Group Blog
All Blog
### อวกาศของจิตก็คือความว่าง ###








“อวกาศของจิตก็คือความว่าง”

การเจริญสติด้วยการบริกรรมพุทโธๆ

อันนี้ก็เรียกว่าพุทธานุสสติ จะพุทโธๆไปก็ได้

หรือจะเจริญบทพระพุทธคุณไปก็ได้

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน

ท่องไปภายในใจไม่ต้องส่งเสียงดัง เพราะจะไปรบกวนผู้อื่น

แล้วจะทำให้ผู้อื่นเขาคิดว่าเราแปลก เราเป็นอะไรไปหรือเปล่า

 แต่ให้เราท่องอยู่ไปภายในใจเวลาที่เราอยู่คนเดียว

เวลาที่เราต้องการที่จะควบคุมใจให้สงบ

ถ้าเราสามารถเกาะติดอยู่กับการเจริญบทพุทธคุณได้

 ไม่นานใจก็จะหยุดคิดปรุงเเต่ง แล้วใจก็จะเข้าสู่ความสงบ

 แล้วก็จะมีความสุขจะไม่รู้สึกว้าเหว่เศร้าสร้อย หงอยเหงา

 จะไม่รู้สึกอึดอัดรำคาญใจที่จะต้องอยู่คนเดียว

 จะไม่มีความอยากจะออกไปที่นั่นที่นี่ เพราะใจสงบแล้ว

 แต่ถ้าเราไม่สามารถควบคุมความคิด

ปล่อยให้คิดไปเรื่อยเปื่อย

 พอคิดถึงคนนั้นก็อยากจะไป หาคนนั้น

 พอคิดถึงสิ่งนั้นก็อยากจะไปหาสิ่งนั้น

พอคิดถึงเรื่องนั้นก็อยากจะไปหาเรื่องนั้น

ความคิดจะพาให้เรา เกิดความอยาก

พอเกิดความอยากแล้วก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

ทุกข์ใจเช่นว้าเหว่เศร้าสร้อยหงอยเหงา

 วุ่นวายใจวิตกกังวลอะไรต่างๆเหล่านี้

เป็นผลที่เกิดจากความอยากทั้งนั้น

 เป็นผลที่เกิดจากความคิดปรุงเเต่ง

 วิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ

ดังนั้นเราต้องหัดทำใจให้สงบให้ได้ ด้วยการหัดเจริญสติ

 ที่พูดมานี้เป็นตัวอย่างก็คือพุทธานุสสติ จะใช้พุทโธก็ได้

 บริกรรมพุทโธไปทั้งวันเลย ไม่ว่าทำอะไรก็พุทโธๆไป

ถ้าไม่ต้องใช้ความคิดกับงานที่เราทำเราก็พุทโธไป

 ถ้าต้องใช้ความคิดเราก็หยุดพุทโธไว้ชั่วคราว

 แล้วก็คิดอยู่กับงาน ถ้าเราไม่อยากจะคิดเราก็อย่าไปทำงาน

 ก็จะไม่ต้องคิดเช่นอยู่บ้าน เราก็ไม่ต้องคิดมาก

 เราก็จะได้พุทโธได้มากทำใจให้ว่างได้ง่าย

 แต่ถ้าเราต้องไปทำงาน งานมันจะบังคับให้เราคิด

 พอเราคิดเราก็ไม่ได้พุทโธ พอเราเผลอมันก็จะไปคิด

เรื่องที่ทำให้เกิดความอยาก เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

ดังนั้นถ้าอยากจะควบคุมใจให้สงบได้จริงๆนี้

จำเป็นจะต้องไม่ไปทำงานจะดีกว่า

ไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียวตามสถานที่สงบต่างๆ

 ตามวัดก็ได้ ตามป่าตามเขาก็ได้ ตามที่พักของเราก็ได้

บนคอนโดก็ได้ ในห้องพักก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่เราอยู่คนเดียว

 ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร เราก็คอยควบคุมใจเรา

ไม่ให้ไปคิดปรุงเเต่ง ทำหน้าที่ที่จำเป็นเท่านั้นก็คือ

 ตื่นขึ้นมาก็อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าล้างตา รับประทานอาหาร

 เสร็จแล้วทีนี้ก็ควบคุมความคิดไปทั้งวัน

จะเดินจงกรมไปก็ได้ เดินไปควบคุมความคิดไปพุทโธๆไป

 หรือจะมานั่งสมาธิก็ได้สลับกันไป

 นั่งแล้วเมื่อยก็ลุกขึ้นไปเดิน

 เดินแล้วเมื่อยก็กลับมานั่งใหม่

จนกว่าเราจะต้องทำภารกิจอย่างอื่น

เช่นกวาดบ้านถูบ้าน อาบน้ำอาบท่า อะไรต่างๆก็ทำไป

 ขณะที่ทำก็พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์

 อย่าไปคิดเรื่องราวต่างๆ แล้วความอยากจะไม่เกิด

พอไม่เกิดความอยากแล้ว จะเพลิน

 จะไม่รู้สึกว้าเหว่เศร้าสร้อยหงอยเหงาจะไม่รู้สึกอึดอัด

 เหมือนกับถูกขังอยู่ในคุกแต่อย่างใด

แต่ถ้าไม่พุทโธแล้วไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

แล้วอยากจะออกไป ตอนนั้นจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า

 ถูกขังอยู่ในคุกเลย เราสร้างความรู้สึกขึ้นมาขังตัวเราเอง

 ความจริงเราสามารถปลดตัวเราเองออกจากคุกได้

ทำลายความอยากได้อย่างถาวร

 ความอยากนี้จะไม่ถูกทำลายอย่างถาวร

ถ้าใช้สมาธิเป็นตัวทำลาย จะหยุดชั่วคราว

ในขณะที่อยู่ในสมาธิ แต่พอออกจากสมาธิมา

พอเผลอไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็จะเกิดความอยากตามมาทันที

 ถ้าตอนนั้นมีปัญญา ของพระพุทธเจ้ามาสอน

ก็จะสอนว่าอย่าไปอยากเลย สิ่งที่อยากมันก็ไม่เที่ยง

ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องมาทุกข์อยู่ดี

 ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องสูญเสียมันอยู่ดี

มันไม่ได้เป็นคำตอบ

มันไม่ได้ทำให้เราพบกับความสุขที่แท้จริง

ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การไม่ทำตามความอยาก

 อยู่ที่การหยุดความอยากนี้เอง

 พอเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า มาสอน มันก็ถอน

มันก็หยุดความอยากเลย

เพราะไม่มีใครอยากจะไปหาความทุกข์กัน

ที่ไปทำตามความอยาก เพราะเขาคิดว่า

จะไปได้พบกับความสุข แต่พอรู้ว่ามันไม่ได้เป็นความสุข

 มันเป็นความทุกข์มากกว่า ก็จะไม่กล้าอยาก

 เช่นจะดื่มน้ำถ้ารู้ว่าน้ำนั้น เป็นยาพิษจะมีใครกล้าดื่มไหม

เราไม่รู้ว่ามันเป็นยาพิษ เรามารู้ตอนที่ดื่มเข้าไปแล้ว

มันออกฤทธิ์แล้ว ตอนนั้นมันสายไปเสียแล้ว

เราอยากทำอะไร พอเราไปทำแล้ว เราจึงมารู้ทีหลัง

ว่าทำแล้วก็เท่านั้น แล้วก็เกิดความทุกข์ตามมา

เพราะอยากจะทำอีก พอไม่ได้ทำ ทีนี้ก็หงุดหงิดแล้วซิ

นี่แหละคือการใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า

มาทำลายความทุกข์ทำลายความอยากต่างๆให้หมดไป

 แต่ก่อนจะใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าได้

เราต้องมีสมาธิก่อน เราต้องมีกำลัง

หยุดความอยากไว้ชั่วคราวก่อน

 หยุดความคิดปรุงแต่งไว้ชั่วคราวก่อน

 ถ้าเรามีแล้วทีนี้เราก็จะสามารถ

เอาคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ มาใช้ด้วยการพิจารณา

ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์

เราไม่สามารถควบคุมบังคับสั่งการเขาได้

พอเราเห็นว่าเขาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เราก็จะไม่อยากได้ มีใครอยากจะได้ความทุกข์บ้าง

แต่เรายังหยุดไม่ได้ ยังทำตามไม่ได้

 ก็เพราะว่าเรายังหยุดความอยากไม่ได้

หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ทำใจให้สงบไม่ได้นั่นเอง

การปฏิบัติเบื้องต้นจึงต้องปฏิบัติที่การเจริญสติ

เพื่อมาหยุดความอยาก หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ

 เพื่อทำให้ใจได้สงบตัวชั่วคราว

เพื่อที่เราจะได้มีกำลังเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า

 มาต่อสู้กับความอยากอีกครั้งหนึ่ง

 มาทำลายความอยากอย่างถาวรจริงๆ

 ไม่มีใครจะสามารถรู้ความจริงได้ นอกจากพระพุทธเจ้า

ว่าต้นเหตุของความทุกข์ก็คือความอยากนี่เอง

 ก่อนหน้านั้นทุกคนก็ทำสมาธิได้ ทำใจให้สงบได้

มีความสุขได้ในขณะที่อยู่ในสมาธิ

แต่พอออกจากสมาธิมาแล้วไม่สามารถ ที่จะป้องกัน

ไม่ให้ใจเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ เพราะไม่รู้ว่า

ความทุกข์เกิดจากความอยาก

หรือถ้ารู้ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดความอยากได้อย่างไร

เพราะไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง

 มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่ทรงรู้

ทรงเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แล้วนำเอามาสั่งสอนให้แก่ผู้อื่น

 พอผู้อื่นที่มีสมาธิแล้วรับรู้ปั๊บ เขาก็บรรลุได้

 เขาก็หยุดความอยากได้อย่างถาวร

บรรลุเป็นพระอรหันต์ บรรลุพระนิพพานได้

ในขณะที่ฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นเลย เพราะเขามีสมาธิอยู่แล้ว

เขามีกำลังที่จะหยุด ความอยากอยู่แล้ว

 เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าความอยากนี้เป็นตัวปัญหา

เป็นตัวเชื้อโรคของความทุกข์ใจนี้เอง

เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ พอรู้จากพระพุทธเจ้า

เขาก็หยุดความอยาก พอหยุดความอยากปั๊บ

ความทุกข์ภายในใจก็หายไปหมดเลย

นี่แหละคือเรื่องของการที่เรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

เพื่อที่เราจะได้รับความรู้ที่ถูกต้อง

ทั้งในส่วนของที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

 และในส่วนที่พวกเราจะต้องสร้างกันขึ้นมาให้ได้

ก็คือเราต้องสร้างสติ ขึ้นมาให้ได้ก่อน

 เมื่อมีสติแล้วเราก็จะหยุดการวิพากษ์วิจารณ์

หยุดความอยากได้ ใจก็จะเข้าสู่ความสงบได้

พอใจสงบแล้วก็จะมีกำลังไว้หยุดความอยาก

 เวลาที่เกิดความอยาก พอเราเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า

มาใช้ว่า อย่าไปอยาก อยากแล้วทุกข์

เพราะว่าสิ่งที่อยากได้นั้น มันจะต้องเปลี่ยนไป จะต้องหมดไป

แล้วเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้เวลาเขาหมดไป

 เวลาเขาเปลี่ยนไป เวลาเขาเปลี่ยนไปหมดไป

เราก็จะเสียอกเสียใจทุกข์ใจ

นี่คือเรื่องของสติ สมาธิ และปัญญา

 ที่พวกเรายังไม่ค่อยมีกันมากพอ

 ใจของพวกเราจึงยังไม่สามารถต่อสู้

กับความอยากในรูปแบบต่างๆได้

เราจึงต้องพยายามพากเพียรสร้างสติ สร้างสมาธิ

และสร้างปัญญา ขึ้นมาให้ได้ ด้วยการปลีกวิเวกอยู่คนเดียว

ด้วยการหยุดการหาเงินใช้เงิน หยุดหาความสุขทางโลก

 ทางตาหูจมูกลิ้นกาย หยุดการทำบาปทำกรรม

แล้วก็มาทุ่มเทกับการเจริญสติสมาธิปัญญานี้

รับรองได้ว่าภายในชาตินี้ จะได้เห็นผลอย่างแน่นอน

 เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงรับประกันไว้แล้วว่าไม่เกิน ๗ ปี

ถ้าปฏิบัติเต็มที่ ปฏิบัติแบบมืออาชีพรับรองได้ว่าไม่เกิน ๗ ปี

ถ้าเป็นมือสมัครเล่นนี้ไม่รับรอง เพราะว่ามันไม่พอ

ไม่สามารถไปชิงเหรียญทองได้

ถ้าอยากจะชิงเหรียญทอง เหรียญโอลิมปิกนี้

ต้องลาออกจากงาน แล้วก็ไปฝึกซ้อมกีฬาอย่างเดียว

อย่างนี้รับรองได้ว่าไปแข่งโอลิมปิกได้เหรียญทองได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖

“รู้เฉยๆ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 มิถุนายน 2559
Last Update : 16 มิถุนายน 2559 10:47:46 น.
Counter : 715 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ