Group Blog
All Blog
### วิธีดัดกิเลสฝืนความอยาก ###















“วิธีดัดกิเลสฝืนความอยาก”

สติคือตัวที่จะหยุดความคิด

ถ้าเราปล่อยให้ความคิดคิดไปเรื่อยๆ มันจะไม่สงบ

นั่งไปแล้วก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั่งไปเป็นชั่วโมงก็ไม่สงบ

 ต้องไม่ให้มันคิดอะไรนอกจากคิดอยู่เรื่องเดียว

 คิดอยู่กับพุทโธๆไปอย่างเดียว

หรือดูลมหายใจไปอย่างเดียวก็ได้

 ถ้าเราไม่ฝึกมันก็จะไม่ยอม ดูได้ ๒ - ๓ ครั้งมันก็ไปแล้ว

 คิดถึงเรื่องนั้น เรื่องนี้แล้ว พุทโธได้ ๒ - ๓ คำมันก็ไปแล้ว

 ต้องดึงมันกลับมา ต้องทำมันบ่อยๆ

อย่าไปพุทโธเฉพาะเวลามานั่งสมาธิ

 เอาพุทโธตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย

พอลืมตาขึ้นมาก็ตั้งสติพุทโธไปเลย

ลุกขึ้นไปทำอะไรก็พุทโธไป เข้าห้องน้ำก็พุทโธ

ล้างหน้า ล้างตาแปรงฟันก็พุทโธ

แต่งเนื้อแต่งตัวก็พุทโธไป กินข้าวก็พุทโธไป

แล้วใจมันจะไม่ลอยไปกับความคิดต่างๆ

 ถ้าปล่อยให้ความคิดเดี๋ยวก็เกิดความอยากต่างๆ

 หรือเกิดความวิตกกังวลขึ้นมา คิดถึงหนี้ก็ไม่สบายใจ

 คิดถึงคนที่เราไม่ชอบก็ไม่สบายใจ

คิดถึงเรื่องที่เราไม่ชอบ ที่เราจะต้องไปเจอก็ไม่สบาย

 เราก็ควบคุมบังคับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

สิ่งที่เราไม่ชอบไม่อยากจะเจอมันก็ต้องเจอมัน

 สิ่งที่เราชอบอยากจะเจอมันบางทีก็ไม่เจอมัน

แต่ถ้าเราทำใจเฉยๆไม่มีความอยาก เราจะเจออะไรก็ได้

 เจอสิ่งที่ชอบก็ได้ เจอสิ่งที่เราไม่ชอบก็ได้

ถ้าไม่มีความอยากเจอหรือมีความอยากเจอนี้

มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

ถ้าอยากเจอไม่ได้เจอก็เป็นปัญหา

ถ้าไม่อยากเจอแล้วเจอก็เป็นปัญหา

 แต่ถ้าเฉยๆ ทำใจเฉยๆ เจออะไรก็ได้ไม่เจออะไรก็ได้

อย่างนี้ก็จะไม่เดือดร้อน

ใจจะเฉยๆได้ก็ต้องสงบ

จะสงบได้ก็ต้องหยุดความคิดให้ได้

 ต้องมีสติ ต้องมีพุทโธไปทั้งวันเลย

ลองท่องพุทโธไปเรื่อยๆแล้วใจมันจะนิ่ง

 มันจะไม่ลอยไปกับความคิด

 ความคิดมันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ

แล้วพอมันว่างนี้ มันก็เบาสบาย

 คนบางคนเขาบอกอยู่เฉยๆ บางทีไม่ได้คิดอะไร

 รู้สึกมันสบายมันสุขเหลือเกิน ต้องพยายามฝึกสติให้มาก

 ถ้าฝึกสติได้มาก ใจอยู่กับพุทโธได้ตลอดเวลา

เวลานั่งสมาธิมันก็จะไม่คิดอะไร มันก็จะสงบ

 มันก็จะอยู่กับพุทโธๆไป

แล้วเดี๋ยวมันก็วู๊บลงไป นิ่งสงบ สบาย

 หรืออยู่กับลมหายใจก็ได้

ไม่ต้องใช้พุทโธคู่กับลมหายใจก็ได้

ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ใช้พุทโธอย่างเดียวก็ได้

 ดูลมหายใจอย่างเดียวก็ได้

หรือจะใช้พุทเข้าโธออกก็ได้ อันนี้แล้วแต่ความพอใจ

แล้วแต่ความถนัด เหมือนกินข้าวจะกินกับข้าวแบบนั้น

กินกับข้าวแบบนี้ก็ได้ กินแล้วมันก็อิ่มเหมือนกัน

นั่งสมาธิจะใช้พุทโธอย่างเดียวก็สงบเหมือนกัน

ดูลมอย่างเดียวก็สงบเหมือนกัน

จะใช้พุทเข้าโธออกก็สงบเหมือนกัน ใช้ได้ทั้งนั้น

แล้วแต่ความถนัด ที่ใช้พุทเข้าโธออกนี้

มันก็จะต้องติดอยู่กับลม ถ้าเกิดอยากจะพุทโธเร็ว

 มันก็พุทโธเร็วไม่ได้ บางทีใจมันพุทเข้าโธออก

 มันยังไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่

ก็เอาพุทโธให้มันเร็วขึ้นดีกว่า

ถ้าพุทโธเร็วขึ้นก็ต้องทิ้งลมไปไม่ต้องไปดูลม

ให้อยู่แต่พุทโธอย่างเดียว พุทโธๆๆๆไปอย่างนี้

 มันก็จะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้

แต่ถ้าพุทเข้า โธออก เดี๋ยวมันก็แวบไปแล้ว

ระหว่างเข้าออกนี้มันไปก่อนแล้ว

ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปพุทเข้า โธออก

 เอาพุทโธอย่างเดียวไปเลย อยู่กับพุทโธไปอย่างเดียว

ทำไปบ่อยๆ เถิดแล้วมันจะได้ผล

อย่าไปทำแบบนกกระจอกกินน้ำ

 ทำได้สัก ๕ นาทีก็ไม่เอาแล้วไม่สงบ

ถ้าอย่างนี้มันไม่วันหรอก ต้องทำกันเป็นชั่วโมงไปเลย

 ถ้ามันเมื่อยก็ขยับก่อนก็ได้ ถ้าเรายังไม่มีกำลัง

ที่จะสู้กับความเจ็บก็ขยับตัวแล้วก็พุทโธต่อไป

 สู้กับมันแบบขยับตัวก่อนก็ได้ แต่ไม่ไปทำอะไร

 เอามันเป็นชั่วโมงๆ ไปเลย นั่งไปถ้ามันเมื่อยก็ขยับ

แล้วก็พุทโธต่อไป พอพุทโธแล้วเมื่อยก็ขยับใหม่ก็ได้

 แต่ต่อไปจะต้องไม่ขยับ ต่อไปถ้าพุทโธดีแล้ว

ถึงไม่ค่อยขยับ มันจะเจ็บก็ปล่อยมันเจ็บไปใช้พุทโธช่วยเอา

 ถ้าอยู่กับพุทโธแล้วมันจะไม่เจ็บมาก

มันจะอยู่มันจะทนได้ แต่ถ้าไม่มีพุทโธมันจะมีความอยาก

ให้ความเจ็บหายไป มันก็จะทรมานใจ

แล้วเดี๋ยวมันก็จะทนไม่ได้

ตอนฝึกหัดใหม่ๆ เราถึงบอกว่าไม่ต้องนั่งทรมานตัวเอง

หาเก้าอี้สบายๆ มานั่งแล้วก็นั่งมันสัก ๖ ชั่วโมงไปเลย

 ถ้าเมื่อยก็ลุกขึ้นมายืนตรงข้างเก้าอี้นั่นแหละ

ถ้าหายเมื่อยก็นั่งใหม่ แล้วก็พุทโธๆไปอย่างเดียว

 ถ้าหิวน้ำก็เอาน้ำมาตั้งไว้ตรงเก้าอี้นั่นแหล

หิวน้ำก็ดื่มน้ำ ถ้าปวดปัสสาวะก็เดินไปเข้าห้องน้ำได้

 แต่ห้ามเถลไถลปัสสาวะเสร็จ แล้วก็กลับมานั่งต่อ

ห้ามแวบไปที่โน่นที่นี่ห้ามไปเปิดดูหนังสือ ไปทำอะไร

 จะควบคุมใจไม่ให้ทำอะไรให้มันอยู่เฉยๆ

ให้มันอยู่กับพุทโธๆไป.

 

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................


สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 มีนาคม 2559
Last Update : 16 มีนาคม 2559 11:43:22 น.
Counter : 829 Pageviews.

0 comment
### ความสุขที่แท้จริงคือความสุขที่ปราศจากความอยาก ###














“ความสุขที่แท้จริง คือ

ความสุขที่ปราศจากความอยาก”

วันนี้วันพระ พระพุทธเจ้าบอกว่าลองมาอยู่เฉยๆ สักวันซิ

 อย่าไปดูหนังดูละคร อย่าไปหาอะไรทำอะไร ให้อยู่เฉยๆ

 ให้นั่งไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิกัน

ทำใจให้มันหายอยากสักวันหนึ่งเถิด

ถ้าสู้ความอยากได้ ความอยากมันสงบตัวลงแล้ว

จะมีความสุข จะรู้สึกเบาอกเบาใจ

เหมือนกับว่าเจ้านายเขาไปที่อื่น

เขาปล่อยให้เราอยู่บ้านตามลำพัง

 คนใช้นี้มีความสุขเวลาเจ้านายออกจากบ้านนะ

 เวลาเจ้านายกลับมาบ้านนี้

โอโห... ต้องคอยรับใช้สั่งโน้นสั่งนี่ เอาโน้นเอานี่

พอตอนเช้าเจ้านายตื่นขึ้นมาไปทำงานนี้

โอ๊ย...คนใช้สบาย นอนได้ จะทำอะไรก็ทำได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าความอยากมันหายไป

 โอ๊ย..มันไม่มีอะไรจะแสนสบายใจนี้

จะสุขจะสบายจะเบา ไม่ต้องทำอะไร นั่งๆ นอนๆ

 นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ปราศจากความอยาก

ความสุขที่ได้จากความอยากเป็นความทุกข์

เพราะต้องหาอยู่เรื่อยๆ แล้วมันต้องเจอวันที่หาไม่ได้

 วันไหนเงินหมดก็หาไม่ได้

วันไหนร่างกายไม่สบายก็หาไม่ได้

 คนที่เคยหาความสุขจากการใช้ร่างกาย

 พอร่างกายเป็นอะไรไปก็อยากจะฆ่าตัวตาย

 พอร่างกายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

 ร่างกายเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายมีตำหนิ

 หน้าไปโดนไฟลวก ไม่อยากจะออกไปข้างนอกบ้าน

ไม่อยากจะให้ใครไปเห็นหน้า เห็นตาแล้ว

ก็อยู่บ้านแต่ต้นก็สบายอยู่แล้ว

ความจริงคนเราต้องมีความทุกข์ก่อน

มันถึงจะเห็นทางไปสู่ความสุข

มันต้องสิ้นเนื้อประดาตัวก่อน ถึงจะเข้าวัดได้

 พระพุทธเจ้าเลยสอนให้เราทำบุญ

ให้มันหมดเนื้อหมดตัวไปเลย จะได้ไม่มีเงินไปเที่ยว

ไม่มีเงินไปซื้อข้าวซื้อของอะไรต่างๆ

จะได้มาหาความสุขจากการที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง

 หาความสุขจากการอยู่เฉยๆ

จะอยู่เฉยๆอย่างมีความสุขก็ต้องหยุดความอยาก

 เวลาอยากจะดื่ม อะไรก็ไม่ดื่มนอกจากน้ำเปล่า

 เพราะน้ำเปล่ามันดื่มเพื่อร่างกายมันไม่ได้ดื่มเพื่อความอยาก

 ดื่มได้ ถ้าดื่มเพื่อร่างกายเพื่อกินเพื่อร่างกายกินได้ดื่มได้

 แต่ดื่มหรือกินเพื่อความอยากนี้ อย่าดื่ม อย่ากิน

 เพราะมันจะติดมันเป็นเหมือนยาเสพติด

เราเสพติดทำไมเราไม่เสพกันล่ะ

 เวลาเสพคนที่เสพแล้วเขาเป็นอย่างไร

เขามีความสุขไหมเวลาเขาเสพ เขาก็มีความสุขเวลาได้เสพ

 แต่เวลาอยากแล้วไม่ได้เสพเวลานั้นเขาก็ทุกข์

แล้วมันต้องทุกข์เพราะว่ายาเสพติดมันเป็นของเเพง

หาซื้อยาก ถ้าเสพแล้วมันก็ทำให้ขี้เกียจ

 ไม่ไปทำมาหากินหาเงินหาทอง

เสพไปแล้วเดี๋ยวก็เงินไม่พอใช้

วิถีชีวิตที่พวกเราอยู่กันทุกวันนี้

 เป็นทางนำไปสู่ความทุกข์ ทางไปสู่เรื่องและปัญหาต่างๆ

 เพราะความอยาก ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ

 ต้องหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าเวลาใดหาไม่ได้เวลานั้นก็เดือดร้อน

ดังนั้นมาหัดหยุดความอยากกัน

 จะหยุดความอยากก็ต้องใช้ศีล ศีล ๘

ศีล ๕ ก็หยุดได้แต่สู้ศีล ๘ ไม่ได้

ศีล ๕ ยังไปเที่ยวได้ ยังแต่งเนื้อแต่งตัวได้

 ยังไปนอนกับแฟนได้ แต่ถ้าศีล ๘ นี้ห้ามเด็ดขาด

ห้ามนอนกับแฟน ห้ามแต่งเนื้อแต่งตัว

ห้ามกินอาหารหลังจากเที่ยววันไปแล้ว

 กินมื้อเดียวก็อยู่ได้แล้วถ้ากินเพื่อร่างกาย

พระปฏิบัตินี้เขากินมื้อเดียวกัน พอแล้ว

 เครื่องดื่มต่างๆก็ไม่ต้องไปดื่มมัน ดื่มแต่น้ำเปล่า

พระธุงดค์เวลาเขาไปอยู่ในป่าเขามีกาแฟดื่มที่ไหน

 เขามีน้ำชากาแฟ มีแป๊บซี่โคล่าดื่มไม่มีหรอก

 ก็ดื่มแต่น้ำเปล่า หรือไม่ก็ดื่มน้ำต้มสมุนไพร ฉันเป็นยา

 อย่าไปติดกับรูปเสียงกลิ่นรสมันเป็นเหมือนยาเสพติด

ยาเสพติดก็รูปเสียงกลิ่นรสเหมือนกัน

เพียงแต่ว่ามันรุนแรงกว่ามันหนักกว่าติดแล้วเลิกยากกว่า

 การเลิกดูละครกับเลิกกินเหล้านี้อันไหนจะยากกว่ากัน

ตอนนี้พวกเราติดรูปเสียงกลิ่นรสกัน

 วันไหนไม่ได้เสพนี้วันนั้นเหมือนกับไม่ได้มีลมหายใจ

ไม่เชื่อลองถือศีล ๘ ดูซิ วันนี้ลองถือศีล ๘ ดูซิ

ดูซิจะเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวตกเย็นจะเป็นอย่างไรบ้าง

คิดถึงข้าวแล้ว คิดถึงละครแล้ว

คนที่ไม่เคยถือศีล ๘นี้จะหงุดหงิด รำคาญใจ

 แต่คนที่เคยถือศีล ๘ แล้วเขาก็จะรู้สึกเฉยๆ

รู้สึกสบายไม่เดือดร้อน ไม่มีละครดูก็ไม่เดือดร้อน

 ไม่มีกาแฟดื่มก็ไม่เดือดร้อน ไม่มีเพื่อนคุยก็ไม่เดือดร้อน

 นั่งสมาธิทำใจให้สงบ สบายกว่า

 อยู่คนเดียวแสนจะสบาย

ชอบไปหาเหามาใส่หัวหาคนโน้นคนนี้มา

พอไปอยู่ด้วยกันเดี๋ยว ก็ทะเลาะกัน

เดี๋ยวก็เถียงกันว่ากัน ทุบตีกัน

คนที่ทุบตีกันส่วนใหญ่เป็นคนที่รักกันเพราะมันใกล้ชิดต่อกัน

 มันถึงทุบตีกันได้ คนที่ไม่รักกันมันจะทุบตีกันยาก

 คนที่เราจะไม่รู้จักเราจะไปทุบตีกับเขาไหม

 แต่คนที่เรารักนี้ทุบตีดีนะ เพราะคิดว่าเขาไม่โกรธเรา

เขารักเรา เราเลยทุบตีเขาได้ พอเขาโดนตีบ่อยๆ

 บางทีก็หยุดไม่ไหวก็ตีกลับบ้าง

อย่าไปหาความสุขจากคนอื่นเลย

อย่าไปหาความสุขจากสิ่งอื่น

มาหาความสุขจากการหยุดความอยากดีกว่า

เวลาใจหยุดความอยากแล้วจะสบายจะมีความสุขจะอยู่เฉยๆ

อยู่คนเดียวได้ จะไม่รู้สึกเหงาไม่รู้สึกว้าเหว่

จะไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ อันนี้ต้องพยายามทำกัน

 ทำที่ไหนก็ได้ถ้าเราอยู่บ้านเงียบๆ ไม่มีคนมาก

อยู่คนเดียวไม่ต้องมาวัดก็ได้

ถ้ามาวัดก็ต้องมาวัดที่เขามีการปฏิบัติ

 ถ้าไปวัดที่มีแต่งานมหรสพ งานอะไรต่างๆ

 อันนั้นมันก็ไม่สงบ

วัดที่แท้จริงต้องเป็นวัดที่มีความเงียบสงบ

 เอื้อเฟื้อต่อการทำใจ นั่งสมาธิให้สงบ
ถ้าไปเจอวัดที่มีกิจกรรมต่างๆ คนพลุกพล่าน

มีคนเข้าออก เป็นเหมือนกับซุปเปอร์มาร์เก็ต

 มีขายของทุกชนิด ขายอะไรต่างๆ

 เครื่องรางของขลังอาบน้ำมนต์อะไรกัน

ของพวกนี้มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเราสงบ

คนเรามีความทุกข์ก็คิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะหายทุกข์

มันไม่หายหรอก น้ำเราก็อาบอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

 อาบน้ำมนต์กับอาบน้ำที่บ้านมันต่างกันตรงไหน

 มันก็มาจากน้ำประปาเหมือนกัน

พระพยอมบอกว่า ถ้าน้ำมนต์มันศักดิ์สิทธิ์

ก็ให้พระไปนั่งอยู่ที่ประปาซิ ไปนั่งสวดทำน้ำมนต์ที่ประปา

ส่งไปทุกบ้านเลย อาบน้ำได้อาบน้ำมนต์ทุกวันเลย

คือญาติโยมไม่รู้จักพุทธศาสนา

 เป็นชาวพุทธแต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำอะไร

พิธีกรรมต่างๆ ที่เราทำกันอยู่นี้

มันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งนั้น

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำก็มี ๓ อย่าง

ให้ทำบุญทำทาน ให้รักษาศีล ให้นั่งสมาธิทำใจให้สงบ

 ฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้ใจฉลาด ไม่ให้หลงกับสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้มันไม่เที่ยง

 เวลาได้มาก็ดีใจ เวลาเสียไปก็เสียใจ

 เสียไปก็อยากจะได้มาไม่มีปัญญาได้มา

ก็เลยไปอาบน้ำมนต์เผื่อจะได้กลับมา

พอเสียอะไรไปก็คิดว่าไปหาพระให้ช่วยอาบน้ำมนต์ให้หน่อย

 ให้เป่าหัวให้หน่อย ช่วยเคาะหัวให้หน่อย

ของพระบางทีขโมยยังเอาไปเลย !!! ใช่ไหม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 มีนาคม 2559
Last Update : 15 มีนาคม 2559 10:29:58 น.
Counter : 761 Pageviews.

0 comment
### ความสุขที่บริสุทธิ์ ###














“ความสุขที่บริสุทธิ์”

คนเรามีแค่นี้แหละความสุขของคนเรา กินแล้วก็นอน

จะไปอะไรกับมันมากมาย ถ้ามีกินมีนอนนี้ก็เหลือเฝือแล้ว

ทำไมต้องไปเอาอะไรหนักหนา

ความสุขจากการกินการนอนนี้มันบริสุทธิ์แล้วมันไม่มีโทษ

ไม่เหมือนกับความสุขจากการไปมีแฟน

 ความสุขจากแฟนกลายเป็นความทุกข์จากแฟนขึ้นมา

 อยู่กับแฟนเดี๋ยวก็ถูกเขาทุบเขาตี

ถ้าเป็นภรรยาปากไม่ดีก็ถูกเขาด่าพ่อล่อแม่

 อยู่คนเดียวสบายกว่า

 อยู่ไม่ได้ ถ้าเขาดีก็หวงเขาห่วงเขา

เวลาเขาตายไปก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้

 ถ้าเขาไม่ดีก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น อยู่กับยักษ์อยู่กับมาร

 อยู่คนเดียวดีกว่า กินกับนอนก็พอแล้ว

 ทำมาหากินเพื่อมีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 มีที่อยู่หลับนอนก็พอแล้ว ของอย่างอื่นได้มาแล้วก็หมดไป

 ไปเที่ยวมากี่หนกี่แห่งกลับมาบ้าน

 มันก็หายไปหมดแล้วเหลือแต่ความทรงจำ

 ไปซื้ออะไรมามากน้อยเพียงไร

ซื้อมาแล้วก็ดีใจเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็อยากจะซื้อใหม่แล้ว

ซื้อเสื้อผ้าชุดนี้ดีใจไม่กี่วัน

เดี๋ยวก็ไปเห็นชุดใหม่ก็อยากจะซื้อใหม่

มันเป็นความสุขปลอม เป็นความสุขที่ทำให้เราเป็นขี้ข้า

 เรานี้เป็นขี้ข้าของความอยาก

ต้องไปหาเงินแทบเป็นแทบตายมา เพื่อรับใช้ความอยาก

 พอได้เงินมาปั๊บก็เอาไปใช้เลย ซื้อไอ้นั่นมาซื้อไอ้นี่มา

 ไปทันที ดีไม่ดีไปเป็นหนี้เสียอีก

 เงินไม่พอซื้อก็เลยต้องรูดบัตรบ้าง ซื้อเงินผ่อนบ้าง

แล้วก็ต้องมาเครียดกับการหาเงินมาผ่อนหนี้

 นี่มันไปหาความทุกข์กันแท้ๆ คิดว่าเป็นความสุขกัน

ความสุขนี้อยู่ที่อยู่เป็นสุข อยู่เฉยๆ

พวกเราอยู่ไม่เป็นสุขกัน กินอิ่มหลับนอนก็พอแล้

 แต่ไม่ได้ ต้องทำโน่นทำนี่ต้องไปที่นั่นที่นี่ไปมีโน่นมีนี่

ต้องไปงานเลี้ยงคนนั้นคนนี้ต้องไปเที่ยวที่นั่นที่นี่

ไปแล้วกลับมาก็หายไปหมด

ทำอะไรมามากน้อยเพียงไรก็หายไปหมด

 มันไม่มีอะไรหลงติดอยู่ในใจเราเลย

 มีแต่สร้างความอยากขึ้นมาใหม่ ทำให้อยู่ไม่เป็นสุขกัน

ที่เราอยู่เฉยๆอยู่ไม่เป็นสุขนี้ก็เพราะความอยากนี่แหละ

อยากจะไปโน้นอยากจะมานี่ อยู่ตรงนี้ก็อยากจะไปตรงโน้น

 พอไปตรงโน้นก็อยากจะกลับมาตรงนี้

 กลิ้งไปกลิ้งมาตามความอยาก

 แล้วแทนที่จะเกาในที่มันคันกลับไม่เกา ไปเกาในที่ที่มันไม่คัน

ที่คันมันคันที่ใจคันที่ความอยาก

 ถ้าหยุดความอยากได้มันก็หายคัน

ที่อยู่เฉยๆไม่ได้ที่จะต้องไปโน้นมานี่ ก็เพราะความอยาก

 ถ้าหยุดความอยากได้มันก็ไม่ต้องไปไห

อยู่ตรงไหนก็มีความสุข ที่มันอยากจะไปตรงโน้น

เพราะอยู่ตรงนี้มันไม่สุข

ถ้าสุขมันจะยอมเสียเงินไปตรงโน้นทำไม

หาเงินมาแทบเป็นแทบตาย

แล้วเอาเงินนี้เพื่อจะย้ายตัวเอง

ไปอยู่ตรงโน้นสักพักหนึ่ง ๓ - ๔ วัน

 “ไปอยู่เกาหลีสัก ๕ - ๖ วัน ไปญี่ปุ่นสัก ๕ - ๖ วัน”

หมดเงินไปกี่ตังค์ ย้ายไปแล้วเดี๋ยวก็ต้องกลับมาอยู่ดี

 กลับมาเงินก็หมด เงินที่มาแทบเป็นแทบตายนี้หมดแล้ว

กว่าจะได้เงินมาสักบาทสองบาท

ก็ต้องนั่งขายของคุยกับคนซื้อข้าวซื้อของ

ต้องเอาอกเอาใจคนซื้อ ต้องพูดดีๆ กับเขา

ได้เงินมาปั๊บก็ถูกเจ้านายคือความอยากสั่ง

 “ไปอยู่ตรงโน้นดีกว่า อยู่ตรงนี้ไม่ดี”

ตรงนี้มันไม่ดีตรงไหน ที่บ้านเราดีจะตายไป

 ถ้าไม่ดีเราจะมาซื้อบ้านอยู่ทำไม

ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่บ้านเราหรอก

จะกินจะนอนจะทำอะไรมันสบาย

ไปอยู่ที่อื่นมันก็ต้องลำบาก

ไปอยู่บ้านเมืองคนอื่นอาหารของเขาก็ไม่เหมือนอาหารของเรา

 กินก็กินไม่อร่อยสู้อาหารบ้านเราไม่ได้

บางทีต้องพกมาม่าพกพริกป่นไป กินอาหารเขาไม่อร่อย

 เพราะใจมันคันใจมันไม่นิ่ง อยู่เฉยๆไม่ได้

 ความอยากมันคอยดันอยู่เรื่อยๆ

วิธีที่จะเกาก็คือต้องฝืนความอยาก

 อย่าไปทำตามความอยาก

 มันอยากจะไปก็บอกไม่ไป ตรงนี้มันไม่ดีตรงไหน

คุยกับมันดูซิ ไม่ดีแล้วมาอยู่ตรงนี้ทำไม ตรงนี้มันดีอยู่แล้ว

 ตรงโน้นมันมีอะไร ถ้าไปแล้วไม่กลับก็ไปเลย

ถ้าไปแล้วกลับไปทำไม เสียเวลาเสียเงินไปเปล่าๆ ใช่ไหม

 สู้เก็บเงินไว้ไม่ดีกว่าหรอ ไปตรงโน้นกลับมานี้

เสียไปกี่หมื่นล่ะ อยู่ดีๆ เงินก็หายไป

ถ้าขโมยมาขโมยเงินหมื่นนี้ โอโห...โมโห

แต่ถ้าความอยากมันมาขโมยนี้ กลับไม่โมโหมัน

นี่แหละคือความทุกข์ของพวกเรา

 ทุกข์ที่ความอยาก อยากแล้วมันอยู่ไม่เป็นสุขอยู่เฉยๆไม่ได้

 กินแล้วนอนไม่ได้ กินแล้วนอนต้องมีอย่างอื่น

ต้องมีหนังดูมีละครดู มีเพลงฟัง มีเครื่องดื่ม

มีสารพัดสาระเพ มีเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ

 เมื่อมีแล้วก็ติด ติดแล้วก็อยากจะมีไปเรื่อยๆ

พอวันไหนไม่มีก็ทุกข์

เคยดื่มอะไร พอวันไหนไม่ได้ดื่มก็ทุกข์

เคยดูละครวันไหนไม่ได้ดูก็ทุกข์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารสุชาคิ อภิชาโต
ขอยคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 มีนาคม 2559
Last Update : 14 มีนาคม 2559 9:36:38 น.
Counter : 706 Pageviews.

1 comment
### ตัวตนเกิดจากอวิชชา ###














“ตัวตนเกิดจากอวิชชา”

ถาม : อารมณ์อย่างเช่นความโกรธ ความกังวล

 ความปีติยินดีและอื่นๆ มีตัวตนขึ้นมาแต่แรกเริ่มได้อย่างไร

พระอาจารย์ : คือตัวตนนี้มันเกิดจากอวิชชา ความหลง

 ที่ไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของจิต ว่าจิตนี้เป็นเพียงธาตุรู้

เป็นเหมือนกับธาตุ ๔ คือดินน้ำลมไฟ

ไม่มีตัวตนอยู่ในดิน ไม่มีตัวตนอยู่ในน้ำ

ไม่มีตัวตนอยู่ในลม ไม่มีตัวตนอยู่ในไฟฉันใด

 ก็ไม่มีตัวตนอยู่ในตัวรู้ ในธาตุรู้ฉันนั้น

 แต่เนื่องจากมีอวิชชาความหลง

 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าหาจุดเริ่มต้นของอวิชชา

 ก็ไม่ทรงสามารถค้นหาเจอได้

ว่าอวิชชานี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

 ความหลงนี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

ดังนั้นเป็นคำถามที่ท่านเรียกว่าอจินไตย

ที่ไม่สามารถที่จะมีคำตอบได้

แล้วก็ไม่มีความสำคัญอะไร ที่จะต้องไปรู้ว่า

 เริ่มต้นที่ไหนเมื่อไหร่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเริ่มต้นที่ไหน

 ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันกำลังทำอะไรกับเราอยู่

มันเป็นคุณหรือมันเป็นโทษกับเรา

ตอนนี้มันเป็นโทษกับเรา

เราต้องหาวิธีที่จะทำลายมันให้ได้

เพื่อมันจะได้ไม่มาสร้างโทษให้กับเราเท่านั้นเอง

 เหมือนกับที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่า

 มีชายคนหนึ่งถูกยิงด้วยลูกธนู แล้วก็มีหมอ

หรือผู้ที่มีความปรารถนาดีจะมารักษาให้

จะมาถอนธนูออกให้แล้วก็จะรักษาแผลให้

แต่ชายคนนั้นบอกว่าเธออย่าพึ่งทำ

 ขอให้เธอไปสอบถามดูก่อนว่า คนที่ยิงธนูนี้เป็นใคร

 เป็นหญิงเป็นชาย มีชาติชั้นวรรณะอย่างไร

มีพี่มีน้องมีพ่อมีแม่ชื่ออะไร มีพี่น้องกี่คน

 เขาบอกว่าถ้าไปหาข้อมูลเหล่านี้

 ไม่รีบถอนดอกธนูที่มันฝังอยู่ในร่างกายคนๆนั้นก็จะตายได้

 พระพุทธเจ้าก็บอกตอนนี้เรามีดอกธนูฝังอยู่ในใจของเรา

 ก็คืออวิชชาความหลง ที่เป็นต้นเหตุ

ที่ทำให้เกิดตัณหาความอยาก

 ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์

 ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด

พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ถอนอวิชชาออกจากใจของเรา

ให้รีบถอนดอกธนูดอกนี้ออกจากใจของเรา

 ไม่ต้องไปสนใจว่า มันเริ่มต้นมาเมื่อไหร่ที่ไหนเวลาใด

ไม่สำคัญอะไร นี่คือคำตอบ

สำหรับผู้ที่ชอบถามปัญหาแบบโลกแตกทั้งหลาย

อจินไตยนี้มีอยู่ ๔ ข้อเท่าที่ได้ศึกษามาถ้าจำไม่ผิด

คนที่อยากจะรู้เรื่องกรรมนี้ก็เป็นเรื่องอจินไตย

 เพราะกรรมนี้มีหลายปัจจัยมีหลายเหตุ

มันผสมกันไปผสมกันมา จนกระทั่งทำให้เราไม่สามารถ

 ที่จะไปแยกแยะได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากอะไร

 อีกเรื่องก็คือเรื่องของสมาธิเรื่องของฌานต่างๆ

ที่ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็จะไม่สามารถเข้าใจได้

แล้วเรื่องความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้า

 ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ว่า

 ท่านมีความรู้ความสามารถขนาดไหน

แล้วเรื่องการเกิดของโลกที่เราอยู่กันนี้จักรวาลนี้

มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

 สมัยนี้ก็มีทฤษฎีต่างๆ มาพยายามหาคำตอบให้กัน

 ซึ่งความรู้เหล่านี้รู้ไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับปัญหาของเรา

 ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้

 เราไม่ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าเก่งกาจขนาดไหน

เราไม่ต้องรู้ว่าฌานขั้นนู้นขั้นนี้เป็นอย่างไร

เราไม่ต้องรู้ว่ากรรมนี้มันเป็นมาอย่างไร

มันทำให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้

ด้วยกรรมอันไหนอย่างไร ไม่ต้องไปรู้มัน

ขอให้เรารู้ว่า ตอนนี้เราทุกข์เพราะอะไร

 แล้วเราหยุดความทุกข์นี้ได้หรือเปล่า

 เราหยุดเหตุที่ทำให้เราทุกข์ได้หรือเปล่า ท่านสอนให้รู้แค่นี้

เพราะถ้าเราไม่ทุกข์แล้วปัญหามันก็จบ

ทุกวันนี้ที่เราวุ่นวายกันก็เป็นเพราะว่า เรามีความทุกข์ใจ

 อยู่ไม่เป็นสุขกัน อยู่เฉยๆไม่ได้

ไม่เชื่อ ลองหาเก้าอี้สักตัวหนึ่ง แล้วนั่งเฉยๆ

 สัก ๖ – ๗ ชั่วโมงดู ไม่ต้องทำอะไร กินข้าวให้อิ่ม

 แล้วก็หาน้ำมาสักขวดตั้งไว้ แล้วก็ลองนั่งเฉยๆ

สบายจะตายไปทำไมไม่นั่งกัน ทำไมต้องไปทำนู้นทำนี่

 ขยับไป อยู่ตรงนี้ก็ขยับไปตรงนู้น อยู่ตรงนู้นก็ขยับมาตรงนี้

 นั่นแหละปัญหาของพวกเราอยู่ตรงนี้ ให้มาแก้ตรงนี้

 ให้มันอยู่เป็นสุขให้ได้ ตอนนี้มันอยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้

 อยู่เฉยๆแล้วมันคัน แล้วมันก็ไปเกาผิดที่

ที่มันคันมันไม่ไปเกากัน พอคันปั๊บก็ไปหยิบเป๊ปซี่มาดื่ม

พอคันปั๊บก็ไปหากาแฟมาดื่ม หาขนมมากิน

ไอ้นี่มันเกาผิดที่ ที่มันคันก็คือความอยาก

มันอยากกินเป๊ปซี่ก็ต้องหยุด หยุดดื่มเป๊ปซี่

ถ้าหยุดแล้วต่อไปมันก็ไม่อยากจะดื่ม

 นี่แหละคือปัญหาของพวกเรา

เราไม่รู้ว่าปัญหาของเราอยู่ที่ตรงไหน

แล้วเวลาเกิดปัญหาก็ไปแก้ปัญหาผิดที่

 แทนที่จะแก้ที่ใจเราก็ไปแก้ที่อื่นแทน

ปัญหามันจึงไม่เคยหมดไปจากใจของพวกเรา

 เราเวียนว่ายตายเกิดกันมากี่ภพกี่ชาติแล้ว

 มันก็เกิดจากความหลงความอยากนี้เอง

ที่เราไม่รู้จักวิธีแก้ เพราะเราไม่มีความสามารถที่จะรู้ได้

 จนกว่าเราจะได้มาพบกับพระพุทธเจ้า

 พบกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น

 ที่เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้ปัญหาของพวกเรา

ว่าเกิดจากความหลง เกิดจากความอยาก

แล้วก็ต้องใช้ปัญญา คือความรู้ความฉลาดนี้มาแก้

ความฉลาดคือให้รู้ว่าปัญหาของเรา ที่อยู่ไม่เป็นสุขกัน

ก็เพราะความอยากนี้เอง

ดังนั้นเราต้องมาทำลายความอยากให้ได้

หยุดความอยากให้ได้

วิธีจะหยุดความอยากก็ต้องนั่งเฉยๆ

อยู่เฉยๆอย่าไปทำอะไร

ให้นั่งสมาธินี้ก็เพื่อให้หยุดความอยาก

 พอจิตสงบแล้วความอยากมันก็สงบตัวลงไป

เพียงแต่ว่าการหยุดเฉยๆนี้

 มันไม่ทำให้ความอยากมันตาย อย่างถาวร

ความอยาก พอออกจากสมาธิมา

ความอยากมันก็จะโผล่ขึ้นมาอีก

ถ้าอยากจะทำลายความอยาก ก็ต้องมาทำลายต้นเหตุ

 หรือรากเหง้าของความอยาก

 รากเหง้าของความอยากก็คือความหลง

 ความหลงที่คิดว่าทำตามความอยากแล้วจะมีความสุข

แต่ความจริงแล้วทำตามความอยากมันเป็นความทุกข์

เพราะมันจะทำให้ต้องอยากไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเอง

วิธีแก้ก็คือต้องไม่ทำตามความอยาก

นี่แหละคือวิธีแก้ความอยากอย่างถาวร

ถ้าเป็นต้นไม้ก็ต้องถอนราก ถอนโคนเท่านั้น

 ต้นไม้นั้นถึงจะไม่ออกกิ่งออกก้านออกมา

ต่อไป ถ้าเราตัดกิ่งตัดก้านตัดต้น

 แต่ไม่ถอนมันออกจากดินรากยังมีอยู่

เดี๋ยวมันก็โผล่กิ่งก้านสาขาออกมาใหม่ได้

สมาธิก็เป็นแบบนั้น

ก็เหมือนการตัดกิ่งตัดก้านของตัณหาความอยาก

 แต่พอสักระยะหนึ่งมันก็จะโผล่ขึ้นมาใหม่

 ถ้าอยากจะทำลายความอยากให้หมดไป

ก็ต้องถอนรากถอนโคนของมัน

รากโคนของมันก็คือความหลง

ความหลงที่ไม่รู้ว่าวิธีจะแก้ความอยาก

 ก็คือต้องไม่ทำตามความอยากเท่านั้น

 และวิธีที่จะแก้ความอยากนี้ได้ ก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ

 เครื่องไม้เครื่องมือก็ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้มา

ก็คือใช้สติใช้สมาธิแล้วใช้เหตุใช้ผล ใช้วิปัสสนา

 ก็คือให้เห็นว่าของในโลกนี้

ไม่สามารถที่จะมาทำลายความอยากได้

ไม่สามารถที่จะให้ใจของเรามีความสุขได้อย่างถาวร

 เราต้องหยุดแสวงหา หยุดอยากได้สิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้

 ต้องอยู่แบบไม่มีอะไรให้ได้ ไม่ต้องมีอะไร

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ต้องมี ถ้าถึงเวลาที่มันจะต้องหมดไป

ก็ปล่อยมันหมดไป ไม่ต้องไปรักษามันไม่ต้องไปยื้อมันไว้

ไม่ต้องไปเสียดายไม่ต้องไปหวง

 เพราะการหวง ความเสียดายนี้มันก็เป็นความอยาก

อยากให้อยู่ต่อไป พอไม่ได้อันนี้พอร่างนี้ไม่อยู่ต่อไป

ก็ไปหาร่างใหม่อีก เพราะยังมีความอยากได้ร่างกายอีก

นี่คือวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

แล้วได้นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้กับพวกเรา

ที่รวมอยู่ในพระอริยสัจ ๔ นี้ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค

เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

 แต่เป็นความจริงของสัตว์โลก สัตว์โลกทุกตัวนี้มีอริยสัจ ๔

 อยู่ในใจกันทุกตัวทุกคน แต่สัตว์โลกมองไม่เห็นอริยสัจ ๔

เวลาเกิดความทุกข์ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากความอยาก

 ก็ไปแก้ความทุกข์ด้วยการทำตามความอยาก

แทนที่จะไม่ทำตามความอยาก

หลงความอยาก หยุดความอยาก

ก็ไปต่ออายุของความอยาก เพิ่มความอยากให้มากขึ้น

 ด้วยการทำตามความอยาก

 นี่แหละคือเรื่องที่พวกเราต้องมาศึกษาและมาแก้กันให้ได้

มาเกาให้ถูกที่ เวลาไม่สบายใจอย่าไปดื่มกาแฟ

อย่าไปช้อปปิ้ง อย่าไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

คือให้มานั่งวิปัสสนา มาทำใจให้เป็นอุเบกขา

แล้วก็มาหยุดตัณหาความอยาก

ต่อสู้กับความอยากทุกรูปแบบ

จะกินจะดื่ม ถ้าจะต้องกินต้องดื่ม

ต้องเป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ

 เหมือนกับการกินยาดื่มยา เพื่อรักษาร่างกายไว้เท่านั้นเอง

 แต่จะไม่กินไม่ดื่มด้วยความอยาก

เวลาอยากจะดื่มก็ไม่ดื่ม ถ้าจะดื่มเพื่อร่างกายก็ดื่มน้ำเปล่า

 ไม่ดื่มกาแฟไม่ดื่มเป๊ปซี่ อันนี้เป็นการดื่มเพื่อความอยาก

 ถ้าเราทำอย่างนี้ได้แล้ว

ต่อไปความอยาก ก็จะหมดไปจากใจของเรา

 ความทุกข์ต่างๆความไม่สบายใจ

 ความอยู่ไม่เป็นสุขก็จะหายไป ทีนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้

 อยู่แล้วก็ไม่ต้องไปไหนก็ได้

ถ้าจะไปก็ต้องมีเหตุผลเท่านั้นถึงจะไป

 แต่จะไม่ไปเพราะความอยากไป

 เหมือนอย่างที่พวกเราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้

อยู่ตรงนี้ก็อยากจะไปตรงนู้น

 พอไปตรงนู้นก็อยากจะกลับมาตรงนี้

 มันก็กลิ้งไปกลิ้งมา เหมือนลูกฟุตบอล

เหมือนลูกปิงปองนี่เอง

นี่แหละคือเรื่องของพวกเรา ที่เราควรจะให้ความสนใจกัน

 อย่าไปสนใจเรื่องของอจินไตยทั้งหลาย

 เช่นว่าจิตนี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ อวิชชานี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

โลกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

 กรรมนี้เป็นอย่างไรถึงทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา

เกิดจากกรรมอะไรบ้างมีอะไรบ้าง ไม่ต้องไปรู้มัน

ไม่มีความสำคัญอะไร ความสำคัญอยู่ที่

ความทุกข์ใจของเราที่เกิดจากความอยากของเรา

 เราต้องเจริญมรรค แล้วเราจะได้มีเครื่องไม้เครื่องมือ

ที่เราจะได้มาดับความทุกข์

ด้วยการละความอยากต่างๆ เท่านั้นเอง

ง่ายจะตายไป เรื่องของปัญหามันง่าย

 ปัญหามันมีแค่ ๓ ตัวเท่านั้นเอง

กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา หยุด ๓ ตัวนี้ได้

ปัญหาทั้งหลายในโลกนี้ก็จะหมดไป

โลกจะอยู่กันอย่างสันติสุข ที่ทุกวันนี้อยู่กันแบบไม่สงบสุข

ก็เพราะความอยากเท่านั้น

 ไปดูแต่ละประเทศ ก็อยากจะแยกประเทศกัน

 อยู่ประเทศนี้ก็อยากจะแยกไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง

 มันก็เป็นความอยาก คิดว่าแยกไปแล้วจะดี

มันก็เหมือนเดิมนะแหละ มันก็ต้องจ่ายภาษีต้องทำงาน

ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเหมือนเดิมอยู่ดี

 มันไม่ได้ไปแยกแล้วจะได้อยู่ฟรีกินฟรีที่ไหนกัน

 เปลี่ยนผู้นำใหม่มันก็เหมือนกันอีกแหละ

 เปลี่ยนคนนั้นมามันก็เหมือนกันนะ

คนนี้กินมากหน่อยคนนั้นกินน้อยหน่อย

มันก็กินเหมือนกัน เราก็ต้องจ่ายภาษีเหมือนเดิม

 ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเหมือนเดิม

 น้ำมันก็แพงขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนเดิม

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ฉะนั้นเราอย่าไปวุ่นวายกับเรื่องราวเหล่านี้

เราแก้ปัญหาที่ใจเรา อย่าไปอยากกับเหตุการณ์ต่างๆ

อยู่กับมันไปตามมีตามเกิด

ในที่สุดก็ต้องตายจากกันไปหมด

ไม่มีใครเอาอะไรไปได้สักคน

 เอาไปได้ก็คือความหลงความอยากความทุกข์ต่างๆเท่านั้น

 เพราะไม่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

คือมาดับความทุกข์ดับความอยากดับความหลงกัน

 นี่แหละก็มีเท่านี้แหละ ขอให้พวกเราอย่าหลงประเด็น

 ประเด็นของพวกเราอยู่ที่ตัณหา

ความอยากของพวกเรา

อยู่ที่ความหลงของพวกเราเท่านั้นเอง

ของต่างๆในโลกนี้ มันไม่มีสาระประโยชน์อะไร

กับจิตใจเราหรอก ต่อให้เรากอบโกยได้มามากน้อยเพียงไร

 มันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเราหายคันหรอก

มันก็ยังคันเหมือนเดิม มันก็ยังอยากเหมือนเดิมอยู่

 มีธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้ใจเราหายอยาก หายคันได้

ก็คือธรรมะปฏิบัติที่ท่านสอนให้พวกเราปฏิบัติกัน

เริ่มต้นที่ทาน ที่ศีล และก็ที่ภาวนานี้เอง

ฉะนั้นขอให้เราถามปัญหาตรงนี้ดีกว่า

ตอนนี้เรามีทานหรือเปล่า เรามีศีลหรือเปล่า

 เรามีภาวนาหรือเปล่า ถ้ามี มีมากหรือมีน้อย

 ถ้ามียังไม่มากพอก็ มีให้มันมีมากขึ้น

มีให้มันครบตามที่ต้องการ

เพื่อที่จะได้เอามาดับความอยาก

 ดับความทุกข์ต่างๆให้มันหมดไปจากใจของเรา

 นี่คือปัญหาที่เราควรจะถาม

 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงให้เราถามอยู่เรื่อยๆว่า

วันเวลาผ่านไป ผ่านไป เรากำลังทำอะไรกันอยู่

เรากำลังทำทานกันหรือเปล่า กำลังรักษาศีลกันหรือเปล่า

 กำลังภาวนากันหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เราควรจะสนใจ

 อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่น

 เพราะว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับจิตใจของเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

กัณฑ์ที่ ๔๗๖ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗

“ปัญญา ๓ ขั้น”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 มีนาคม 2559
Last Update : 13 มีนาคม 2559 10:14:50 น.
Counter : 757 Pageviews.

0 comment
### ดูการกระทำเป็นหลัก ###














“ดูการกระทำเป็นหลัก”

วันพระมีเป้าหมายอยู่ตรงที่ ให้มีเวลาว่าง

จากภารกิจการงานต่างๆ เพื่อบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล

 ซึ่งเป็นอาหารของใจ ที่เป็นเหมือนร่างกาย

 จะอยู่ปราศจากอาหารไม่ได้

ใจอยู่ปราศจากบุญกุศลไม่ได้

 เพราะถ้าขาดบุญขาดกุศลแล้ว ใจจะเหี่ยวแห้งอับเฉา

เศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่สดชื่นเบิกบานร่าเริง

 ไม่มีความอิ่ม ไม่มีความสุข

แต่ถ้าได้บำเพ็ญบุญกุศลอย่างสม่ำเสมอแล้ว

จิตใจจะมีความร่มเย็นเป็นสุข มีความสบาย เบิกบาน ร่าเริง

 ดังนั้นเมื่อเรามีเวลาว่าง ในวันเสาร์วันอาทิตย์

เราจึงควรถือวันใดวันหนึ่งให้เป็นวันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล

 มาวัดเพื่อมาทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม

ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่กำลังแห่งสติปัญญา

ศรัทธาความเพียร เท่าที่จะสามารถทำได้

เพราะการกระทำเป็นเหตุที่จะนำผลต่างๆมา

 ไม่ว่าจะเป็นความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี

 ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี

ล้วนเกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น

 เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น

 สอนตรงที่กรรมคือการกระทำ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

 กรรมเป็นเครื่องจำแนกแยกสัตว์ให้สูงให้ต่ำ

 การที่เราเกิดมามีฐานะแตกต่างกัน มีสติปัญญาไม่เท่ากัน

มีกำลังทรัพย์ไม่เท่ากัน มีรูปร่างหน้าตาไม่เท่ากัน

 มีอายุขัยไม่เท่ากัน ก็เกิดมาจากการกระทำในอดีตนั่นเอง

 เป็นเหตุทำให้เป็นอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ดูการกระทำของเราเป็นหลัก

 คือการกระทำทางกายทางวาจาและทางใจ

เพราะจะนำมาซึ่งผลต่างๆ ถ้าไม่ดูแล้ว

ปล่อยให้ทำไปตามอารมณ์ ที่มีทั้งดีและไม่ดี

ถ้าอารมณ์ดีก็จะผลักดันให้กระทำในสิ่งที่ดี

 อารมณ์ไม่ดีก็จะผลักดันให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี

เมื่อทำไปแล้วก็จะมีผลตามมา

จะต้องการผลนั้นหรือไม่ ก็ห้ามไม่ได้

เพราะเมื่อเหตุได้ทำไปแล้ว

 ผลต้องตามมาอย่างแน่นอน

 แต่ถ้าคอยเฝ้าดูการกระทำ

ทางกายทางวาจาและทางใจอยู่เสมอ

 ว่าจะไปในทิศทางใด ถ้าไปในทางที่ดี

ก็ส่งเสริมให้ทำเลยให้พูดเลย

 ถ้าไปในทางที่ไม่ดีก็ต้องระงับ ต้องต่อสู้ ต้องขัดขวาง

 ไม่ให้ไปทำ เมื่อสามารถควบคุมการกระทำของเราได้แล้ว

 ต่อไปผลที่ทุกคนปรารถนา คือความสุข ความเจริญ

 ความร่มเย็นเป็นสุข ก็จะเป็นผลที่ตามมา

ส่วนความทุกข์ ความเสื่อมเสีย

ความเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา

 เพราะไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดขึ้นมานั่นเอง

 ถ้าจะเชื่ออะไรก็ขอให้เชื่อหลักกรรมคือการกระทำ

 กรรมนี้แหละเป็นสัจธรรมความจริง

ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งในอดีตที่ผ่านมา

และในอนาคตที่จะตามมา ได้ตรัสรู้เห็นอย่างแจ้งชัด

 ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ก็มีกรรมเป็นผู้พาให้ไปเกิด

เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เพราะกรรมดีพาให้ไปเกิด

 เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เพราะบาปกรรมพาให้ไปเกิด

 เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นอย่างแจ้งชัด ไม่สงสัย

 เหมือนกับเราเห็นสิ่งต่างๆในศาลาแห่งนี้

ว่ามีอะไรอยู่บ้าง มีคนมากน้อยเพียงไร

 มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ตรงไหน

เราเห็นได้กับตาของเราอย่างชัดเจนอย่างไร

 เรื่องบุญกรรม เรื่องนรก เรื่องสวรรค์

ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเห็นได้

อย่างชัดเจนเหมือนกัน

เมื่อทรงรู้ทรงเห็นอย่างชัดเจนแล้วก็ทรงนำเอามาเผยแผ่

 สั่งสอนพวกเราที่ยังมืดบอด ยังไม่เห็น ยังสงสัย

ในเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด

ให้นำเอาไปพิสูจน์

เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น

 เป็นสิ่งที่คนตาดีเห็นแล้วก็มาบอกคนตาบอด

ซึ่งแม้จะได้ยินได้ฟังมากน้อยเพียงไร ตาก็ยังมืดมิด

 ยังไม่เห็นอยู่ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เท่ากันตรงที่ว่า

ยังไม่เห็นอยู่ดี แต่ถ้าเชื่อแล้วนำไปปฏิบัติ

 ต่อไปตาจะสว่างขึ้นมาแล้วจะเห็นสิ่งต่างๆ

 เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น

แต่ถ้าไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่เห็นอะไร

เพราะตาจะไม่สว่างขึ้นมาได้เลย

เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น

เป็นเครื่องมือที่จะเบิกตาให้สว่างขึ้นมานั่นเอง

 ให้มีดวงตาเห็นธรรม ให้มีแสงสว่างแห่งปัญญา

ที่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง ลึกซึ้ง กว้างขวาง

 กว้างไกล กว่าตาธรรมดาที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ที่เห็นแต่รูปหยาบๆเท่านั้น แต่รูปที่ละเอียด

 เสียงที่ละเอียดและสิ่งที่ละเอียดต่างๆ

เช่นรูปทิพย์เสียงทิพย์

จะไม่อยู่ในวิสัยของตาเนื้อจะเห็นได้

 แต่จะเห็นได้จากตาทิพย์ ที่จะเกิดขึ้นได้

 ถ้านำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาปฏิบัติ

ตั้งแต่ขั้นต่ำขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด

แล้วเราก็จะเห็นอย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น

 เมื่อเห็นแล้วก็จะได้หลุดพ้นจากการกระทำผิด

จะทำแต่ความดี เมื่อเป็นเช่นนั้น

ผลของการกระทำผิดก็จะไม่เกิดขึ้น

คือความทุกข์ ความเสื่อมเสียทั้งหลาย

 ก็จะไม่มีอยู่ในใจของเราอีกต่อไป

จะมีแต่ความสุข ความสบาย ความอิ่ม ความพอไปตลอด

นี้คือสิ่งที่จะได้รับถ้ามีศรัทธาความเชื่อ

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วนำเอาไปปฏิบัติตามกำลัง

ที่จะสามารถปฏิบัติได้ในขณะนี้

 แล้วก็พยายามขยับขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย

 เหมือนกับเด็กที่หัดเดิน ในเบื้องต้นก็คลานไปก่อน

 แล้วต่อมาก็ค่อยๆลุกขึ้นมายืน

 แล้วก็ค่อยๆเดินทีละก้าวสองก้าว

ต่อไปก็เดินได้วิ่งได้อย่างสบาย

 การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ต้องใช้เวลา

 ความอดทน ความพยายาม ที่จะตะเกียกตะกาย

ปฏิบัติไปทีละเล็กทีละน้อย จากน้อยไปหามาก

จนสามารถปฏิบัติได้เต็มที่ เหมือนกับพระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ปฏิบัติกัน

 เมื่อปฏิบัติได้เต็มที่แล้ว ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ รู้สิ่งต่างๆ

 ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ทรงรู้ทรงเห็นกัน จะเห็นเรื่องเวียนว่ายตายเกิด

เรื่องนรกสวรรค์ จะเห็นสัตว์โลกที่ทำบาปทำกรรมนั้น

 ตายไปแล้วจะต้องไปเกิดเป็นอะไร

เราจะเห็นสัตว์โลกที่ทำบุญทำกุศล

เมื่อตายไปจะไปเกิดเป็นอะไร

สิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกปกปิดอีกต่อไป

 เมื่อจิตมีดวงตาเห็นธรรม

ก็จะเหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด

พอเปิดไฟขึ้นมา ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

 เพราะความมืดที่ปกปิดอยู่นั้น

ได้ถูกแสงสว่างทำลายไปหมดแล้ว ฉันใด

มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

 เห็นว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เห็นว่าตายไปแล้วสูญ

จะถูกทำลายไปกับความมืดบอดเมื่อมีดวงตาเห็นธรรม

 มีแสงสว่างแห่งปัญญาปรากฏขึ้นมา

 ที่เกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เริ่มต้นตั้งแต่มีความกตัญญูกตเวที สัมมาคารวะ

เสียสละ ศีล สมาธิ ปัญญา

เมื่อปฏิบัติไปถึงขั้นปัญญาแล้ว

แสงสว่างแห่งธรรมก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเอง

 แล้วจะไม่สงสัยในเรื่องบาปเรื่องกรรม

 ไม่สงสัยเรื่องพระนิพพานว่าเป็นอย่างไร

ไม่สงสัยว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน

จะไม่หลงงมงายกับความสุขที่หลงกันอยู่ทุกวันนี้

 คือความสุขจากลาภยศสรรเสริญ จากกามคุณ ๕

เพราะจะไม่มีความดูดดื่มกับจิตใจอีกต่อไป

เพราะจะเห็นด้วยปัญญาว่าไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง

เป็นความสุขที่เคลือบความทุกข์นั่นเอง

 เหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาล

 เวลาน้ำตาลละลายหมดไปแล้วก็เหลือแต่ความขมขื่น

 ความสุขทางโลกก็เป็นเช่นนั้น

เป็นเหมือนน้ำตาลเคลือบความทุกข์

เวลาได้อะไรมาใหม่ๆ เช่นเวลาแต่งงานใหม่ๆ

 ก็มีความสุข พอเวลาผ่านไปก็ละลายจืดจางหายไป

เหลือแต่ความขมขื่นตามมา

เพราะอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

คนเราเปลี่ยนได้ อารมณ์ของคนเปลี่ยนได้

 วันนี้อารมณ์ดี พรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี

เวลาได้อะไรมาแล้วก็จะไม่ค่อยสนใจดูแลรักษา

 ไม่เหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้มา

 จะพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้มา

ถ้าต้องทำตัวให้ดีก็จะทำ ถ้าจะต้องเอาใจผู้อื่นก็ยินดีทำ

 แต่เมื่อมาแล้วก็จะไม่มีความจำเป็นต้องไปทำต่อไป

 ธาตุแท้ก็จะค่อยๆโผล่ออกมา คือ ความเห็นแก่ตัว

 ความเอารัดเอาเปรียบ ความเอาใจตัวเอง

 เมื่อโผล่ออกมาแล้วก็จะทำให้

เกิดความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นตามมา

เคยได้รับการเอาอกเอาใจ เดี๋ยวนี้ไม่ได้รับการดูแลแล้ว

 ก็จะเกิดความเสียใจเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา

นี้คือความจริงของชีวิต

 ความสุขในโลกนี้จะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

 ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวัตถุต่างๆ ก็จะเป็นแบบนี้

 เวลาใหม่นี้ทุกอย่างดีไปหมด

แต่พอเริ่มเก่าแล้วก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เริ่มดูไม่ดี

เริ่มมีปัญหา เริ่มมีภาระที่ต้องคอยดูแลซ่อมแซมรักษา

เป็นสิ่งที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าจะเห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้ว่าความสุขในโลกนี้ไม่ได้เป็นความสุขเลย

 ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

 สู้ความสุขที่ได้จากการทำความดีไม่ได้

เช่นความกตัญญูกตเวที เวลาได้รับใช้ได้ดูแลพ่อแม่

 ได้ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ จะมีความสุข

มีความภูมิใจ เวลามีความอ่อนน้อม

 มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ จะมีความสุขสบายใจ

เวลาเสียสละจะมีความภูมิใจ

 เวลารักษาศีลไม่เบียดเบียนผู้อื่น จะมีความมั่นใจ

 มีความสุขใจ เวลาทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ

 จะพบความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน

เป็นความสุขที่ละเอียดปราณีต

 เป็นความสุขที่มีอานุภาพมาก

ในขณะที่ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไม่รู้สึกเจ็บไปกับร่างกาย

 ใจยังมีความสุขอยู่ ถ้าได้เจริญปัญญาจนรู้แจ้งเห็นจริง

ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรจะยึดติด

 ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของตน ก็จะพบกับสุขที่ประเสริฐที่สุด

ที่เกิดจากการหลุดพ้นอย่างถาวร

เพราะถ้าเห็นด้วยปัญญาแล้ว

ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ จะปล่อยวาง

ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความจริง

จะเกิดก็ให้เกิด จะอยู่ก็ให้อยู่ จะตายก็ให้ตาย

ไม่ไปทุกข์ ไม่ไปเดือดร้อน ไม่ไปยินดียินร้าย

 กับการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปของสิ่งต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะใหญ่หรือเล็กก็ตาม

 ใจจะไม่มีความหวั่นไหวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ

เพราะใจเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะสามารถทำลายได้

 ใจเป็นนามธรรม แม้ระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถทำลายใจได้

ทำลายได้แต่วัตถุกับคนเท่านั้น

 เพราะใจเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย

 เพียงแต่มาเกาะติดอยู่กับสิ่งที่ตายคือร่างกาย

แล้วก็หลงยึดติดว่าร่างกายเป็นใจ เป็นตัวเป็นตน

 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมา

ก็เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นมา

ทั้งๆที่ใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกายเลย

 ร่างกายจะแก่ใจก็เหมือนเดิม ไม่ได้แก่ตามร่างกายไป

 ร่างกายจะเจ็บอย่างไรใจก็ไม่ได้เจ็บตามร่างกายไป

 แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติตาม

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงขั้นปัญญาแล้ว

 จะไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้

แต่ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆจนถึงขั้นปัญญา

จะเห็นทันทีว่าใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน

ใจไม่ได้เป็นร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้

ไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริงของใจ

ใจไม่สามารถควบคุมบังคับ

ให้เป็นไปตามความต้องการได้ตลอด

 อยากจะให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้เป็นอย่างนี้

ก็เป็นได้บางครั้งบางคราวบางเวลา

แต่จะให้เป็นไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้

เช่น ทำมาค้าขายก็ขอให้กำไรไปตลอดไม่ขาดทุนเลย

 ย่อมเป็นไปไม่ได้ ให้เจริญไปตลอดไม่เสื่อมเลย

 ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกนี้

มีความเจริญกับความเสื่อมเป็นของคู่กัน

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่าโลกธรรม ๘ มีอยู่ ๔ คู่ด้วยกัน

 คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีทั้งเจริญและมีทั้งเสื่อม

 มีการเจริญลาภก็มีการเสื่อมลาภ

มีการเจริญยศก็มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา

มีสุขก็มีทุกข์สลับกันไป

อยู่ในโลกนี้จะต้องเป็นอย่างนี้ ใจที่ฉลาดจะรู้ทัน จะไม่หลง

 ไม่ยึดไม่ติดกับโลกธรรมทั้ง ๘ จะเจริญก็ไม่ดีอกดีใจ

 จะเสื่อมก็ไม่เสียอกเสียใจ เพราะไม่ยึดติด

ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้นั่นเอง

ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ

เหมือนกับปล่อยให้ดินฟ้าอากาศเป็นไปตามสภาพ

ไม่ได้อยากให้ฝนตกหรือไม่ตก

ไม่ได้อยากให้แดดออกหรือไม่ออก

 ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะไม่เดือดร้อน

 เวลาฝนตกก็ไม่เดือดร้อน เวลาแดดออกก็ไม่เดือดร้อน

 แต่ถ้ายึดมันถือมั่นกับแดดกับฝนแล้วจะลำบาก

 เพราะเวลาอยากให้ฝนตกแล้วไม่ตก ก็จะเดือดร้อน

 เวลาอยากให้แดดออกแล้วไม่ออกก็จะเดือดร้อน

 จะวุ่นวายใจ ความทุกข์ความวุ่นวายใจกับสิ่งต่างๆ

เกิดจากความอยากทั้งนั้น อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้

อยากให้คนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอไม่ได้ดังใจก็เสียใจวุ่นวายใจ

แต่ถ้ารู้จักทำใจ ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ

 จะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา

อยากจะได้อะไรก็ทำไปตามความสามารถก็แล้วกัน

ถ้าได้ก็ดีไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจ

 เพราะไม่เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัย ที่จะควบคุมบังคับได้

 เหมือนกับแทงหวยแทงลอตเตอรี่

 จะบังคับให้ออกตามเลขที่แทงไม่ได้ ฉันใด

ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าปล่อยวางไม่ยึดไม่ติดได้

 ก็จะไม่ทุกข์กับอะไร มีหน้าที่ต้องทำอะไร

ก็ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกันตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังต้องทำ

 มีหน้าที่ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ทำให้ดีที่สุด

 ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ได้มามากน้อยเพียงไรก็ให้พอใจ

เรื่องการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน

 ก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

ทรงสอนให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อมก็ทำไป

 ทำให้มากๆ ทำให้สุดความสามารถ

 จะได้มากได้น้อยก็ทำไปเรื่อยๆ

จะได้มากขึ้นไปเรื่อยๆเอง

ส่วนบาปกรรมที่ทรงสอนให้ลดให้ละให้ตัด

ก็ต้องทำเหมือนกัน ต้องตัดต้องละอบายมุขต่างๆ

เช่นการเสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน

 คบคนชั่วเป็นมิตร ก็ต้องพยายามละ พยายามเลิก

 ทรงสอนให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

 ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ

 ก็ต้องละเช่นเดียวกัน นี้คือหน้าที่ของเรา

เป็นสิ่งที่เราทำได้ ถ้าทำแล้วจิตใจจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

ความทุกข์จะน้อยลงไป ความสุขจะมีมากยิ่งๆขึ้นไป

 เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหน

เกิดจากการควบคุมจิตใจให้ตั้งอยู่ในสิ่งที่ดีที่งาม

ให้อยู่ห่างไกลสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย

อยู่ที่การชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง

ให้เบาบางลงไปตามลำดับจนหมดสิ้นไป

นี้คือหน้าที่ของเราเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยกันทุกคน

 ทำได้มากน้อยเพียงไร ความสุขความเจริญ

ก็จะมีมากขึ้นไปเพียงนั้น เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่เสมอ

 แต่ความอยากรวย อยากให้มีคนรัก

สรรเสริญเยินยอยกย่อง อยากให้มีความสุขไปทุกวัน

 เป็นสิ่งที่ไม่ควรขวนขวายเพราะบังคับไม่ได้

ทำมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้ดังใจ

บางวันก็ได้ความสุขบางวันก็ได้ความทุกข์

บางวันก็ได้ลาภบางวันก็ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในวิสัย

ที่จะควบคุมบังคับได้นั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กัณฑ์ที่ ๒๖๙ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๙

 (กำลังใจ ๒๕)

“ดูการกระทำเป็นหลัก”










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 มีนาคม 2559
Last Update : 12 มีนาคม 2559 11:47:11 น.
Counter : 752 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ