Group Blog
All Blog
### คนที่เห็นว่าตนยังโง่อยู่ คนนั้นแหละจะเป็นคนที่ฉลาดได้ ###












"คนที่เห็นว่าตนยังโง่อยู่

คนนั้นแหละจะเป็นคนที่ฉลาดได้"

เวลาไปหานักปราชญ์จึงอย่าไปหวังให้ท่านยกย่องสรรเสริญ

 เตรียมรับคำดุด่าไว้ ถ้าวันไหนท่านไม่ด่า

 แสดงว่าท่านไม่โปรดเรา ท่านไม่เมตตา

ถ้าวันไหนท่านด่า แสดงว่าท่านเป็นห่วงเป็นใยเรา

 เหมือนกับพ่อแม่ที่คอยสอนลูก อยากจะให้ลูกได้ดิบได้ดี

เห็นลูกประพฤติตนเองไม่เหมาะสมต่างๆ

 ก็คอยดุด่าว่ากล่าวตักเตือน แต่ลูกก็มีกิเลส

พอโดนว่ากล่าวตักเตือนหน่อย

 แทนที่จะฟังด้วยเหตุด้วยผล

 ฟังเพื่อก่อก็กลับฟังเพื่อทำลาย

เกิดอารมณ์ โกรธเกลียดชังคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมา

บางทีก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนอยู่ด้วยกันไม่ได้

การฟังธรรมะนั้น ฟังเพื่อจะได้มีหลัก

 ต่อไปเวลาใครพูดอะไรว่าอะไร จะฟังด้วยเหตุด้วยผลจริงๆ

 ไม่ได้ฟังด้วยอารมณ์ ไม่ต้องการคำสรรเสริญ

ที่เป็นเหมือนขนมหวาน

ไม่เหมือนของขมๆที่เป็นเหมือนยา

 กินแล้วทำให้ร่างกายแข็งแรง

 ฟังการว่ากล่าวตักเตือนแล้วได้ประโยชน์

 เหมือนกับเอากระจกมาส่องหน้า

ให้เห็นว่าหน้าของเราเป็นอย่างไร มีตำหนิตรงไหน

 เปื้อนตรงไหน ผมหวีเรียบร้อยหรือยัง

ล้างหน้าล้างตาสะอาดหรือยัง

 ถ้าไม่มีกระจกให้ดูบางทีก็ไม่รู้

 คนที่บอกความผิดก็เป็นเหมือนกับกระจกส่องหน้าเรา

 จึงควรดีใจ เพราะเป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา

เขาชี้ความผิดของเรานี้ ก็เท่ากับชี้ขุมทรัพย์ให้เราแล้ว

ขุดลงไปตรงนี้จะได้ทรัพย์อันวิเศษขึ้นมา

ยึดติดกับสิ่งต่างๆไม่ดี รีบชำระเสีย

 โลภโมโทสันไม่ดี รีบชำระเสีย

อย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ให้มีเหตุมีผล

 มีสติคอยควบคุมใจไว้

อย่าปล่อยให้ดีใจ ถ้าดีใจแล้วเดี๋ยวจะต้องเสียใจ

 ความดีใจก็เป็นความหลงอย่างหนึ่ง

เช่นเวลาคนสรรเสริญแล้วดีใจอย่างนี้

พอคนไม่สรรเสริญก็จะเสียใจ

ถ้าเขาดุด่าว่ากล่าวเรา ก็จะเดือดร้อนใจขึ้นมา

 ถ้ามีเหตุมีผลมีสติแล้ว ใจจะตั้งอยู่ในอุเบกขา

จะไม่มีอารมณ์กับอะไร เพียงแต่รับรู้ สักแต่ว่ารู้

แล้วก็พิจารณาด้วยปัญญา ถ้าสิ่งที่พูดนั้นถูกต้อง

ก็แสดงว่าเขาเป็นคนตาดี ถึงแม้จะเป็นการตำหนิ

 ก็ตำหนิด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความจริง

 เวลาสรรเสริญเขา ก็สรรเสริญด้วยความจริงเหมือนกัน

 แต่คนที่พูดไม่ตรงกับความจริง ถึงแม้จะสรรเสริญเยินยอ

ก็รู้ว่าเป็นการโกหก เป็นการหลอกให้เราดีใจ

ถ้าตำหนิเราในสิ่งที่ไม่จริง ก็แสดงว่าเขาตาไม่ดี

หรือมีอารมณ์ไม่ดี ชอบแต่จะตำหนิผู้อื่น

 ชอบที่จะทำให้ผู้อื่นเสียอกเสียใจ เดือดเนื้อร้อนใจ

แต่ทำได้กับคนที่ยังติดอยู่กับการสรรเสริญนินทาอยู่เท่านั้น

 คนที่ไม่ติดอยู่กับการสรรเสริญนินทานี้

จะไม่ถูกกระทบทั้ง ๒ อย่าง

ไม่ว่าจะสรรเสริญหรือนินทา ก็เท่าเดิม

มีอยู่ ๑๐๐ ก็มีอยู่ ๑๐๐ เท่าเดิม

เขาไม่สามารถหัก ๑๐๐ ให้เหลือ ๙๕ ได้

 หรือเพิ่มให้เป็น ๑๐๕ ขึ้นมาได้จากคำพูดของเขา

เราจะมีเพิ่มมากขึ้นหรือมีน้อยลง

ไม่ได้อยู่ที่การกระทำของผู้อื่น

 แต่อยู่ที่การกระทำของเราทำดีมากขึ้นก็ได้เกิน ๑๐๐

ทำดีน้อยลงก็ลดลงมา มันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การกระทำของเรา

 เพียงแต่ว่าเราต้องอาศัยผู้ที่ฉลาดกว่าเรา

คอยช่วยบอกทางให้กับเรา

การไปอยู่กับครูบาอาจารย์ก็จะได้ประโยชน์อย่างนี้

 เราทำเองตามลำพังก็ไปได้ในระดับหนึ่ง

 แต่ก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น เพราะคิดว่าเราดีพอแล้ว

แต่ครูบาอาจารย์ท่านดีกว่า ท่านรู้ว่ายังดีไม่พอ

 ดังสุภาษิตที่ว่า คนที่เห็นว่าตนยังโง่อยู่

 คนนั้นแหละจะเป็นคนที่ฉลาดได้

แต่คนที่คิดว่าตนฉลาดแล้ว คนนั้นแหละคือคนโง่ที่แท้จริง

เพราะเมื่อคิดว่าตนฉลาดแล้ว ก็ไม่คิดที่จะแสวงหา

ความรู้ความฉลาดเพิ่มเติม ก็จะโง่ไปเรื่อยๆ

แต่คนที่คิดว่าตนเองยังโง่อยู่ ยังต้องเข้าหาผู้รู้อยู่

ต้องอาศัยผู้อื่นคอยชี้บอกอยู่ ก็จะมีโอกาสที่จะฉลาดได้

 แต่จะมีอยู่จุดหนึ่งที่จะรู้แก่ใจว่าพอตัวแล้ว

พอดับกิเลสได้หมดแล้ว ก็รู้ว่าพอแล้ว

ถึงแม้จะไม่รู้วิชาการต่างๆ

วิชาวิศวะฯวิทยาศาสตร์ชีวะฯการบัญชีหรือวิชาอะไรก็ตาม

 บวกลบคูณหารไม่เป็นอ่านหนังสือ ก.ไก่ ข.ไข่ไม่ออก

 ก็ไม่สำคัญ ขอให้รู้ทันกิเลส ปราบกิเลสได้ก็พอแล้ว

 ความรู้นี้เป็นสันทิฏฐิโก รู้อยู่ในใจ ไม่หลงกับอะไรแล้ว

ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรแล้ว คนสรรเสริญก็ไม่ได้ดีใจ

 คนนินทาก็ไม่ได้เสียใจ ได้อะไรมาก็ไม่ได้ดีใจ

เสียอะไรไปก็ไม่ได้เสียใจ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ตกใจ

แก่ก็ไม่เดือดร้อน ตายก็ไม่เดือดร้อน

นี่แหละคือการรู้ทันกิเลส รู้แบบนี้ ถ้ารู้แบบนี้แล้ว มันรู้อยู่แก่ใจ

 ความรู้แบบนี้ไม่ต้องให้คนมาบอก ว่าถึงที่หรือยัง

 อิ่มตัวหรือยัง เหมือนกับกินข้าว

ไม่ต้องไปถามคนอื่นว่าอิ่มหรือยัง มันรู้อยู่แก่ใจ

กายอิ่มเมื่อไหร่ก็รู้เอง ใจไม่วุ่นวายเดือดร้อนกับอะไร

 ก็รู้ของมันเอง ไม่ต้องไปถามใคร

ถ้ารู้แบบนี้แสดงว่าฉลาดแล้ว มีความรู้พอเพียงแล้ว

 ไม่กังวลกับความรู้อย่างอื่น ไม่อับอายขายหน้า

 ถ้าเขียนหนังสือไม่เป็น อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก

 ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ พระอาจารย์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้

 ยังมีลูกศิษย์เป็นชาวต่างประเทศเยอะแยะเลย

ถามว่าท่านสอนอย่างไร ท่านก็ตอบว่าใช้ภาษาธรรมะ

 พยักหน้าไปมา ชี้โน้นชี้นี่ สัตว์มันอยู่ด้วยกัน มันก็ไม่ได้พูดกัน

 ก็ยังอยู่ด้วยกันได้ สัตว์บางชนิดก็พูดได้บ้าง เช่นนก

 แต่ก็ไม่ได้เป็นศัพท์แสงเหมือนกับที่เราพูดกัน

พอสื่อกันได้ ด้วยสายตา ด้วยกิริยาอาการต่างๆ

กับเด็กเล็กๆพูดกันไม่รู้เรื่อง เราก็ทำให้กลัวได้

พอยกมือจะตีก็รู้แล้ว จึงอย่าไปหลงกับวิชาต่างๆ

 อย่าไปคิดว่าต้องเรียนรู้ทางโลก จบปริญญาตรีโทเอกก่อน

แล้วจะมีปัญญามาปฏิบัติธรรม

อาจกลับเป็นปัญญาขวางธรรมเสียอีก ทำให้มีทิฐิถือตน

คิดว่าตนฉลาด ครูบาอาจารย์สั่งสอนก็จะต่อต้านคัดค้าน

เถียงอยู่ภายในใจ ไม่ยอมรับ

 เพราะความรู้ของทางโลกกับทางธรรมนี้ มันคนละเรื่องกัน

ความรู้ทางโลกรู้มากเท่าไหร่กิเลสยิ่งกลับมีมากขึ้นเท่านั้น

 ยิ่งหลงตนเองมากขึ้นเท่านั้น แต่ความรู้ทางธรรมนี้

ยิ่งมีมากเท่าไหร่ กิเลสยิ่งเล็กลงยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ

อัตตาตัวตนจะน้อยลงไปน้อยลงไป จนเหลือศูนย์

เป็นสุญตาไป ปราศจากตัวตน ทิฐิมานะ การถือตน

ไม่ถือว่าตนสูงตนวิเศษอย่างไร

ไม่เหมือนคนที่มีความรู้ทางโลกมาก จะคิดว่าตนวิเศษ

 เหมือนกับวิศวกรกลุ่มหนึ่ง

ที่ไปทดสอบภูมิปัญญาของพระป่ารูปหนึ่ง ถามท่านว่า

 หลวงพ่อเครื่องบินบินได้อย่างไร ท่านตอบว่าจิต

จิตทำให้มันบินได้ ถ้าไม่มีจิตแล้วมันจะบินได้อย่างไร

คนเราถ้าไม่มีจิตก็เป็นซากศพ เครื่องบินจะบินขึ้นได้

ก็ต้องมีคนที่มีชีวิตคิดสร้างมันขึ้นมา ผลิตมันขึ้นมา

 แล้วก็ขับมัน ต้องมีจิต จิตถึงเป็นใหญ่

มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนมยา มโนเศรษฐา

ธรรมทั้งปวงมีจิตเป็นเหตุ เป็นประธาน

 ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่มีสิ่งต่างๆ ศาลาหลังนี้ก็เกิดมาจากจิตใจ

 ร่างกายนี้ก็เกิดมาจากจิตใจ

ยกเว้นสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

 ที่ไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นต้นไม้ภูเขาแดดลมต่างๆ

จิตเป็นต้นเหตุที่ให้ความสุขความทุกข์กับเรา

เพราะในจิตของแต่ละคนนี้มีอริยสัจ ๔ ทำงานอยู่ตลอดเวลา

 เป็นเหตุและผล ๒ คู่ ทุกข์กับสมุทัยก็เป็นคู่หนึ่ง

มรรคกับนิโรธก็อีกคู่หนึ่ง อยู่ที่ว่าฝ่ายไหนจะมีกำลังมากกว่า

 ถ้าสมุทัยมีกำลังมากกว่า กิเลสตัณหามีมากกว่าธรรมะ

ทุกข์ก็จะมีมากกว่าสุข ถ้าธรรมะมีมากกว่า

 คือมีมรรคมากกว่าสมุทัย มากกว่าตัณหา

 มีทานศีลภาวนามากกว่า ความทุกข์ก็จะน้อยกว่าความสุข

ถ้าไม่มีสมุทัยเลย ก็จะไม่มีความทุกข์เลย

 จึงไม่ต้องไปหาอริยสัจ ๔ ที่ไหน มันมีอยู่ในใจเราตลอดเวลา

 จะมองเห็นมันหรือไม่เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จะไม่เห็นกัน

เพราะไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาเพียงตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือ

 ทุกข์สมุทัยนิโรธ ทุกข์เป็นอย่างนั้น สมุทัยเป็นอย่างนั้น

 แต่เวลามันทำงานอยู่ตลอดเวลานี้ กลับไม่รู้ตัว

 ไม่รู้ว่ามันกำลังทำงานอยู่

ถ้าภาวนาแล้วสติปัญญาจะพุ่งเข้าไปตรงจุดนั้น

ไปดูการทำงานของอริยสัจ ๔ เหมือนไปดูมวยชิงแชมป์โลก

ระหว่างธรรมะกับกิเลส ที่ต่อสู้อยู่ในใจ ใจเป็นเหมือนเวที

 แต่ส่วนใหญ่มักจะไปเชียร์กิเลสกัน จึงมีทุกข์มาก

พอกิเลสแย็บออกมาปั๊บ ก็รีบตอบรับทันที ไปเที่ยวไหม ไปเลย

 ไปวัดไหม ยังไม่ว่าง นี่แสดงว่ากำลังเชียร์กิเลส

 กิเลสจึงคว้าแชมป์โลกไปครอง

อวิชชานี่แหละคือแชมป์โลก

ถ้าธรรมเป็นแชมป์ก็จะได้มรรคผลนิพพาน

ที่เกิดจากทานศีลภาวนา เกิดจากธรรมะ

ไม่ได้เกิดจากอย่างอื่น

 ไม่ได้เกิดจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้เกิดจากครูบาอาจารย์

เกิดจากมรรคที่เราจะต้องผลิตขึ้นมาเอง

ครูบาอาจารย์เพียงสอนวิธีผลิต

ว่าทำอย่างไรให้มีมรรคขึ้นมา เช่นให้มีความขวนขวาย

ให้ใฝ่รู้สนใจศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรม เข้าหาผู้รู้

หาครูบาอาจารย์ หาพระสงฆ์องค์เจ้า

 ที่รู้จริงเห็นจริงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

แล้วน้อมเอาคำสอนมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่สักแต่ว่าฟัง

เข้าหูซ้ายแล้วก็ออกหูขวาไป

 ไม่มีหลงเหลืออยู่ในใจไว้เป็นเชื้อเพื่อนำไปปฏิบัติเลย

 ถ้าฟังอย่างนี้ก็ยังไม่เกิดประโยชน์

 ถ้าฟัง ๑๐๐ แล้วเอาไปปฏิบัติได้ทั้ง ๑๐๐ จึงจะเกิดประโยชน์

อย่างในสมัยพุทธกาลที่บรรลุกันตอนที่กำลังฟังเทศน์เลย

 สดๆร้อนๆ เรียกว่าฟังทั้ง ๑๐๐ เก็บไว้ทั้ง ๑๐๐

 เอาไปปฏิบัติทั้ง ๑๐๐ ในปัจจุบันทันทีเลย

 เอาไปพิจารณาในจิตในใจ เห็นอริยสัจ ๔

ที่กำลังปรากฏอยู่ในจิตในใจ เห็นสมุทัย

เห็นอวิชชาเห็นโมหะ ด้วยสติปัญญา

 ที่ทะลุทะลวงเข้าไปทำลายในขณะที่ฟังเลย

 คือเห็นด้วยไตรลักษณ์ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

ในทุกสัดส่วนของสภาวธรรมทั้งหลาย

อวิชชาโมหะก็จะไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๓๗๙ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

(จุลธรรมนำใจ ๑๒)

"ต้องเลือกเอาธรรม"






ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 พฤษภาคม 2559
Last Update : 11 พฤษภาคม 2559 11:29:16 น.
Counter : 824 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ