Group Blog
All Blog
### ตัวตนเกิดจากอวิชชา ###














“ตัวตนเกิดจากอวิชชา”

ถาม : อารมณ์อย่างเช่นความโกรธ ความกังวล

 ความปีติยินดีและอื่นๆ มีตัวตนขึ้นมาแต่แรกเริ่มได้อย่างไร

พระอาจารย์ : คือตัวตนนี้มันเกิดจากอวิชชา ความหลง

 ที่ไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของจิต ว่าจิตนี้เป็นเพียงธาตุรู้

เป็นเหมือนกับธาตุ ๔ คือดินน้ำลมไฟ

ไม่มีตัวตนอยู่ในดิน ไม่มีตัวตนอยู่ในน้ำ

ไม่มีตัวตนอยู่ในลม ไม่มีตัวตนอยู่ในไฟฉันใด

 ก็ไม่มีตัวตนอยู่ในตัวรู้ ในธาตุรู้ฉันนั้น

 แต่เนื่องจากมีอวิชชาความหลง

 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าหาจุดเริ่มต้นของอวิชชา

 ก็ไม่ทรงสามารถค้นหาเจอได้

ว่าอวิชชานี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

 ความหลงนี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

ดังนั้นเป็นคำถามที่ท่านเรียกว่าอจินไตย

ที่ไม่สามารถที่จะมีคำตอบได้

แล้วก็ไม่มีความสำคัญอะไร ที่จะต้องไปรู้ว่า

 เริ่มต้นที่ไหนเมื่อไหร่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเริ่มต้นที่ไหน

 ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันกำลังทำอะไรกับเราอยู่

มันเป็นคุณหรือมันเป็นโทษกับเรา

ตอนนี้มันเป็นโทษกับเรา

เราต้องหาวิธีที่จะทำลายมันให้ได้

เพื่อมันจะได้ไม่มาสร้างโทษให้กับเราเท่านั้นเอง

 เหมือนกับที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่า

 มีชายคนหนึ่งถูกยิงด้วยลูกธนู แล้วก็มีหมอ

หรือผู้ที่มีความปรารถนาดีจะมารักษาให้

จะมาถอนธนูออกให้แล้วก็จะรักษาแผลให้

แต่ชายคนนั้นบอกว่าเธออย่าพึ่งทำ

 ขอให้เธอไปสอบถามดูก่อนว่า คนที่ยิงธนูนี้เป็นใคร

 เป็นหญิงเป็นชาย มีชาติชั้นวรรณะอย่างไร

มีพี่มีน้องมีพ่อมีแม่ชื่ออะไร มีพี่น้องกี่คน

 เขาบอกว่าถ้าไปหาข้อมูลเหล่านี้

 ไม่รีบถอนดอกธนูที่มันฝังอยู่ในร่างกายคนๆนั้นก็จะตายได้

 พระพุทธเจ้าก็บอกตอนนี้เรามีดอกธนูฝังอยู่ในใจของเรา

 ก็คืออวิชชาความหลง ที่เป็นต้นเหตุ

ที่ทำให้เกิดตัณหาความอยาก

 ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์

 ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด

พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ถอนอวิชชาออกจากใจของเรา

ให้รีบถอนดอกธนูดอกนี้ออกจากใจของเรา

 ไม่ต้องไปสนใจว่า มันเริ่มต้นมาเมื่อไหร่ที่ไหนเวลาใด

ไม่สำคัญอะไร นี่คือคำตอบ

สำหรับผู้ที่ชอบถามปัญหาแบบโลกแตกทั้งหลาย

อจินไตยนี้มีอยู่ ๔ ข้อเท่าที่ได้ศึกษามาถ้าจำไม่ผิด

คนที่อยากจะรู้เรื่องกรรมนี้ก็เป็นเรื่องอจินไตย

 เพราะกรรมนี้มีหลายปัจจัยมีหลายเหตุ

มันผสมกันไปผสมกันมา จนกระทั่งทำให้เราไม่สามารถ

 ที่จะไปแยกแยะได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากอะไร

 อีกเรื่องก็คือเรื่องของสมาธิเรื่องของฌานต่างๆ

ที่ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็จะไม่สามารถเข้าใจได้

แล้วเรื่องความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้า

 ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ว่า

 ท่านมีความรู้ความสามารถขนาดไหน

แล้วเรื่องการเกิดของโลกที่เราอยู่กันนี้จักรวาลนี้

มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

 สมัยนี้ก็มีทฤษฎีต่างๆ มาพยายามหาคำตอบให้กัน

 ซึ่งความรู้เหล่านี้รู้ไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับปัญหาของเรา

 ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้

 เราไม่ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าเก่งกาจขนาดไหน

เราไม่ต้องรู้ว่าฌานขั้นนู้นขั้นนี้เป็นอย่างไร

เราไม่ต้องรู้ว่ากรรมนี้มันเป็นมาอย่างไร

มันทำให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้

ด้วยกรรมอันไหนอย่างไร ไม่ต้องไปรู้มัน

ขอให้เรารู้ว่า ตอนนี้เราทุกข์เพราะอะไร

 แล้วเราหยุดความทุกข์นี้ได้หรือเปล่า

 เราหยุดเหตุที่ทำให้เราทุกข์ได้หรือเปล่า ท่านสอนให้รู้แค่นี้

เพราะถ้าเราไม่ทุกข์แล้วปัญหามันก็จบ

ทุกวันนี้ที่เราวุ่นวายกันก็เป็นเพราะว่า เรามีความทุกข์ใจ

 อยู่ไม่เป็นสุขกัน อยู่เฉยๆไม่ได้

ไม่เชื่อ ลองหาเก้าอี้สักตัวหนึ่ง แล้วนั่งเฉยๆ

 สัก ๖ – ๗ ชั่วโมงดู ไม่ต้องทำอะไร กินข้าวให้อิ่ม

 แล้วก็หาน้ำมาสักขวดตั้งไว้ แล้วก็ลองนั่งเฉยๆ

สบายจะตายไปทำไมไม่นั่งกัน ทำไมต้องไปทำนู้นทำนี่

 ขยับไป อยู่ตรงนี้ก็ขยับไปตรงนู้น อยู่ตรงนู้นก็ขยับมาตรงนี้

 นั่นแหละปัญหาของพวกเราอยู่ตรงนี้ ให้มาแก้ตรงนี้

 ให้มันอยู่เป็นสุขให้ได้ ตอนนี้มันอยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้

 อยู่เฉยๆแล้วมันคัน แล้วมันก็ไปเกาผิดที่

ที่มันคันมันไม่ไปเกากัน พอคันปั๊บก็ไปหยิบเป๊ปซี่มาดื่ม

พอคันปั๊บก็ไปหากาแฟมาดื่ม หาขนมมากิน

ไอ้นี่มันเกาผิดที่ ที่มันคันก็คือความอยาก

มันอยากกินเป๊ปซี่ก็ต้องหยุด หยุดดื่มเป๊ปซี่

ถ้าหยุดแล้วต่อไปมันก็ไม่อยากจะดื่ม

 นี่แหละคือปัญหาของพวกเรา

เราไม่รู้ว่าปัญหาของเราอยู่ที่ตรงไหน

แล้วเวลาเกิดปัญหาก็ไปแก้ปัญหาผิดที่

 แทนที่จะแก้ที่ใจเราก็ไปแก้ที่อื่นแทน

ปัญหามันจึงไม่เคยหมดไปจากใจของพวกเรา

 เราเวียนว่ายตายเกิดกันมากี่ภพกี่ชาติแล้ว

 มันก็เกิดจากความหลงความอยากนี้เอง

ที่เราไม่รู้จักวิธีแก้ เพราะเราไม่มีความสามารถที่จะรู้ได้

 จนกว่าเราจะได้มาพบกับพระพุทธเจ้า

 พบกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น

 ที่เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้ปัญหาของพวกเรา

ว่าเกิดจากความหลง เกิดจากความอยาก

แล้วก็ต้องใช้ปัญญา คือความรู้ความฉลาดนี้มาแก้

ความฉลาดคือให้รู้ว่าปัญหาของเรา ที่อยู่ไม่เป็นสุขกัน

ก็เพราะความอยากนี้เอง

ดังนั้นเราต้องมาทำลายความอยากให้ได้

หยุดความอยากให้ได้

วิธีจะหยุดความอยากก็ต้องนั่งเฉยๆ

อยู่เฉยๆอย่าไปทำอะไร

ให้นั่งสมาธินี้ก็เพื่อให้หยุดความอยาก

 พอจิตสงบแล้วความอยากมันก็สงบตัวลงไป

เพียงแต่ว่าการหยุดเฉยๆนี้

 มันไม่ทำให้ความอยากมันตาย อย่างถาวร

ความอยาก พอออกจากสมาธิมา

ความอยากมันก็จะโผล่ขึ้นมาอีก

ถ้าอยากจะทำลายความอยาก ก็ต้องมาทำลายต้นเหตุ

 หรือรากเหง้าของความอยาก

 รากเหง้าของความอยากก็คือความหลง

 ความหลงที่คิดว่าทำตามความอยากแล้วจะมีความสุข

แต่ความจริงแล้วทำตามความอยากมันเป็นความทุกข์

เพราะมันจะทำให้ต้องอยากไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเอง

วิธีแก้ก็คือต้องไม่ทำตามความอยาก

นี่แหละคือวิธีแก้ความอยากอย่างถาวร

ถ้าเป็นต้นไม้ก็ต้องถอนราก ถอนโคนเท่านั้น

 ต้นไม้นั้นถึงจะไม่ออกกิ่งออกก้านออกมา

ต่อไป ถ้าเราตัดกิ่งตัดก้านตัดต้น

 แต่ไม่ถอนมันออกจากดินรากยังมีอยู่

เดี๋ยวมันก็โผล่กิ่งก้านสาขาออกมาใหม่ได้

สมาธิก็เป็นแบบนั้น

ก็เหมือนการตัดกิ่งตัดก้านของตัณหาความอยาก

 แต่พอสักระยะหนึ่งมันก็จะโผล่ขึ้นมาใหม่

 ถ้าอยากจะทำลายความอยากให้หมดไป

ก็ต้องถอนรากถอนโคนของมัน

รากโคนของมันก็คือความหลง

ความหลงที่ไม่รู้ว่าวิธีจะแก้ความอยาก

 ก็คือต้องไม่ทำตามความอยากเท่านั้น

 และวิธีที่จะแก้ความอยากนี้ได้ ก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ

 เครื่องไม้เครื่องมือก็ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้มา

ก็คือใช้สติใช้สมาธิแล้วใช้เหตุใช้ผล ใช้วิปัสสนา

 ก็คือให้เห็นว่าของในโลกนี้

ไม่สามารถที่จะมาทำลายความอยากได้

ไม่สามารถที่จะให้ใจของเรามีความสุขได้อย่างถาวร

 เราต้องหยุดแสวงหา หยุดอยากได้สิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้

 ต้องอยู่แบบไม่มีอะไรให้ได้ ไม่ต้องมีอะไร

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ต้องมี ถ้าถึงเวลาที่มันจะต้องหมดไป

ก็ปล่อยมันหมดไป ไม่ต้องไปรักษามันไม่ต้องไปยื้อมันไว้

ไม่ต้องไปเสียดายไม่ต้องไปหวง

 เพราะการหวง ความเสียดายนี้มันก็เป็นความอยาก

อยากให้อยู่ต่อไป พอไม่ได้อันนี้พอร่างนี้ไม่อยู่ต่อไป

ก็ไปหาร่างใหม่อีก เพราะยังมีความอยากได้ร่างกายอีก

นี่คือวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

แล้วได้นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้กับพวกเรา

ที่รวมอยู่ในพระอริยสัจ ๔ นี้ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค

เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

 แต่เป็นความจริงของสัตว์โลก สัตว์โลกทุกตัวนี้มีอริยสัจ ๔

 อยู่ในใจกันทุกตัวทุกคน แต่สัตว์โลกมองไม่เห็นอริยสัจ ๔

เวลาเกิดความทุกข์ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากความอยาก

 ก็ไปแก้ความทุกข์ด้วยการทำตามความอยาก

แทนที่จะไม่ทำตามความอยาก

หลงความอยาก หยุดความอยาก

ก็ไปต่ออายุของความอยาก เพิ่มความอยากให้มากขึ้น

 ด้วยการทำตามความอยาก

 นี่แหละคือเรื่องที่พวกเราต้องมาศึกษาและมาแก้กันให้ได้

มาเกาให้ถูกที่ เวลาไม่สบายใจอย่าไปดื่มกาแฟ

อย่าไปช้อปปิ้ง อย่าไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

คือให้มานั่งวิปัสสนา มาทำใจให้เป็นอุเบกขา

แล้วก็มาหยุดตัณหาความอยาก

ต่อสู้กับความอยากทุกรูปแบบ

จะกินจะดื่ม ถ้าจะต้องกินต้องดื่ม

ต้องเป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ

 เหมือนกับการกินยาดื่มยา เพื่อรักษาร่างกายไว้เท่านั้นเอง

 แต่จะไม่กินไม่ดื่มด้วยความอยาก

เวลาอยากจะดื่มก็ไม่ดื่ม ถ้าจะดื่มเพื่อร่างกายก็ดื่มน้ำเปล่า

 ไม่ดื่มกาแฟไม่ดื่มเป๊ปซี่ อันนี้เป็นการดื่มเพื่อความอยาก

 ถ้าเราทำอย่างนี้ได้แล้ว

ต่อไปความอยาก ก็จะหมดไปจากใจของเรา

 ความทุกข์ต่างๆความไม่สบายใจ

 ความอยู่ไม่เป็นสุขก็จะหายไป ทีนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้

 อยู่แล้วก็ไม่ต้องไปไหนก็ได้

ถ้าจะไปก็ต้องมีเหตุผลเท่านั้นถึงจะไป

 แต่จะไม่ไปเพราะความอยากไป

 เหมือนอย่างที่พวกเราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้

อยู่ตรงนี้ก็อยากจะไปตรงนู้น

 พอไปตรงนู้นก็อยากจะกลับมาตรงนี้

 มันก็กลิ้งไปกลิ้งมา เหมือนลูกฟุตบอล

เหมือนลูกปิงปองนี่เอง

นี่แหละคือเรื่องของพวกเรา ที่เราควรจะให้ความสนใจกัน

 อย่าไปสนใจเรื่องของอจินไตยทั้งหลาย

 เช่นว่าจิตนี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ อวิชชานี้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

โลกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่

 กรรมนี้เป็นอย่างไรถึงทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา

เกิดจากกรรมอะไรบ้างมีอะไรบ้าง ไม่ต้องไปรู้มัน

ไม่มีความสำคัญอะไร ความสำคัญอยู่ที่

ความทุกข์ใจของเราที่เกิดจากความอยากของเรา

 เราต้องเจริญมรรค แล้วเราจะได้มีเครื่องไม้เครื่องมือ

ที่เราจะได้มาดับความทุกข์

ด้วยการละความอยากต่างๆ เท่านั้นเอง

ง่ายจะตายไป เรื่องของปัญหามันง่าย

 ปัญหามันมีแค่ ๓ ตัวเท่านั้นเอง

กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา หยุด ๓ ตัวนี้ได้

ปัญหาทั้งหลายในโลกนี้ก็จะหมดไป

โลกจะอยู่กันอย่างสันติสุข ที่ทุกวันนี้อยู่กันแบบไม่สงบสุข

ก็เพราะความอยากเท่านั้น

 ไปดูแต่ละประเทศ ก็อยากจะแยกประเทศกัน

 อยู่ประเทศนี้ก็อยากจะแยกไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง

 มันก็เป็นความอยาก คิดว่าแยกไปแล้วจะดี

มันก็เหมือนเดิมนะแหละ มันก็ต้องจ่ายภาษีต้องทำงาน

ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเหมือนเดิมอยู่ดี

 มันไม่ได้ไปแยกแล้วจะได้อยู่ฟรีกินฟรีที่ไหนกัน

 เปลี่ยนผู้นำใหม่มันก็เหมือนกันอีกแหละ

 เปลี่ยนคนนั้นมามันก็เหมือนกันนะ

คนนี้กินมากหน่อยคนนั้นกินน้อยหน่อย

มันก็กินเหมือนกัน เราก็ต้องจ่ายภาษีเหมือนเดิม

 ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเหมือนเดิม

 น้ำมันก็แพงขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนเดิม

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ฉะนั้นเราอย่าไปวุ่นวายกับเรื่องราวเหล่านี้

เราแก้ปัญหาที่ใจเรา อย่าไปอยากกับเหตุการณ์ต่างๆ

อยู่กับมันไปตามมีตามเกิด

ในที่สุดก็ต้องตายจากกันไปหมด

ไม่มีใครเอาอะไรไปได้สักคน

 เอาไปได้ก็คือความหลงความอยากความทุกข์ต่างๆเท่านั้น

 เพราะไม่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

คือมาดับความทุกข์ดับความอยากดับความหลงกัน

 นี่แหละก็มีเท่านี้แหละ ขอให้พวกเราอย่าหลงประเด็น

 ประเด็นของพวกเราอยู่ที่ตัณหา

ความอยากของพวกเรา

อยู่ที่ความหลงของพวกเราเท่านั้นเอง

ของต่างๆในโลกนี้ มันไม่มีสาระประโยชน์อะไร

กับจิตใจเราหรอก ต่อให้เรากอบโกยได้มามากน้อยเพียงไร

 มันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเราหายคันหรอก

มันก็ยังคันเหมือนเดิม มันก็ยังอยากเหมือนเดิมอยู่

 มีธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้ใจเราหายอยาก หายคันได้

ก็คือธรรมะปฏิบัติที่ท่านสอนให้พวกเราปฏิบัติกัน

เริ่มต้นที่ทาน ที่ศีล และก็ที่ภาวนานี้เอง

ฉะนั้นขอให้เราถามปัญหาตรงนี้ดีกว่า

ตอนนี้เรามีทานหรือเปล่า เรามีศีลหรือเปล่า

 เรามีภาวนาหรือเปล่า ถ้ามี มีมากหรือมีน้อย

 ถ้ามียังไม่มากพอก็ มีให้มันมีมากขึ้น

มีให้มันครบตามที่ต้องการ

เพื่อที่จะได้เอามาดับความอยาก

 ดับความทุกข์ต่างๆให้มันหมดไปจากใจของเรา

 นี่คือปัญหาที่เราควรจะถาม

 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงให้เราถามอยู่เรื่อยๆว่า

วันเวลาผ่านไป ผ่านไป เรากำลังทำอะไรกันอยู่

เรากำลังทำทานกันหรือเปล่า กำลังรักษาศีลกันหรือเปล่า

 กำลังภาวนากันหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เราควรจะสนใจ

 อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่น

 เพราะว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับจิตใจของเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

กัณฑ์ที่ ๔๗๖ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗

“ปัญญา ๓ ขั้น”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 มีนาคม 2559
Last Update : 13 มีนาคม 2559 10:14:50 น.
Counter : 756 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ