Group Blog
All Blog
### ปฎิบัติธรรมเพื่อซักฟอกจิตใจ ###










"ปฏิบัติธรรมเพื่อซักฟอกจิตใจ”

ที่พวกเรามาศึกษากันมาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

มาปฏิบัติธรรมกันนี้ก็เพื่อที่จะ

มาซักฟอกจิตใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์

 เพราะเมื่อจิตใจสะอาดบริสุทธิ์แล้ว

 จิตใจก็จะเป็นนิพพาน จะบรรลุถึงนิพพาน

 จิตใจจะเป็นจิต ที่สะอาดบริสุทธิ์

 เมื่อจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ก็จะไม่มีตัวที่จะดึงจิตใจ

ให้ไปเวียนว่ายตายเกิด

ตัวที่ดึงจิตใจให้ไป เวียนว่ายตายเกิดก็คือ

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา

นี่คือตัวที่จะฉุดลากให้จิตใจ ไปเกิดใหม่

 หลังจากที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

แต่ถ้าจิตได้รับการชำระได้รับการ กำจัดโลภะ โทสะ โมหะ

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อวิชชา

จะให้หมดไปจากจิตจากใจแล้ว จิตใจก็ไม่ไปเกิด

เพราะไม่มีเชื้อพาไป เหมือนกับรถยนต์ที่น้ำมันหมดแล้ว

ก็จะไม่สามารถวิ่งไปไหนมาไหนได้อีกต่อไป

 ถ้าไม่อยากให้รถวิ่งนี้ก็ลอง ถ่ายน้ำมันออกให้หมด

 ถ่ายน้ำมันที่มีอยู่ในถังออกไปให้หมด

 ไม่ว่าใครจะมาขับก็จะไม่สามารถขับรถยนต์คันนี้

ให้ไปไหนมาไหนได้ เพราะไม่มีน้ำมัน ฉันใด

จิตใจถ้าไม่มีน้ำมันของภพชาติคือกิเลสตัณหา

 ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส

 ความอยากมีอยากเป็น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น

 จิตใจก็จะสะอาดบริสุทธิ์

จิตใจก็จะไม่ไปเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป

จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เราเรียกว่า “นิพพาน”

จึงเป็นที่มาของคำว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง”

“นิพพานัง ปรมัง สุญญัง”

จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จะมีความสุขตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง

ไม่มีเวลาใดเลยที่จะมีความทุกข์

จิตที่มีความสุขตลอดเวลา เพราะว่าจิตไม่มีอะไรภายในใจ

ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างจากลาภยศ สรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสคือไม่มีอุปาทาน

ไม่มีตัณหาความอยากที่จะไปเสพลาภยศ สรรเสริญ

ไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ไปเสพรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

ไปเสพธรรมารมณ์ต่างๆ

นี่คือความว่างของจิตว่างจากสิ่งเหล่านี้

เวลาถ้าได้สัมผัสรับรู้เพราะว่ายังมีร่างกาย ยังมีขันธ์อยู่

 ยังมีรูปเวทนา สัญญาสังขารอยู่

ก็จะเป็นการสัมผัสเฉยๆ รับรู้เฉยๆ

เหมือนกับหยดน้ำบนใบบัว น้ำกับใบบัวนี้จะสัมผัสกัน

 น้ำมันจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนใบบัว

 มันจะไม่ถูกใบบัวนี้ดูดซึมเข้าไป

 เพราะใบบัวนี้ไม่มีตัวที่จะฉุดที่จะดูดนั่นเอง

จิตใจของจิตที่ได้ถึงพระนิพพานแล้วก็เป็นอย่างนั้น

 ไม่มีตัวดูดสิ่งต่างๆ ให้เข้ามาอยู่ในใจ

ตัวดูดก็คือกิเลส ตัณหานี่เอง

ความโลภ ความอยากได้อะไรต่างๆ

อันนี้จะเป็นตัวที่จะทำให้จิตไม่ว่างจากลาภยศ สรรเสริญ

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ตื่นขึ้นมานี้ก็จะดูด ตื่นขึ้นมาก็จะคิดถึงลาภยศ สรรเสริญ

 วันนี้จะไปหาเงินที่ไหน วันนี้จะไปเอาตำแหน่งที่ไหน

 วันนี้จะไปรับการสรรเสริญเยินยอจากที่ไหน

วันนี้จะเสพรูปเสียงกลิ่นรส แบบไหนจากที่ไหนดี

วันนี้จะเสพรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

 วันนี้จะเสพธรรมารมณ์ต่างๆ

จิตมันจะไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

ด้วยอำนาจของโมหะ อวิชชาที่จะทำให้เกิดความโลภ

 ความอยากได้ต่างๆปรากฏขึ้นมา

ตัวนี้แหละที่เป็นตัวที่ทำให้จิตไม่ว่าง

ตื่นขึ้นมานี้จิตก็จะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ คิดหาโน่นหานี่

เพราะจิตไม่มีความสุขภายในตัวเอง

 จิตไม่มีความอิ่มในตัวเองก็เลยต้องไปหาความสุข

 จากสิ่งต่างๆ เช่นลาภยศ สรรเสริญ

เช่นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

นี่คือเรื่องของจิตที่มีอยู่ ๒ ประเภท

จิตของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์นี้เป็นจิตประเภทหนึ่ง

 จิตของผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุถึงพระนิพพาน ก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง

 ถึงแม้ว่าจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นอื่น

ก็ยังมีกิเลสมีตัณหาอยู่ พระโสดาบันก็ยังมีกิเลสตัณหาอยู่

พระสกิทาคามี พระอนาคามีก็ยังมีกิเลสตัณหาอยู่

 แต่มีปริมาณนี้จำนวนน้อยตามลำดับของธรรมที่ได้ปฏิบัติ

 เช่นพระโสดาบันนี้จะมีกิเลสน้อยกว่าปุถุชนธรรมดา

แล้วก็พระสกิทาคามีก็จะมีกิเลสน้อยกว่าพระโสดาบัน

พระอนาคาก็จะมีกิเลสน้อยกว่าพระสกิทาคามี

และพระอรหันต์ก็จะไม่มีกิเลสเลย อันนี้เป็นขั้นสูงสุด

การปฏิบัตินี้ก็ต้องปฏิบัติให้ไปถึงขั้นสูงสุด

 เหมือนกับการซักเสื้อผ้าเราก็ต้องซักให้มันสะอาดบริสุทธิ์

การที่ได้เข้าสู่ขั้นของพระอริยเจ้าแล้วนี้

มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ

คือการชำระกิเลสตัณหานี้

มันจะทำไปต่อ อย่างต่อเนื่องจะไม่หยุดไม่หย่อน

 ตราบใดที่ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ภายในใจอยู่

ถ้าได้เป็นถึงพระอริยะ

คือตั้งแต่ ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปแล้ว

จิตนี้จะมีแต่การชำระไปเรื่อยๆ

ท่านถึงได้พยากรณ์หรือกำหนดไว้ว่า

 ผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วนี้

จะบรรลุถึงพระนิพพานภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก

 เพราะว่าการชำระของแต่ละคนนี้

มีความสามารถแตกต่างกัน

 บางคนมีความรู้ความสามารถมีสติมีปัญญามาก

 มีกิเลสน้อย การที่จะชำระให้เสร็จได้อย่างง่ายดาย

และรวดเร็วก็จะมีมากกว่าคนที่มีสติปัญญาทึบมีกิเลสหนา

 แต่ไม่ว่าจะมีปัญญาฉลาดหรือไม่ฉลาด

มีกิเลสหนาหรือไม่หนา

 ถ้าลองได้เข้าสู่ขั้นพระโสดาบันแล้วนี้

 จะได้บรรลุถึงพระนิพพานกันอย่างแน่นอนทุกๆคน

เพียงแต่ว่าจะช้าหรือจะเร็วเท่านั้น

 บางคนก็สามารถทำให้บรรลุได้ภายในชาติเดียว

 เช่นพอได้บรรลุพระโสดาบันก็ปฏิบัติต่อไป

พอปฏิบัติต่อไปก็ได้ขึ้นไปสู่ขั้นสกิทาคามี

พอปฏิบัติต่อไปอีกก็จะถึงขั้นพระอนาคามี

แล้วพอปฏิบัติต่อไปอีก ก็จะถึงขั้นพระอรหันต์ตามลำดับ

 อยู่ที่การปฏิบัติเป็นหลัก อยู่ที่ความเพียรเป็นหลัก

 บางคนได้ขั้นโสดาบันแล้ว ก็พอใจก็ไม่ขวนขวาย

ก็ติดอยู่กับขั้นโสดาบันไปก่อน จนกว่าจะมีตัวมากระตุ้น

ก็คือความทุกข์ใจ เช่นความสูญเสีย บุคคลที่ตนรักไป

ก็จะทำให้กระตุ้นหาวิธีที่จะไม่ให้ไปติดกับคนที่รัก

ก็จะต้องมีการเจริญธรรมที่เรียกว่าอสุภะ

 เวลาเห็นคนที่รักที่ชอบก็ต้องดูความไม่สวยไม่งาม

ของร่างกายของเขา พอเห็นว่าร่างกายของเขานี้

ไม่สวยไม่งาม ไม่น่ารัก ก็จะถอนความรักในบุคคลนั้นได้

ก็จะไม่ติดอยู่กับการเสพกาม

ก็จะเลื่อนขึ้นจากขั้นโสดาบันขึ้นไป สู่ขั้นอนาคามี

พอไปถึงขั้นอนาคามีก็ไปติดอยู่กับความสุขทางธรรมารมณ์

 อารมณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

ว่าธรรมารมณ์ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ถาวร

มีเจริญแล้วก็มีเสื่อมไป เหมือนกับร่างกาย

พอพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นอนิจจัง เห็นว่าเป็นทุกข์

 ถ้าไปยึดไปชอบไปอยากเสพอยากสัมผัส ก็จะปล่อยวาง

พอปล่อยวางธรรมารมณ์ต่างๆได้ จิตก็จะหลุดพ้น

จากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

ขั้นโสดาบันนี้ ท่านก็ไม่ยึดไม่ติดกับลาภยศ สรรเสริญ

กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ท่านก็ยังไม่ยึดติดกับร่างกาย รูป เวทนา สัญญา

 สัญญา สังขาร วิญญาณ

แต่ท่านยังหลงยังยึดติดอยู่กับกามารมณ์ กามราคะ

 ยังมีความใคร่ความยินดี กับการเสพกามารมณ์อยู่

แล้วพอได้พิจารณาอสุภะก็จะทำให้

ความอยากจะเสพกามารมณ์นั้นหมดไป

ก็เลยไปเสพธรรมารมณ์แทน

พอไม่มีกามารมณ์ก็เลยไปเสพธรรมารมณ์

ธรรมารมณ์ก็คือความสงบต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

 ความสุขที่เกิดจากความสงบ

ในระดับของฌานต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

ก็ต้องพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง

 มันไม่ใช่สิ่งที่เราไปควบคุมบังคับได้

เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา เป็นทุกข์

เพราะว่าไปอยากให้มันเที่ยง ไปอยากให้มันอยู่ไปตลอด

 พอพิจารณาเห็นด้วยปัญญาก็จะปล่อยวางได้

ปล่อยวางไม่เสพธรรมารมณ์ต่างๆ

ไม่เสพธรรมารมณ์จิตก็หลุดพ้น

จิตก็สะอาดบริสุทธิ์เต็มร้อย เป็นพระนิพพานขึ้นมา

นี่คือเรื่องของจิตที่นิพพาน ไม่ได้สูญหายไปไหน

จิตของพระพุทธเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชาที่เรารำลึกถึง

ในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมานี้ จิตของพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่

 เพียงแต่ว่าท่านไม่มีร่างกายที่จะมาติดต่อ

กับพวกเราเท่านั้นเอง เพราะท่านเห็นว่าการมีร่างกายนี้

เป็นการสร้างความทุกข์ เป็นกองทุกข์ไม่ใช่เป็นกองสุข

การไม่มีอะไรต่างหากที่เรียกว่าเป็นความสุข

ใจต้องไม่มีอะไรกับอะไร ไม่มีอะไรกับลาภยศ สรรเสริญ

 ไม่มีอะไรกับรูปเสียงกลิ่นรส ไม่มีอะไรกับขันธ์ ๕

 คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

ไม่มีอะไรกับธรรมารมณ์ อารมณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจ

 ไม่ยึดไม่ติดไม่เสพไม่ยินดีไม่สนใจ

นี่คือจิตที่ได้หลุดพ้นแล้วพลุดพ้น

 จากอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง

หลุดพ้นจากอำนาจของกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

 หลุดพ้นด้วยอะไร ก็หลุดพ้นด้วยทาน ศีล ภาวนานี่เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙

“คุณลักษณะของจิตในพระนิพพาน”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 มิถุนายน 2559
Last Update : 4 มิถุนายน 2559 12:28:43 น.
Counter : 795 Pageviews.

2 comments
  
ธรรมะสวัสดีค่ะ..

เป็นข้อคิดที่ดีมากๆนะคะ..

โหวตให้เลยค่ะ..


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
newyorknurse Home & Garden Blog ดู Blog
ข้ามขอบฟ้า Home & Garden Blog ดู Blog
คนร่วมชายคา Home & Garden Blog ดู Blog
อุ้มสี Fanclub Blog ดู Blog
Wonderful time wonderful life Literature Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
เริงฤดีนะ Sports Blog ดู Blog
kwan_3023 Literature Blog ดู Blog
raknakubkondee Literature Blog ดู Blog
tangkay Dharma Blog ดู Blog
ระบบจ
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 4 มิถุนายน 2559 เวลา:13:56:15 น.
  


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Fanclub Blog ดู Blog
เรียวรุ้ง Literature Blog ดู Blog

tangkay Dharma Blog ดู Blog
โดย: newyorknurse วันที่: 8 มิถุนายน 2559 เวลา:3:48:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ