Group Blog
All Blog
### ขอให้ใช้ อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง ###

















“ขอให้ใช้อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง”

ส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามซ้ำๆซากๆ

แต่ก็เนื่องจากคนที่มาได้ยินได้ฟังอาจจะเพิ่งมาใหม่

เลยไม่เคยได้ยินได้ฟังคำถาม ที่เคยถามมาแล้ว

 บางครั้งก็ตอบอย่างละเอียด

บางครั้งก็ขี้เกียจตอบก็ตอบแบบที่ตอบไป

ก็เห็นใจคนตอบบ้างว่ามันตอบเรื่องเก่าเรื่องเดียว

 พูดอยู่เรื่อยๆ ก็เลยให้ไปค้นคว้าเอาเองบ้าง

บางอย่างก็ค้นคว้าเองได้ หัดเป็นอัตตาหิ อัตโน นาโถบ้าง

 ถ้าค้นคว้าหาไม่ได้แล้วค่อยมาถามอย่างนี้ก็จะน่าเห็นใจ

สิ่งที่ค้นคว้าได้จากหนังสือก็ดี

จากในการค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ดี

เดี๋ยวนี้เรามีห้องสมุดที่อยู่ใกล้มือเรา

 เพียงแต่ใส่คำที่เราต้องการรู้คำตอบเข้าไป

 คำตอบมันก็โผล่ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด

ดังนั้นก็ขอให้ใช้อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง

เพราะว่า ถ้าเราเพิ่งตนเองได้แล้ว

เราก็สบายกว่าที่เราจะต้องไปพึ่งผู้อื่น

เพราะการพึ่งผู้อื่นนี้ ก็ไม่แน่นอน

ผู้อื่นเขาจะให้เราพึ่งได้ไปถึงที่ไหน

เขาอาจจะตายจากเราไปก็ได้ ก่อนที่เราจะบรรลุ

 ดังนั้นพยายามพึ่งตนเอง เดี๋ยวนี้หนังสือธรรมะก็มีเยอะ

 ซีดีธรรมะก็มีเยอะ มือถือของเรานี้ก็สามารถฟังธรรมะได้

ทุกแห่งทุกหนทุกเวลา

ขอให้เราใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดคุณเกิดประโยชน์จะดีกว่า

ดีกว่าที่จะมัวแต่มาคอยพึ่งคนนั้นคอยพึ่งคนนี้

แล้วถ้าเราไม่พึ่งเรา เราก็จะกลายเป็นคนพิการไป

เหมือนเรามีมือมีเท้าแต่เราไม่ชอบใช้มือชอบใช้เท้า

 ชอบใช้คนอื่น ชอบใช้มือของคนอื่นชอบใช้เท้าของคนอื่น

 พอถึงเวลาที่เราจะต้องใช้มือใช้เท้าของเรา

 เราก็จะใช้ไม่เป็น ดังนั้นขอให้เราพยายามหัดพึ่งตนเอง

ทั้งทางกายและทางใจ หัดคิดด้วยปัญญาบ้าง

 ปัญญานี้มันจะเกิดการที่เราคิดบ่อยๆ

คิดในเรื่องของธรรมะบ่อยๆ

เช่นธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังในวันนี้

เรานำเอาไปพิจารณาต่อ

เพราะว่าปัญญานี้มันมี ๓ ระดับด้วยกัน

 ระดับแรกที่เราได้รับไปก็คือสุตมยปัญญา

 เราได้ยินได้ฟังธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

 พอเราได้ยินได้ฟังธรรมนี้แล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อไป

ก็คือรักษาธรรมนี้ไม่ให้มันหายไปจากใจ

วิธีที่จะทำให้มันไม่หายไปจากใจ เราก็ต้องหมั่นคิดอยู่เรื่อยๆ

ทบทวนว่าวันนี้เราฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ฟังเรื่องอะไรบ้าง

 แล้วก็พยายามทบทวนพิจารณาอยู่เนืองๆ

นี้เรียกว่า จินตามยปัญญา คือการคิดถึงธรรมต่างๆ

เพื่อไม่ให้มันหลงไม่ให้มันลืมให้มันอยู่ใกล้ตัวเรา

 เพราะว่าเราต้องใช้ธรรมคือปัญญานี้ฆ่ากิเลส

 เวลาที่เราเกิดความทุกข์ใจ เหมือนกับยา

 ถ้าเรามีไว้ใกล้ตัว เวลาไม่สบายนี้เราก็หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที

แต่ถ้าเราได้รับยามาจากหมอแล้วก็ไปวางไว้ที่ไหนก็จำไม่ได้

เวลาไม่สบาย วิ่งหายาป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าไปวางไว้ที่ไหน

ปัญญานี้ก็เป็นยา เป็นธรรมโอสถที่จะรักษาความทุกข์ใจ

 เบื้องต้นก็ไปรับยาจากหมอ

จากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่า สุตมยปัญญา

 ปัญญาที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง

 ได้รับยาจากหมอแล้วขั้นต่อไปก็ต้องรักษายานี้ไว้

 ให้อยู่ใกล้ตัว เวลาเกิดอาการขึ้นมา

ก็จะได้หยิบยารับประทานได้ทันที

 ขั้นที่ ๒ ก็คือให้รักษายา คือให้หมั่นพิจารณาธรรม

ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อยๆ

เช่นวันนี้สอนเรื่องพิจารณาร่างกาย

ว่าเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอาการ ๓๒ ไม่ใช่ตัวเราของเรา

 เวลาร่างกายเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไป

ต่อไปเวลาไปเจอคนตายจะได้ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้

 จะได้รู้ว่าพ่อไม่ได้ตาย แม่ไม่ได้ตาย พี่ไม่ได้ตาย

 น้องไม่ได้ตาย ไม่มีใครตาย

สิ่งที่ตายมันเป็นเพียงอาการ ๓๒ คือผม ขน เล็บ ฟัน

หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ต้องหมั่นคิดอย่างนี้เรื่อยๆ

 รับรองได้ว่าเวลาไปเจอคนตายนี้จะไม่ร้องห่มร้องไห้

จะไม่ตกใจจะไม่หวั่นไหว จะไม่เดือดร้อน

อันนี้คือปัญญาขั้นที่ ๓ เวลาที่ไปเจอโรค เจอความทุกข์

เจอเหตุการณ์ แล้วถ้าเรามีปัญญา

ที่เราได้รับมาจากพระพุทธเจ้าอยู่คู่กับใจของเรา

พออะไรตายปั๊บก็จะรู้ทันที่ว่า “ไม่มีใครตาย”

มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ มีแต่อาการ ๓๒ พิจารณาอย่างนี้

พอเวลาไปเจอความตายนี้จะไม่มีความทุกข์ใจเลย

ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคมะเร็งเหลืออีก ๓ เดือน

 ไม่เป็นไรเราไม่ได้ตาย สิ่งที่มันตายก็คือ

 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก

ถ้าเป็นมะเร็งที่กระดูกก็กระดูกตาย มะเร็งในตับก็ตับตาย

 ไม่มีเรา เราไม่ตาย ตับตาย มะเร็งในตับ

มะเร็งในปอด หัวใจวาย หัวใจตายไม่ใช่เราตาย

 ให้คิดอย่างนี้แล้วเราจะได้ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน

 เราจะเผชิญกับความตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

 นี่เรียกว่า ภาวนมยปัญญาขั้นที่ ๓

พอเกิดเหตุการณ์แล้วเราสามารถเอาปัญญาความรู้

ที่เราได้รักษานี้มาใช้ดับความทุกข์ใจ

ถ้าดับได้ก็เป็นภาวนามยปัญญา

ถ้ายังดับไม่ได้ก็แสดงว่ายังขาดภาวนา

 คือใจยังไม่มีสมาธิไม่มีความสงบพอ

ได้ยินได้ฟังธรรมนี้แล้ว ถ้าเอาไปใช้ดับความทุกข์ไม่ได้

แสดงว่าเราขาดภาวนา ขาดสมถภาวนา

 เราก็ต้องไปบำเพ็ญสมถภาวนากัน

ทำใจให้รวมไปถึงฐานให้เป็นสมาธิ

 ให้เป็นสักแต่ว่ารู้ อุเบกขา

ถ้ามีอย่างนี้แล้วพอไปเจอความตายนี้มันจะสักแต่ว่ารู้

 มันจะเฉยได้ แต่ถ้ายังไม่สักแต่ว่ารู้ก็แสดงว่าไม่มีสมาธิ

 ยังไม่มีสมถภาวนา ปัญญายังเป็นแค่จินตามยปัญญา

 เป็นความจำ เป็นความคิดอยู่

ยังไม่สามารถที่จะเอามาดับความทุกข์

ที่เกิดขึ้นภายในใจได้

ถ้าเราเอาปัญญาที่เป็นความคิดนี้

มาหยุดความทุกข์ได้ก็แสดงว่าเป็นภาวนามยปัญญา

นี่คือปัญญาขั้นสุดท้าย ปัญญาที่เป็นปัญญาที่แท้จริง

 ก็คือภาวนามยปัญญา

เพราะเป็นปัญญาที่จะทำให้หลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งปวงได้

สุตมยปัญญา จินตามยปัญญานี้ เป็นเหมือนกับ

เป็นผู้ที่จะส่งให้เราเข้าสู่ ภาวนามยปัญญา

 ถ้าเราไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเราก็จะไม่รู้ว่า

ร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เราจะไม่รู้ว่า

มันเป็นเพียงอาการ ๓๒ พอร่างกายตาย ไม่ว่าจะเป็นของใคร

 เราก็จะคิดว่าพ่อตายแม่ตายพี่ตายน้องตาย

เราก็จะร้องห่มรองไห้ เศร้าโศกเสียใจกันไป

 นี่แสดงว่าเราไม่มีสุตมยปัญญา ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม

 พอฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เเต่ไม่เอาไปพิจารณาต่อ

ก็เป็นเหมือนกัน พอเจอคนตายก็ลืมไปว่าไม่มีใครตาย

 มีแต่อาการ ๓๒ ตายก็ร้องห่มร้องไห้อีกเหมือนกัน

หรือว่าจำได้แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ยังร้องอยู่ดี

 ก็ยังขาดภาวนา ต้องไปนั่งสมาธิทำใจให้สงบ

ต้องไปปลีกวิเวก ไปเจริญสติอย่างต่อเนื่อง

 เพื่อทำให้จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ มีอุเบกขา

 มีแต่สักแต่ว่ารู้ เพราะถ้ามีอัปปนาสมาธิแล้ว

 เวลาไปเจอเหตุการณ์แล้วมีปัญญาที่ได้ยินได้ฟัง

 จากพระพุทธเจ้าก็จะบอกว่า มันก็เป็นแค่อาการ ๓๒

ที่ตายไม่มีใครตาย เราไม่ตาย พ่อไม่ตาย แม่ไม่ตาย

 ลูกไม่ตาย สามีไม่ตาย ไม่มีใครตาย มีแต่อาการ ๓๒

 มีแต่การแยกออกกันของธาตุทั้ง ๔

คือดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง

นี่คือเรื่องของปัญญาที่พวกเราได้

จากการที่เรามาฟังเทศน์ฟังธรรม

 มาศึกษากันขอให้เรานำเอาไปทำ เอาไปต่อยอดให้ได้

อย่าไปทิ้งถังขยะที่หน้าวัด พอออกจากวัดไปก็ลืมไปแล้ว

 ลืมไปว่าวันนี้ฟังเรื่องอะไรบ้าง

ไปคิดแต่ว่าเดี๋ยววันนี้จะไปกินอะไรดี

 เดี๋ยวจะไปเที่ยวที่ไหนดี ถ้าอย่างนี้

ก็ฟังไปก็ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร

ได้รับประโยชน์เฉพาะขณะที่ฟัง

ขณะที่ฟังใจสงบมีความสุขมีความสบายใจ

แต่พอออกไปข้างนอกเห็นคนนั้นเห็นคนนี้

ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ก็เครียดขึ้นมาทุกข์ขึ้นมาแล้ว

เพราะไม่ได้เอาธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ติดตัวไปด้วย

ดังนั้นถ้าเอาติดตัวไปก็ต้องพยายามระลึกถึงมันอยู่เรื่อยๆ

 ออกไปจากที่นี่ก็เอาพุทโธไว้ก่อนก็ได้

พุทโธๆไปอย่าคุยกัน อย่าเล่นกันอย่าอะไรกัน

 ต่างคนต่างพุทโธๆไป แล้วใจก็จะเย็นใจจะสบาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๙

“ใช้เวลากับการเจริญมรรค”










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 เมษายน 2559
Last Update : 22 เมษายน 2559 12:41:57 น.
Counter : 1092 Pageviews.

1 comments
  
สาธุ..สาธุ..สาธุ..

เป็นความจริงทุกประการค่ะ
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 22 เมษายน 2559 เวลา:15:23:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ