Group Blog
All Blog
### ความสุขกับใจก็คือความว่าง ###









“ความสุขกับใจก็คือความว่าง”

การที่พวกเรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกันมาปฏิบัติธรรมกัน

 มารักษาศีลกัน มาทำบุญให้ทานกันนั้น

 เป็นการสร้างความสุขทางใจ ที่เป็นความสุขที่มีความสำคัญ

มากกว่าความสุขทางร่างกาย เพราะความสุขทางใจนี้

เป็นความสุขที่ถาวร ความสุขทางร่างกายเป็นความสุขชั่วคราว

 ชั่วอายุขัยของร่างกายเป็นอย่างมาก และเป็นความสุขสั้นๆ

 ที่ต้องคอยเติมอยู่เรื่อยๆ ส่วนความสุขทางใจนี้

เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่จะอยู่ติดไปกับใจ

เพราะใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย

ความสุขที่อยู่กับใจก็จะอยู่กับใจไปเรื่อยๆ

 ความสุขที่ติดกับร่างกายก็จะหายไปหมด

 เวลาที่ร่างกายตายไป

ความสุขของใจมีน้ำหนักมากกว่า ความสุขของร่างกาย

 เวลาที่ร่างกายไม่มีความสุข มีความทุกข์

เช่นเวลาที่แก่ เวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาที่ตายไป

ใจจะไม่ได้เดือดร้อนกับความทุกข์ของร่างกาย

เพราะความสุขของใจนี้มีน้ำหนักกว่ามากความทุกข์

ของร่างกายนั่นเอง

ความสุขใจถ้าได้ปฏิบัติจนได้ครบถ้วนบริบูรณ์

ก็จะเป็นความสุขระดับปรมัง สุขัง บรมสุข

เป็นความสุขของพระพุทธเจ้า

เป็นความสุขของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

เวลาที่ร่างกายของพระพุทธเจ้า

ของพระอรหันตสาวกนั้นแก่ลงไป

 เจ็บไข้ได้ป่วย และตายไปในที่สุด

แต่ใจของพระพุทธเจ้า ใจของพระอรหันตสาวกนี้

ยังมีความสุขเต็มเปี่ยมอยู่ภายในหัวใจ

ที่มีน้ำหนักมากกว่า ความทุกข์ของร่างกาย

ที่ความสุขของใจสามารถกลบไว้หมด คลุมไว้หมด

ทำให้ไม่รู้สึกทุกข์ไปกับความทุกข์ ของร่างกายเลย

นี่คือความสุขทางใจที่พวกเรามาให้ความสำคัญ

มาสร้างกันให้เกิดขึ้นมา เพราะจะเป็นที่พึ่ง ของเราได้

ในยามที่เกิดความทุกข์ทางร่างกาย

ในยามที่ร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องตายไป

 ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ จากบุคคลต่างๆ ไป

ถ้าใจมีความสุขแล้วใจจะไม่เดือดร้อน

กับเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้แต่อย่างใด

แต่ถ้าไม่มีความสุขใจเลย เวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้

ใจจะมีแต่ความทุกข์มีแต่ความเศร้าโศกเสียใจ

พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระเนตรอันยาวไกล

 มีพระปัญญาที่ฉลาดรอบคอบ

ที่ทรงเห็นอนาคตของความสุข ของทางร่างกาย

ว่าจะต้องเสื่อมหมดไปตามวัยของร่างกาย

และการเสื่อมของความสุขของทางร่างกาย

ก็เป็น การเจริญของความทุกข์ทางร่างกาย

ร่างกายของพวกเราทุกคนจะมีความสุขน้อยลงไปเรื่อยๆ

 แล้วก็จะมีความทุกข์เพิ่มขึ้นมามากขึ้นไปเรื่อยๆ

 ถ้าพวกเราไม่มีความสุขทางใจเลย

 เราจะไม่มีอะไรมาต่อต้าน กับความทุกข์ของร่างกายได้เลย

 เราก็จะต้องรับความทุกข์ไปอย่างเดียว

แต่ถ้าเราหมั่นมาสร้างความสุขทางใจกัน

 เพิ่มความสุขทางใจของเราให้มีมากขึ้น

เวลาที่ความสุขของทางร่างกาย เสื่อมลงไป

ความทุกข์ของทางร่างกาย มีเพิ่มขึ้น

ใจของเราจะได้มีความสุขทางใจ ไว้เป็นเครื่องมือต่อสู้

หรือรองรับกับความทุกข์ของทางร่างกาย

 ถ้าความสุขของใจนั้นมีน้ำหนักมากกว่า

ความทุกข์ของทางร่างกาย

ความทุกข์ของทางร่างกายก็จะไม่เป็นปัญหา อะไรกับใจ

 นี่คือความสำคัญของความสุขใจ

ที่เราควรจะให้ความสำคัญสร้างกันขึ้นมาให้มากที่สุด

เท่าที่จะมากได้ เพราะไม่มีใครที่จะมาสร้างให้เราได้

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะสร้างความสุขใจให้กับเราได้

 ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ

หรือความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ไม่สามารถที่จะมาสร้างความสุขทางใจนี้ได้

สิ่งที่จะสร้างความสุขทางใจนี้ได้ก็คือการปฏิบัติ

ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้ทรงได้ปฏิบัติธรรมเหล่านี้มาแล้ว

แล้วนำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่สัตว์โลก

อย่างพวกเราทั้งหลายให้ได้รู้จักวิธีสร้างความสุขทางใจกัน

 ถ้าเราน้อมนำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างสมำเสมอ

และเพิ่มมากขึ้นไป ตามลำดับ จนปฏิบัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์

 เราก็จะมีความสุขระดับเต็มร้อยเต็มเปี่ยม

อยู่ภายในหัวใจของเรา จะไม่มีที่ให้ความทุกข์

ของทางร่างกายนั้นเข้ามาแทรกเข้ามาอยู่ในใจของเราได้เลย

ใจของเราก็จะมีแต่ความสุขตลอดเวลา

ไม่ว่าจะมีร่างกายนี้หรือไม่มี

ไม่ว่าร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตาย

หรือจะสุญเสียพลัดพรากจากสิ่งต่างๆจากบุคคลต่างๆไป

จะไม่เป็นปัญหากับใจที่มีความสุขเต็มเปี่ยม

 อยู่ภายในหัวใจเลย ก็คือความสุขระดับบรมสุข

ที่เรียกว่า ปรมัง สุขังนี่เอง

และเป็นความสุขที่จะอยู่ติดไปกับใจไปตลอดไม่มีวันสิ้นสุด

 เพราะใจนี้ไม่มีวันสิ้นสุดไม่มีวันดับ

ความสุขที่อยู่กับใจก็จะอยู่ไปตลอด

เช่นความสุข และใจของพระพุทธเจ้า

และใจของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 ในขณะนี้ก็ยังมีอยู่เหมือนกับในขณะที่ท่านมีร่างกายอยู่

ในยุคที่ท่านอยู่กับพวกเราเช่นครูบาอาจารย์

ใจของท่านก็มีความสุขเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา

เวลาที่ร่างกายของท่านตายไป ใจของท่านก็ยังอยู่เหมือนเดิม

 ที่อยู่ของใจนี้เราเรียกว่า โลกทิพย์

ที่อยู่ที่ของใจของทุกๆคนของสัตว์ทุกๆ ตัวทุกร่าง

ทุกชนิดอยู่ในโลกทิพย์ทั้งหมด ต่างตรงที่ว่าอยู่แบบสุข

 หรืออยู่แบบทุกข์กัน ถ้าใจมีความทุกข์มากกว่ามีความสุข

ก็เรียกว่าอยู่ในส่วนของอบาย

ถ้าใจมีความสุขมากกว่า ความทุกข์

ก็อยู่ในส่วนของสุคติหรือสวรรค์

ถ้าใจมีความสุขล้วนๆ ไม่มีความทุกข์เลย

 ใจก็อยู่ที่พระนิพพาน

หรือเรียกว่าใจอยู่ในระดับพระนิพพาน

 อยู่ในโลกทิพย์เหมือนกันแต่อยู่ต่างระดับกัน

ถ้าจะเปรียบเทียบก็ระดับของพระนิพพานนี้

ก็เป็นเหมือนระดับที่สูงสุด

ถ้าเป็นตึกชั้นสูงสุดรองลงมาก็เป็นชั้นของพระอริยบุคคล

 เช่นพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน

ท่านก็จะอยู่ชั้นต่ำรองลงมา

 ท่านกำลังอยู่ ในขั้นของการพัฒนา

ของการก้าวขึ้นสู่สวรรค์หรือที่อยู่ที่สูงขึ้นไปต่อไป

 พระโสดาบันก็จะไต่เต้าขึ้นไปสู่ชั้น พระสกิทาคามี

พระสกิทาคามีก็จะไต่เต้าขึ้นไปสู่ชั้นของพระอนาคามี

 พระอนาคามีก็จะไต่เต้าขึ้นไปสู่ชั้นของ พระอรหันต์

ชั้นของพระพุทธเจ้าก็จะเข้าไปสู่ชั้น

พระนิพพานเป็นชั้นสูงสุด

 เป็นชั้นที่มีความสุขเต็มร้อย ไม่มีความทุกข์เลย

ชั้นอื่นๆนี้ยังมีความทุกข์ผสมอยู่

ชั้นพระอนาคามีก็ยังไม่เต็มร้อย ความสุขยังไม่เต็มร้อย

 ยังมีความทุกข์อยู่บางส่วน

ชั้นของพระสกิทาคามีก็มีความสุขน้อยลง

มากกว่าของพระอนาคามี

และมีความทุกข์ มากกว่าของพระอนาคามี

ชั้นของพระโสดาบันก็เช่นเดียวกัน

จะมีความสุขน้อยกว่าชั้นของพระสกิทาคามี

 และจะมีความทุกข์มากกว่าชั้นของพระสกิทาคามี

แต่ความสุขของพระอริยเจ้านี้เป็นความสุขที่ไม่เสื่อมไม่หมด

 ไม่เหมือนกับความสุขที่ของชั้นปุถุชน

คือชั้นโลกียะที่มีการเสื่อมและมีการหมดไปได้

เช่นถ้าได้ความสุข ระดับของพรหม

ที่เกิดจากการได้สมาธิได้ฌาน

ความสุขนี้ก็จะอยู่ได้ในระยะหนึ่ง

พอกำลังของสมาธิของฌาน เสื่อมลงไป

ความสุขของใจในระดับพรหมก็จะจางหายไป

ใจก็จะเลื่อนลงมาสู่ระดับความสุขของชั้นเทวโลก ของเทวดา

เทวดาก็คือผู้ที่ได้ทำบุญทำทาน ได้รักษาศีล ๕

 ผู้นี้ก็จะได้ความสุขระดับของเทวดา

ที่มีความสุขน้อยกว่าความสุข ของระดับพรหม

และหลังจากที่กำลังของบุญที่ได้สร้างให้จิต

ให้อยู่ในระดับของเทวดานี้เสื่อมหมดไป

ใจของเทวดาก็จะเลื่อนลงมาสู่ในระดับของมนุษย์

ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

แล้วก็กลับมา สร้างความสุขทางใจกันใหม่

ก็จะลอยขึ้นไปก็จะขึ้นไปใหม่ เวลาที่ร่างกายตายไปแล้ว

 ความสุขทางใจถ้ามีมากกว่า ความทุกข์ทางใจ

 ก็จะอยู่ในระดับสวรรค์อยู่ในระดับสุคติ

ถ้าความสุขทางใจมีน้อยกว่าความทุกข์ทางใจ

ใจก็จะอยู่ในระดับอบาย นี่คือเรื่องของใจ

คือกายทิพย์นี้ไม่ได้อยู่ในร่างกายอันนี้

เพียงแต่ใช้ร่างกายอันนี้ เป็นเครื่องมือ

ไว้ในการหาความสุขต่างๆ

 แต่เวลาที่ร่างกายเป็นอะไร

จนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย

เพราะไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน

 ร่างกายตายไป ใจก็ยังอยู่เหมือนเดิม

 ถ้าใจยังไม่ได้ไปถึงความสุขชั้นบรมสุข

ใจก็ยังต้องไปหาร่างกายอันใหม่ ไปเกิดใหม่

เพื่อไปหาความสุขใหม่ ถ้าได้ความสุขเพียงระดับโลกียะ

 คือระดับพรหมโล ใจก็ยังจะต้องเสื่อมลงมาเกิดใหม่

แล้วก็ตายใหม่แล้วก็กลับไปเกิดใหม่

วนไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 แต่ถ้าได้ความสุขของระดับพระอริยเจ้า

ที่จะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 ได้มาได้ยินได้ฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ที่ไม่มีคำสอนของใครมีอยู่ในโลกนี้

ไม่มีเหมือนคำสอนเหมือนใครในโลกนี้

 ก็คือคำสอนที่ให้เจริญวิปัสสนา

 ต่อจากการได้สมาธิได้ฌาน

 ถ้าอยากจะขึ้นไปสู่สวรรค์ที่ไม่มีวันเสื่อม

 มีจะมีแต่เจริญเพิ่มขึ้นไป มากขึ้นไปเรื่อยๆ

 ก็ต้องเจริญการปฏิบัติขั้นวิปัสสนาภาวนาหรือขั้นปัญญา

ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้

จะไม่มีใครรู้วิธีการปฏิบัติระดับขั้นวิปัสสนาขั้นปัญญาเลย

 ก็จะไม่มีใครที่จะสามารถที่จะก้าวขึ้นสู่ความสุข

ในระดับที่ไม่เสื่อม ความสุขที่ระดับเต็มเปี่ยมเต็มร้อย

 และความสุขที่จะทำให้ไม่ต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ต้องมีพระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้า

มาตรัสรู้วิธีการปฏิบัติขั้นนี้ได้

ขั้นนี้เรียกว่าวิปัสสนา หรือปัญญา

 คือจะต้องสอนจิตให้เห็นสภาพ ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ

 ที่จิตไปหลงยึดติดไปหลงพึ่งให้ความสุข

ว่าเป็นความสุขชั่วคราว

เป็นความสุข ที่ไม่สามารถที่จะควบคุมบังคับ

ให้อยู่กับจิตไปได้ตลอด

จะต้องมีวันที่จะต้องเสื่อมและหมดไป

อย่างความสุข ที่ได้จากการได้เป็นพรหม

ก็ต้องเสื่อมลงหมดไปแล้วก็เสื่อมลงมา

เป็นความสุขระดับของเทพของเทวดา

แล้วจากนั้นก็ต้องเสื่อมลงมาสู่ความสุขของมนุษย์

 อันนี้เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้สั่งไม่ได้

สั่งให้ไม่เสื่อมสั่งให้อยู่ เป็นพรหมไปตลอดไม่ได้

สั่งให้อยู่เป็นเทพไปตลอดไม่ได้

สั่งให้อยู่เป็นมนุษย์ไปตลอดไม่ได้

 เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในโลกนี้เป็นอนิจจังนั่นเอง

 ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร

 มีการเจริญแล้วก็ต้องมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา

 ถ้าพิจารณาเห็นว่าเป็นอย่างนี้ใจจะได้ปล่อยวาง

ไม่ไปแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาให้ความสุขแก่ใจ

 ใจก็จะได้พบกับความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง

ที่ไม่ต้องมีอะไรมาให้ความสุขกับใจก็คือความว่าง

 ความสงบนี่เอง จะเป็นความสุขที่ถาวร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

“สักแต่ว่า”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 มิถุนายน 2559
Last Update : 17 มิถุนายน 2559 12:09:46 น.
Counter : 733 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ