Group Blog
All Blog
### สัจธรรมในใจ ๒ คู่ ###











“สัจธรรมในใจ ๒ คู่”

พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของผู้ที่ได้เห็น

สัจธรรมความจริง ๔ ประการด้วยกันคือ

 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

ที่มีอยู่ในใจของพระองค์เองและมีอยู่ในใจของสัตว์โลก

สัจธรรมความจริง ๔ ข้อนี้ก็แบ่งเป็น ๒ คู่

 คู่ที่ ๑ คือทุกข์กับสมุทัย คู่ที่ ๒ คือนิโรธกับมรรค

 ในใจของเรานี้ จะมีการทำงานของทุกข์กับสมุทัย

และการทำงานของนิโรธกับมรรค

อยู่ที่ว่าฝ่ายไหนจะทำมากกว่ากัน

สำหรับสัตว์โลกอย่างพวกเรานี้

คู่แรกนี้จะทำงานมากกว่าคู่หลัง

คือคู่ทุกข์กับสมุทัย

 ใจของเรานี้จะมีความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

ทุกข์เพราะความอยากต่างๆ

 ความทุกข์นี้เกิดจากสมุทัย

สมุทัยแปลว่าต้นเหตุของความทุกข์

ต้นเหตุของความทุกข์คือ

กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

นี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ใจของเราทุกข์กัน

เช่นเวลาที่เราเห็นความแก่ เห็นความเจ็บ

 เห็นความตายเราจะมีความไม่สบายใจ

ความไม่สบายใจนี้เขาเรียกว่าความทุกข์ใจ

พอคิดถึงความแก่ คิดถึงความเจ็บ คิดถึงความตาย

เราก็ไม่สบายใจกัน แต่เราไม่รู้สาเหตุ

ว่าอะไรทำให้เราไม่สบายใจ

 พระพุทธเจ้านี้ทรงรู้สาเหตุ

ว่าเกิดจากความอยากไม่แก่ ความอยากไม่เจ็บ

ความอยากไม่ตาย อันนี้ทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

 หรือเวลาที่เราเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

เช่นเห็นรูป อยากดู เห็นเสียงอยากได้ฟังอยากได้ยิน

 เห็นกลิ่นอยากได้ดม เห็นรสอยากจะลิ้มรส

 เห็นสัมผัสอยากจะได้สัมผัส

พอเราเกิดความอยากขึ้นมา

เราก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

เวลาที่เราอยากแล้วเราไม่ได้เสพสิ่งที่เราอยากจะเสพ

เช่นอยากจะเสพรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 พอเกิดความอยากแล้วพอไม่ได้เสพ

ก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

 ความทุกข์ใจจะหายไปชั่วคราว ตอนที่เราได้เสพ

เช่นเราอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอก

 เวลาเราไม่ได้ออกไปเที่ยวนอกบ้าน

 เราต้องอยู่บ้านเรา ก็จะรู้สึกหงุดหงิดใจรำคาญใจ

 พอเราได้ออกไปเที่ยวข้างนอก

 ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ นั้นก็จะหายไปชั่วคราว

แต่พอเรากลับมาอยู่บ้านใหม่ ความหงุดหงิด

 ความรำคาญใจก็จะกลับคืนขึ้นมาใหม่

การทำตามความอยากนี้
จะไม่ได้ทำให้

ความทุกข์ใจของเราหายไปอย่างถาวร

 ทำให้หายไปเพียงชั่วคราว

แล้วก็กลับจะโผล่ขึ้นมาใหม่

 แล้วถ้าเราไปทำตามความอยาก

เราก็จะระงับมันได้ชั่วคราว

แล้วเดี๋ยวก็ต้องกลับมา โผล่ขึ้นมาใหม่อีก

 นี่คือตัวอย่างของต้นเหตุของความทุกข์ใจไม่สบายใจ

 เกิดจากความอยากของเรา

 เราอยากให้คนนั้นนี้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

 พอเขาไม่ทำตามความอยากของเรา

เราก็ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ อยากให้คนนั้นอยู่กับเรา

 พอเขาไม่ได้อยู่กับเรา เราก็ทุกข์ใจ

นี่คือสัจธรรมคู่แรกคือทุกข์กับสมุทัย

ทุกข์ก็แปลว่าความไม่สบายใจต่างๆ

สมุทัยก็คือตัณหาที่เป็นต้นเหตุของความไม่สบายใจต่างๆ

นี่คือสัจธรรม ที่มีกำลังมากในใจของเรา

 ใจของเราเลยมีความทุกข์ความวุ่นวายใจอยู่อย่างต่อเนื่อง

 ทุกข์กับเรื่องนั้นแล้ว เดี๋ยวก็มาทุกข์กับเรื่องนี้

ทุกข์กับเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวก็ไปทุกข์กับสิ่งนั้น

 ทุกข์กับสิ่งนั้นแล้วก็มาทุกข์กับสิ่งนี้

 ทุกข์กับสิ่งนี้แล้วก็ไปทุกข์กับคนนั้น

 ทุกข์กับคนนี้มีเรื่องให้ทุกข์อยู่เรื่อยๆ

เพราะเรามีความอยากอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

นี่คือสัจธรรมคู่แรกที่เรียกว่า ทุกข์กับสมุทัย

ที่เป็นฝ่ายผูกมัดหรือเหยียบย่ำจิตใจ

ให้มีความไม่สบายใจ อยู่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนสัจธรรมคู่ที่ ๒ นี้เรียกว่านิโรธ

คือการหลุดพ้นจากความทุกข์

แล้วก็มรรคคือเครื่องมือที่จะทำให้ใจ

ได้หลุดพ้นจากความทุกข์

 คู่ที่ ๒ นี้ภายในใจของพวกเรานี้จะไม่ค่อยมีกัน

บางคนนี้แทบจะไม่มีเลย

 ตื่นขึ้นมาก็มีแต่ความอยากตลอดเวลา

 อยากได้นั่นอยากได้นี่อยากมีนั่นอยากมีนี่

แล้วก็ต้องไปทำตามความอยาก

ถ้าได้ก็บรรเทาความทุกข์ไปชั่วคราว

พอไม่ได้ก็เกิดความทุกข์เกิดความเสียใจขึ้นมา

 น้อยคนที่จะมีสัจธรรมคู่ที่ ๒ คือนิโรธกับมรรค

 นิโรธก็คือการดับของความทุกข์

หรือการหลุดพ้นจากความทุกข์

แล้วก็มรรคก็คือเครื่องมือ

หรือทางที่จะนำไปสู่การดับของความทุกข์

สาเหตุที่พวกเราไม่ค่อยมีนิโรธไม่ค่อยมีการหลุดพ้น

จากความทุกข์กัน ก็เพราะพวกเราไม่มีมรรคกัน

 มรรคก็คือการปฏิบัติที่จะทำให้

เราละตัณหาความอยากต่างๆได้

 ถ้าเราอยากจะดับความทุกข์

อยากจะให้ไม่มีทุกข์ภายในใจเรา

 เราต้องละตัณหาทั้ง ๓

คือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

การที่เราจะละได้นี้เราต้องมีเครื่องมือ

ถ้าเราไม่มีเครื่องมือนี้เราไม่สามารถละได้

 เช่นตอนนี้ เราได้ยินได้ฟังธรรม

เราได้รู้แล้วว่าความทุกข์ใจของพวกเรานี้เกิดจาก

กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

 แต่เราไม่มีกำลัง ที่จะหยุดตัณหาทั้ง ๓ นี้ได้

เวลาอยากได้อะไรนี้หยุดไม่ได้

ต้องเอาให้ได้อย่างเดียว

 ถ้าไม่ได้ ก็จะร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ

 ดับความทุกข์ไม่ได้

เพราะละตัณหาความอยากไม่ได้

เพราะเราไม่มีเครื่องไม้ เครื่องมือ

เหมือนกับเวลาที่รถเรายางแตกแล้ว

เราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง

 ถ้าเราไม่มีเครื่องมือเช่นแม่แรง กับที่ขันน๊อต

 เราจะไม่สามารถยกล้อขึ้นมาด้วยมือเปล่าของเราได้

 แต่ถ้าเรามีแม่แรงเราก็สามารถยกล้อ ให้ลอยขึ้นมาให้ได้

แล้วมีที่ขันน๊อต พอเราขันคลายน๊อตออกมา

เราก็สามารถเอายางแตกออกมาแล้ว

เอายางใหม่ที่ไม่แตก

ใส่เข้าไปได้ ใส่เสร็จเราก็ขันน๊อตกลับเข้าที่เดิม

แล้วลดปล่อยให้แม่แรงลงมา ปล่อยให้ล้อลงมาติดดิน

เราก็เปลี่ยนยางได้ถ้าเรามีเครื่องไม้เครื่องมือ ฉันใด

ถ้าเราไม่มีมรรคที่เป็นเครื่องมือ

 ในการละตัณหา ความอยากทั้ง ๓

เราก็จะไม่มีความสามารถที่จะละมันได้

เช่นตอนนี้เรารู้แล้วว่าความทุกข์ ของเรา

ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย

นี้มันเกิดจากความอยาก

ไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

ตอนนี้เราละความอยากทั้ง ๓ นี้ได้ไหม

คือความอยากไม่แก่

 ยอมแก่ไหม ยอมเจ็บไหม ยอมตายไหม

 คือปล่อยให้ร่างกายแก่ไป

โดยที่เราไม่ต้องไปขัดขวางมันได้หรือเปล่า

ปล่อยให้ร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วย

โดยที่เรา ไม่ต้องไปอยากให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย

 ปล่อยให้มันตายไปโดยที่เราไม่ไปห้ามมันได้หรือเปล่า

 ไม่อยากให้มันตาย ได้หรือเปล่า

ถ้าเราทำใจได้ทำใจให้เฉยๆได้

มันจะแก่ จะเจ็บ จะตายเราไม่มีความอยาก

ไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

 เราจะไม่มีความทุกข์

กับความแก่ ความเจ็บ ความตายเลย

 แต่ตอนนี้เราห้ามความอยากของเราไม่ได้

 มันมีกำลังมากกว่าเราจะต้องใช้เครื่องมือ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

ที่จะสร้างกำลังให้แก่ใจของเรา

 สร้างกำลังให้กับตัวของเรา

ต่อสู้กับความอยากต่างๆ ได้

ดังนั้นสิ่งที่พวกเราควรที่จะทำกัน

 ควรที่จะสร้างกันขึ้นมาเพื่อที่เราจะได้เอาไปใช้

ในการละความอยากต่างๆ ก็คือมรรค

มรรคก็คือมรรคมีองค์ ๘ เช่นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป

อันนี้คือความเห็นที่ถูกต้องกับความดำริ

ความคิดที่ถูกต้อง ๒ อันนี้รวมกันเรียกว่าปัญญา

 มีความเห็นอย่างไรมีความคิดอย่างไร

ถึงจะเรียกว่าเป็นปัญญา

ก็มีความเห็นว่าความทุกข์ของเรา

เกิดจากความอยากของเรา

เกิดจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

แล้วความทุกข์จะดับไปได้ก็ต่อเมื่อ

เรามีมรรคมาละตัณหา

มรรคก็คือศีล สมาธิ ปัญญา

นี่คือเรื่องของสัมมาทิฏฐิ

สัมมาสังกัปโปก็คือความดำริชอบ

 คิดอย่างไรถึงจะคิดไปในทางที่ถูก

 คิดว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นทุกข์

 คิดว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงไม่ใช่เป็นของเรา

เรียกว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ถ้าเราเห็นสิ่งที่เราอยากได้

 ว่ามันเป็นทุกข์ไม่ได้เป็นสุข

 เช่นเห็นเครื่องดื่มที่เราอยากจะดื่ม

แต่ถ้าเรารู้ว่าดื่มไปแล้วจะทำให้เราเป็นโรคมะเร็ง

 เราก็จะไม่อยากดื่ม แต่ถ้าเราไม่รู้คิดว่า

ดื่มแล้วมันเอร็ดอร่อย ให้ความสุขเราก็จะดื่มกัน

เพราะเราขาดสัมมาทิฏฐิ เราขาดข้อมูลที่ถูกต้อง

ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราจะดื่มนี้

จะทำให้เราเป็นโรคมะเร็งขึ้นมา

 เราก็จะไม่กล้าดื่มกัน ฉันใด

ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราได้อยากได้นี้

จะทำให้เราทุกข์ใจในภายหลัง

เราก็จะไม่อยากได้มา

 เช่นเราอยากจะได้แฟน

แต่ถ้าเรารู้ว่าพอได้แฟนมาแล้ว

เดี๋ยวเราต้องมาทะเลาะกัน

 เดี๋ยวเราต้องมีความเห็นไม่ตรงกัน

 เดี๋ยวเราจะต้องจากกัน

 ถ้าเราเห็นอย่างนี้เราก็ไม่มีดีกว่า

 เวลาอยากหย่ากันนี้เป็นอย่างไร วุ่นวายไหม

มาขึ้นโรงขึ้นศาลมาแบ่งแยกสมบัติอะไรกัน

มาแบ่งแยกลูกแบ่งแยกอะไรมีแต่ความทุกข์

มีแต่ความปวดหัว สู้อยู่คนเดียวดีกว่า

 นี่คือสัมมาทิฏฐิ การเห็นว่าสิ่งต่างๆ

 ที่เราอยากได้อยากมีอยากเป็นนี้มันเป็นทุกข์

มันจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง

 เวลาเราอยากได้นี้เราจะเห็นว่ามันมีแต่ความสุข

มันมีแต่ความสุข อยากจะดูก็คิดว่าได้ดูแล้วมีความสุข

แต่ไม่ไปคิดว่าเวลาไม่ได้ดูแล้วจะทำอย่างไร

 เวลาอยากจะเสพรูปเสียงกลิ่น รสโผฏฐัพพะ

แล้วไม่ได้เสพนี้มันจะรู้สึกอย่างไร

ไม่เชื่อลองไปอยู่วัดดู ลองไปอยู่วัดดู

แล้วเราไม่สามารถที่จะเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสอย่างที่เราเคยเสพ

 ดูซิว่าเราจะอยู่วัดได้สักกี่วันกัน

อยู่ได้ไม่กี่วันก็ขอกลับบ้านแล้ว

เพื่อเราจะได้กลับไปทำอะไรก็กลับไปเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี่เอง

ไม่ได้กลับไปทำอะไรหรอก

 ที่เราต้องอยู่บ้านกัน ที่เราไม่สามารถออกบวชกัน

ก็เพราะว่าเรายังติดอยู่ในรูปเสียงกลิ่นรส

 เรายังมีกามตัณหา ที่เราไม่มีความสามารถ

ที่จะระงับมันได้ หยุดมันได้

 ถ้าเรามีความสามารถนี้เราจะไม่อยากจะอยู่บ้าน

เราอยากจะไปอยู่วัดมากกว่า

 เพราะว่าเวลาไม่มีกามตัณหานี้ ใจจะสงบเย็นสบาย

 แล้วที่ไหนก็ไม่เย็นสบายเท่ากับอยู่ที่วัด

อยู่ที่บ้านมันก็จะมีแต่รูปเสียงกลิ่นรส

มาคอยยั่วยวน กวนใจมาคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา

 สู้ไปอยู่วัดดีกว่าเย็นสบายสงบ

อันนี้ก็เรียกว่าสัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ

เราต้องคิดให้เห็นโทษของสิ่งต่างๆ

ที่เราอยากได้ว่าเป็นทุกข์ ที่มันทุกข์ก็เพราะว่า

มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันไม่เหมือนเดิมตลอดเวลา

เช่นเวลาแต่งงานใหม่นี้มันมีแต่ความสุข

แต่มันไม่เป็นความสุขอย่างนี้ไปตลอด เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป

 การที่เราเคยเอาอกเอาใจกันมันก็เปลี่ยนไป

เวลารักกันนี่ก็ เวลาอยากได้กันก็เอาอกเอาใจกัน

แต่พอได้มาแล้วก็เกิดความเบื่อขึ้นมา

 พอเกิดความเบื่อขึ้นมา

ก็การที่อยากจะเอาอกเอาใจกันมันก็ไม่มี

พอไม่เอาอกเอาใจกันต่างฝ่ายต่างเอาใจของตนเอง

 เดี๋ยวก็ต้องทะเลาะกัน เพราะอีกคนอยากจะทำอย่างนี้

 อีกคนอยากจะทำอย่างนั้น แต่เนื่องจากเป็นของคู่กัน

จะต้องทำอะไรร่วมกัน พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ต้องทำในสิ่งที่ ไม่อยากจะทำก็เกิดความอึดอัดใจ

เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ถ้าต้องฝืนบ่อยๆก็จะทนไม่ไหว

 ในที่สุดก็จะต้องทะเลาะกัน นี่คือความทุกข์ที่จะตามมา

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะเป็นบุคคลจะเป็นสิ่งของ

 จะเป็นอะไรก็ตามมันมีวันที่จะเสื่อมมีวันที่จะหมดไป

เช่นลาภยศ สรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

มันมีเจริญแล้วมันก็ต้องมีเสื่อม

 มันต้องเสื่อม ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

เช่นเงินทองที่เราได้มา มันอาจจะเสื่อม

 เพราะว่าเราใช้เก่ง ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้ไปหมด

พอไม่มีเงินใช้แล้วก็เดือดร้อนไม่มีความสุขแล้ว

ต้องไปหาเงินมาใหม่ ถึงจะมีความสุข

 หรือว่าเราใช้ไม่เก่ง เราเก็บไว้

เราร่ำรวยมีเงินกองเป็นภูเขา

 แต่ถึงเวลาเราตายไป มันก็ต้องจากกันไปอยู่ดี

มันก็ต้องเสื่อมจากกันไป

นี่คือเรื่องของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้ท่านบอกว่า

 มันเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยงแท้แน่นอน

มันไม่คงเส้นคงวาไม่เหมือนเดิมแล้ว

 มันก็มีวันเสื่อม มีวันหมดได้ มีวันสิ้นสุดให้เราพิจารณา

เห็นทุกอย่างในโลกนี้ว่ามันไม่เที่ยง

 แล้วก็มันไม่ใช่เป็นของเรา

 เราสั่งมันไม่ได้ห้ามมันไม่ได้

เวลามันจะไปนี้ เราห้ามมันไม่ได้

 เวลาเราอยากได้สั่งให้มันมามันก็ไม่มา

 อยากได้เงินสั่งให้มันมามันก็ไม่มา

 ให้เราพิจารณาว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุม

บังคับของเราไปได้ตลอดเวลา

 เราอาจจะควบคุมบังคับมันได้บางเวลา

 แต่บางเวลาเราจะไม่สามารถควบคุมบังคับมันได้

เช่นคนที่เรารักกันนี้สักวันหนึ่งเกิดเขาเบื่อเราขึ้นมา

 เขาก็จะทิ้งเราไป เราจะไปสั่งให้เขาไม่ทิ้งเราก็ไม่ได้

 เราจะไปห้ามเขาก็ไม่ได้

ถ้าเขาอยากจะทิ้งเรา เราจะไปทำอะไรได้

 นี่คือเรื่องของอนัตตา ไม่ใช่ของเรา

เราไม่สามารถที่จะไปควบคุมบังคับไปสั่ง

ให้มัน เป็นไปตามความต้องการของเราได้เสมอไป

แม้แต่ร่างกายของเรา เราก็สั่งมันไม่ได้

 สั่งให้มันไม่แก่ก็สั่งไม่ได้

สั่งให้มันไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็สั่งไม่ได้

 สั่งให้มันไม่ตายก็สั่งไม่ได้ ถึงเวลามันจะแก่มันก็แก่

 ถึงเวลามันจะเจ็บขึ้นมามันก็เจ็บขึ้นมา

 ถึงเวลามันจะตาย มันก็ตาย

พอเรามีความอยากไม่ให้มันแก่ไม่อยากให้เจ็บ

ไม่อยากให้มันตาย เราก็จะทุกข์ขึ้นมาทันที

แต่ถ้าเรารู้ไว้ล่วงหน้าก่อนว่า

มันจะต้องแก่ จะต้องเจ็บ  จะต้องตายแล้ว

เราคอยสอนใจว่าอย่าไปห้าม

อย่าไปอยากให้มันไม่แก่ อย่าไปอยากให้มันไม่ตาย

 ถ้าเราสามารถสอนใจแล้วให้มันหยุดความอยากได้

เวลาที่เกิดความแก่ ความเจ็บ ความตายขึ้นมา

เราจะไม่ทุกข์อย่างแน่นอน ถ้าเรายังทำใจไม่ได้

ก็แสดงว่าเรายังไม่มี เครื่องมือที่จะมาทำใจให้เฉยได้

 เราก็ต้องพยายามสร้างเครื่องมือ

ที่จะทำให้ใจของเราให้เฉยขึ้นมา

 เครื่องมือที่จะทำให้ใจของเราเฉยขึ้นมาก็คือ

การเจริญสตินี่เอง เรียกว่า “สัมมาสติ”

ถ้าเรามีสติเราก็จะสามารถทำใจให้เป็นสมาธิได้

ทำใจให้เฉยเป็นอุเบกขาได้

พอเรามีใจที่เฉยใจที่เป็นอุเบกขา

 เราก็จะหยุดความอยากได้

 เวลาร่างกายจะแก่ ร่างกายจะเจ็บ ร่างกายจะตาย

 เราก็เฉยๆ ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

 เพราะ ๑. เราไม่ได้เป็นร่างกาย เราเป็นใจ

 เราเป็นผู้รู้ผู้คิด ผู้รู้ผู้คิดนี้

ไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ตายไปกับร่างกาย

แต่ทุกข์กับร่างกายก็เพราะว่า

อยากให้ร่างกายไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเท่านั้นเอง

พอรู้ว่าเราห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้

 เพราะร่างกายนี้เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่เป็นของเรา

 เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

เป็นทุกข์ถ้าเราไปอยากให้เขาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 ถ้าเราไม่อยากทุกข์ เราก็ต้องทำใจให้เป็นอุเบกขา

 เราต้องหมั่นเจริญสติให้มากๆ ที่เรียกว่า “สัมมาสติ”.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

“สัจธรรมในใจ ๒ คู่”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 31 พฤษภาคม 2559
Last Update : 31 พฤษภาคม 2559 10:26:30 น.
Counter : 624 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ