ไม่สบายแล้ว

 อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

ใจก็เริ่มไม่สบายแล้ว

แล้วพอเขาไม่เป็นไปตามความอยาก

ก็ยิ่งไม่สบายใจใหญ่

แต่ถ้าเขาเป็นไปตามที่เราอยาก

ก็หายไปชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็อยากใหม่

ความอยากไม่มีวันหมด

ถ้าเราทำมันไปเรื่อยๆ

ถ้าเราทำตามความอยาก

ก็เท่ากับเราต่ออายุให้กับความอยาก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 พฤษภาคม 2560
Last Update : 25 พฤษภาคม 2560 18:36:03 น.
Counter : 769 Pageviews.

0 comment
<<< "สิ่งวิเศษ" >>>












"สิ่งวิเศษ"

เราคือใจ คือผู้รู้ ผู้คิด

ผู้ดูร่างกาย ก็ดูไป รู้ไป

อย่าไปเป็นร่างกาย พอไปเป็นร่างกาย

เดี๋ยวร่างกายแก่ก็คิดว่าแก่ไปกับร่างกาย

 เวลาร่างกายเจ็บก็คิดว่า

จะเจ็บไปกับร่างกาย

 เวลาตายก็คิดว่าตายไปกับร่างกาย

 แต่จิตไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

ร่างกายที่แก่ที่เจ็บที่ตายมันก็ไม่เดือดร้อน

 เวลาร่างกายแก่มันก็ไม่รู้ว่ามันแก่

เวลามันเจ็บมันก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บ

 เวลามันตายมันก็ไม่รู้ว่ามันตาย

 มันไม่เดือดร้อน

 ร่างกายนี้ใครจะเอาไปทำอะไร

มันไม่บ่นมันไม่ว่า สัปเหร่อจะเอาไปเผา

มันก็ไม่ว่าอะไร มันไม่รู้ว่ามันเป็นร่างกาย

 มันไม่มีความรู้ ผู้ที่รู้ก็คือใจ

ก็คือพวกเรานี่แหละไปรู้ร่างกาย

แต่ไปหลงคิดว่าเป็นร่างกาย

พอร่างกายเป็นอะไรก็เลยคิดว่า

จะเป็นอะไรไปกับร่างกายด้วย

 ก็เลยทุกข์ไปกับร่างกายด้วย

แต่ถ้าเรานั่งสมาธิจนจิตสงบ

 แล้วแยกจนออกจากกันได้

เราจะเริ่มเห็นแล้วว่า

 อ๋อ ร่างกายกับใจนี้เป็นคนละอันกัน

 ทีนี้เราก็ปล่อยร่างกายได้

 ปล่อยให้มันแก่ไป ปล่อยให้มันเจ็บไป

 ปล่อยให้มันตายไปได้

เพราะเราก็ห้ามมันไม่ได้

 เวลามันเจ็บนี่ไปสั่งให้มันหายได้ไหม

 ถ้ามันยังไม่หายมันก็ไม่หาย

 เดี๋ยวถึงเวลามันหายมันก็หาย

หายแล้วเดี๋ยวมันก็เจ็บใหม่

 หายแล้วไปห้ามไม่ให้มันเจ็บได้ไหม

มันก็ไม่ได้ ร่างกายนี้

ราไปห้ามไปสั่งมันไม่ได้ ห้ามไม่ให้มันแก่

 ห้ามไม่ให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย

 ห้ามไม่ให้มันตายไม่ได้

ถ้าอยากให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาในใจ

ถ้าไม่ได้อยากให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

ใจก็จะไม่ทุกข์ ใจจะไม่เดือดร้อน

กับความแก่ความเจ็บ

ความตายของร่างกาย ใจจะดูร่างกายนี้

เหมือนกับร่างกายของคนอื่น

 ร่างกายของคนอื่นเขาแก่เขาเจ็บเขาตาย

เราเดือดร้อนไหม เพราะเราไม่ได้ไปถือว่า

มันเป็นของเราใช่ไหม แต่พอร่างกายนี้

เรามาถือว่าเป็นของเรา

 เราก็เดือดร้อนขึ้นมาทันที

ฉะนั้น เราก็ต้องรู้ว่า

มันก็เหมือนกับร่างกายของคนอื่น

มันไม่ได้เป็นเรา ไม่ได้เป็นของเรา

 ปล่อยมันแก่ไป ปล่อยมันเจ็บไป

 ปล่อยมันตายไป รักษาได้ก็รักษาไป

รักษาไม่ได้ก็ทำใจไป ทำใจเฉยๆ

ไปแล้วจะไม่ทุกข์กับความแก่

ความเจ็บ ความตายของร่างกาย

คนที่มีความสงบแล้วจะปล่อยได้

คนที่นั่งสมาธิเป็น ใจมีความสุขแล้ว

จะปล่อยร่างกายได้ จะเฉยๆได้

ร่างกายจะแก่ก็เฉยได้

ร่างกายจะเจ็บก็เฉยได้

 ร่างกายจะตายก็เฉยได้ ไม่เดือดร้อน

นี่แหละคือสิ่งวิเศษ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

เรียกว่า ตรัสรู้ ตรัสรู้ความจริง

ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความสงบ

อยู่ที่การปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 พฤษภาคม 2560
Last Update : 22 พฤษภาคม 2560 18:15:23 น.
Counter : 735 Pageviews.

0 comment
<<< "มรรคผลนิพพาน ต้องเกิดจากการปฏิบัติ" >>>










"มรรคผลนิพพาน

ต้องเกิดจากการปฏิบัติ"

ไม่มีใครอยากจะถามบ้างเหรอที่อยู่ทางนี้ ก็ดีนะ

 แสดงว่าทุกคนฟังแล้วเข้าใจ

 ฟังมานานฟังมาบ่อย ฟังจนรู้หมดแล้ว

 แต่ทำไม่ได้ (หัวเราะ)

รู้หมดแล้วกิเลสตัณหามีกี่ชนิด

วิธีเจริญสติเจริญอย่างไร

 เวลานั่งสมาธินั่งยังไง สมาธิมีกี่แบบรู้หมดแล้ว

 ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิรู้หมด

 ไตรลักษณ์ก็รู้หมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 อสุภะก็รู้หมด แต่ทำไมแล้วมันยังไม่เกิดผล

 เพราะรู้อย่างเดียวไม่ได้เอาไปปฏิบัติ

ความรู้นี้มันต้องเอามาใช้กับกิเลส

ต้องมาหยุดกิเลสถึงจะได้ผล

 ถ้ามีความรู้แล้วแต่ไม่เอามาใช้ดับกิเลส

ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 เหมือนมีอาหารแล้วไม่เอามารับประทาน

ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ทำกับข้าวไว้แล้วก็ตั้งไว้เฉยๆ

ไม่กินก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 ทำกับข้าวแล้วก็ต้องกินข้าวที่เราทำ

 กินแล้วมันจะได้อิ่ม

การฟังเทศน์ฟังธรรมก็เหมือนทำกับข้าว

ทำเสร็จแล้วก็ก็ต้องกิน ฟังแล้วก็ต้องปฏิบัติ

 ปฏิบัติก็เหมือนกับการกินธรรมะ

ตอนต้นก็ทำธรรมะก่อน

เอาธรรมะต่างๆ มา มาวางไว้

เอ้านี่คือสติ นี่คือสมาธิ นี่คือปัญญา

 พอตั้งไว้บนโต๊ะแล้วทีนี้ก็ตักกินสิ

 ตักสติเข้าไป ตักสมาธิเข้าไป

ตักปัญญาเข้าไป เข้าไปในใจ

 สร้างสติขึ้นมา สร้างสมาธิขึ้นมา

สร้างปัญญาขึ้นมา แล้วพอมีสติ

 มีสมาธิ มีปัญญา มันก็จะดับกิเลสได้

ดับความทุกข์ได้ บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ต้องเกิดจากการปฏิบัติ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐

"ภพชาติของมนุษย์"








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 พฤษภาคม 2560
Last Update : 21 พฤษภาคม 2560 6:08:01 น.
Counter : 629 Pageviews.

0 comment
<<< "มองเห็นตามความเป็นจริง" >>>










"มองเห็นตามความเป็นจริง"


 วิปัสสนาก็คือการรู้แจ้งเห็นจริง

รู้ตามความเป็นจริง

ตอนนี้เรามันรู้ตามความหลง

 เราไม่เห็นสิ่งที่ทุกข์ว่าทุกข์

เรากลับไปเห็นว่าสิ่งที่ทุกข์เป็นสุข

 เราเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เราเห็นสิ่งที่ไม่เป็นของเราว่าเป็นของเรา

 เราก็เลยต้องมาสอนใจไหม่ว่า

สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสุขนั้นมันทุกข์นะ

 เช่นเงินทองนี้เราคิดว่าสุขกันนะ

เวลาได้เงินทองมาแล้วเราสุข

 แต่เราลืมไปว่าเดี๋ยวมันหายไปนะ

 เดี๋ยวมันหมดได้ เวลามันหมด

มันก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

ถ้าเราไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินทอง

เราก็จะไม่ต้องทุกข์กับเรื่องของเงินทอง

 เพราะเรารู้ว่ามันเป็นทุกข์

ทุกข์เพราะว่ามันไม่แน่นอน เวลามันมีก็ดี สุข

 แต่เวลามันหมดมันก็จะทุกข์

นี่ก็ต้องเห็นว่าเงินทองก็เป็นทุกข์

ตำแหน่งต่างๆ ก็เป็นทุกข์

ได้ตำแหน่งก็ดีใจเลี้ยงกันสามวันสามคืน

 เดี๋ยวพอถูกเขาปลดขึ้นมาก็หน้าซีด จ๋อย

 ไม่แน่นอน มีเจริญมีเสื่อม

หรือเมื่อถึงอายุครบเกษียณ

เขาก็ต้องให้เราออกจากราชการไป

จะเป็นตำแหน่งอะไรจะเป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหน

พอถึงเวลาเกษียณอายุ เขาก็ปลดเราออกไป

มันก็ทำให้เราทุกข์ได้

หลังจากที่เราสูญเสียตำแหน่งไป

นี่คือการมองความจริงเรียกว่า วิปัสสนา

มองให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์

 เพราะทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 ทุกอย่างไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง

 เป็นของเราเพียงชั่วคราว

 เวลาเขาเป็นของเราก็กีอกดีใจ

 ถ้าเขาไปเป็นของคนอื่นก็เสียอกเสียใจ

 เช่นแฟนเราไปรักเขาเป็นของเราก็สุข

 พอเขาไปเป็นของคนอื่นเข้าก็ทุกข์

 เพราะไปคิดว่าเขาจะเป็นของเรา

 เพราะจะคิดว่าเขาแน่นอนเที่ยงแท้แน่นอน

 จะต้องเป็นของเราไปตลอด

 แต่ความจริงมันเปลี่ยนได้

ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้ มีเกิดมีดับ

มีเจริญมีเสื่อม

 นี่คือการมองเห็นตามความเป็นจริง

เรียกว่าวิปัสสนา

เห็นทุกสิ่งในโลกนี้ว่าเป็นทุกข์

 เพราะว่ามันไม่เที่ยง

 เพราะว่ามันไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 พฤษภาคม 2560
Last Update : 21 พฤษภาคม 2560 5:56:31 น.
Counter : 1524 Pageviews.

0 comment
<<< "มองไม่เห็นความจริง" >>>










"มองไม่เห็นความจริง"

อยู่กับความจริง อย่าไปอยู่กับความอยาก

 ความทุกข์นี้เกิดจากการอยู่กับความอยาก

เป็นมหาเศรษฐีก็ยังทุกข์อยู่ เพราะยังอยาก

 ถ้าไม่อยากได้มาก ก็อยากไม่ให้มันน้อยลงไป

 อยากจะให้มันอยู่ไปนานๆ

 อยู่กับลูกกับหลานกับเหลนต่อไป

 พอเกิดความอยากก็วุ่นวาย

ต้องหาวิธีทำไงให้มันอยู่ไปนานๆ

 ลืมคิดไปว่าเวลาตัวเองมา

ก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา

 เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไป

ก็เลยมาสร้างความทุกข์

ให้แก่ตนเองตลอดเวลา

 เพราะความอยากต่างๆ

 เพราะมองไม่เห็นความจริงว่า

ในที่สุดก็ไม่ได้เอาอะไรไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๗








 

ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 พฤษภาคม 2560
Last Update : 19 พฤษภาคม 2560 10:14:15 น.
Counter : 550 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ