Group Blog
All Blog
### การสืบทอดพระพุทธศาสนา ###









“การสืบทอดพระพุทธศาสนา”

พระพุทธศาสนา

เป็นมรดกอันล้ำค่าของชาวพุทธเรา

 เพราะว่าพระพุทธศาสนานั้น

เป็นคำสอนที่เป็นจริง ถูกต้อง

ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

ที่เรียกว่า สัจจะธรรม

เป็นแสงสว่างนำทางให้ผู้ที่ยังมืดบอด

ได้รู้จักเรื่องผิด ถูก ดี ชั่ว เรื่องบาป เรื่องบุญ

 เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เป็นเครื่องนำพา

ไปสู่ทิศทางที่ดี ที่งาม มีแต่ความผาสุก

ความเจริญรุ่งเรือง

ชาวพุทธทุกคน จึงสำนึกในคุณค่า

ของพระพุทธศาสนา และได้ถ่ายทอด

 สืบทอดพระพุทธศาสนา

มาเป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว

 การที่พุทธศาสนามีอายุยืนยาวมาได้ขนาดนี้

เป็นเพราะว่าพระบรมศาสดา

 คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

 ได้ทรงวางแนวทาง

สำหรับการถ่ายทอด สืบทอด ไว้เป็นอย่างดียิ่ง

โดยมีพระอริยสาวกทั้งหลาย

พุทธบริษัทสี่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

และพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ยึดถือเป็นแนวทาง

 นำมาประพฤติปฏิบัติ มาถ่ายทอด

พระธรรมคำสั่งสอนอันประเสริฐ

จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง

เป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว

วิธีการถ่ายทอด สืบทอด

ที่พระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้นั้น

มี ๔ ประการด้วยกัน

ประการแรก พระพุทธองค์ทรงสอน

ให้ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย หรือพุทธบริษัทสี่นั้น

ศึกษาพระธรรมคำสอนก่อน

อันนี้ท่านเรียกว่าปริยัติธรรม

ประการที่สอง ทรงสอนว่า

หลังจากที่ได้เรียน ได้ศึกษาแล้ว

ให้เอาสิ่งที่เราได้เรียน ได้รู้

มาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา

 กับใจเรา กับกาย กับวาจาของเรา

เรียกว่า ปฏิบัติธรรม

 หลังจากที่ได้ปฏิบัติแล้ว ขั้นต่อไป

ก็จะเป็นขั้นปฏิเวธธรรม

 คือการบรรลุเห็นผลจากการปฏิบัติ

 ขั้นที่สี่ หลังจากที่ได้บรรลุเห็นธรรมแล้ว

จึงให้เอาไปเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่นต่อไป

 นี่คือวิธีสืบทอด ถ่ายทอด ด้วยการศึกษา

 ปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุ เมื่อบรรลุแล้ว

 จึงเอาไปเผยแผ่ต่อไป

เป็นวิธีที่จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนา

ให้คงอยู่กับโลกเราไปได้อย่างยาวนาน

 แต่ถ้าพุทธบริษัทสี่ หรือพุทธศาสนิกชน

ละเว้นหน้าที่อันนี้แล้ว ศาสนาก็จะค่อยๆเสื่อมไป

 จะค่อยๆหดไป และในที่สุดก็จะไม่มีเหลืออยู่

 ศาสนาไม่ได้ถูกทำลายจากบุคคลภายนอก

 ศาสตราวุธต่างๆ ไม่สามารถจะมาทำลาย

พระพุทธศาสนาได้

 สิ่งที่จะทำลายพระพุทธศาสนา ก็คือ

ความประมาทนอนใจ หรือความไม่สนใจ

 ไม่เอื้ออาทร ไม่ประพฤติปฏิบัติหน้าที่

ของพุทธบริษัทสี่นั้นเอง

การไม่ดำเนินตามทาง

ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้

ไม่ประพฤติปฏิบัติตามนั้นเป็นอย่างไร

 เช่นเวลามาวัด มาบวชก็ดี

หรือมาทำบุญตักบาตรก็ดี

 มาโดยไม่สนใจจะศึกษาพระธรรมคำสอน

ไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธองค์

 สั่งสอนให้กระทำกันนั้น มีอะไรบ้าง

 เป็นเหมือนกับคนหูหนวก ตาบอด

ไม่รู้จักเรื่องผิด ถูก ดี ชั่ว ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การประพฤติปฏิบัติธรรม

ตามพระพุทธศาสนาก็เป็นไปแบบลุ่มๆดอนๆ

เป็นไปแบบผิดๆถูกๆ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

หลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้

 แต่เป็นไปในลักษณะของความงมงาย

มีความคิดของลัทธิอื่น

ปะปนกับคำสอนของพระพุทธศาสนา

 จนกระทั่งไม่รู้ว่าพุทธศาสนานี้สอนอะไร

อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น

 ท่านสอนในเรื่องหลักกรรม

คือ ดี ชั่ว สุข ทุกข์ นั้นอยู่ที่การกระทำ

กรรม คือการกระทำ กรรมมี ๓ อย่าง คือ

 กายกรรม วจีกรรรม มโนกรรม

 กรรมทางกายเรียกว่ากายกรรม

 ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม

ทางจิตใจ ทางความคิดอ่าน คือ มโนกรรม

เมื่อทำไปแล้ว ซึ่งทำได้ ๒ ทาง คือ ทำดี หรือ ทำชั่ว

 คิดดี คิดชั่ว พูดดี หรือ พูดไม่ดี

 เมื่อทำไปแล้ว ผลก็จะต้องตามมา

คือ ผลดี หรือ ผลไม่ดี ผลดี คือความสุข

 ความเจริญรุ่งเรือง

ผลไม่ดี คือความทุกข์ ความหายนะ

 นี้คือหลักของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ชาวพุทธไปวิงวอน

ไปอ้อนวอน หรือไปขอสิ่งต่างๆ จากพระพุทธรูปก็ดี

จากพระสงฆ์องค์เจ้าก็ดี

หรือจากต้นไม้ หรือจากอะไรทั้งสิ้น

พระพุทธศาสนาสอนให้เราทำในสิ่งที่ดี

ทำด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ

ด้วยขันติ ความอดทน ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้แล้ว

 สิ่งต่างๆ ที่เราปรารถนาในโลกนี้

ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็จะตามมา

 เพราะว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น

 เป็นสิ่งที่ตามมาจากการกระทำนั่นเอง

ไม่ใช่เกิดจากกการที่ไปนั่งจุดธูป ๓ ดอก

แล้วนั่งหลับตาอธิษฐานจิต

ขอให้สิ่งต่างๆปรากฏขึ้นมา หรือขอให้ลาภ

ให้ยศต่างๆ ลอยมาหา

หรือขอให้ความทุกข์ทั้งหลายมันหมดไปจากตัวเรา

 สิ่งเหล่านี้ มันไม่สามารถ ที่จะเป็นไปได้

จากการวิงวอน จากการร้องขอ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้น

เกิดจากการกระทำของตัวเราเอง

 ทั้งในอดีต และในปัจจุบัน

ที่ส่งผลให้เราเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

สิ่งแรกที่พุทธศาสนิกชนควรกระทำ

คือ สนใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอน

ด้วยการเข้าวัด เข้าวา ฟังเทศน์ ฟังธรรม

หรือศึกษาจากพระไตรปิฎก

 หรือศึกษาจากหนังสือของครูบาอาจารย์

พระสุปฏิปันโนทั้งหลาย

 และเมื่อได้ศึกษาแล้ว จะได้รู้สิ่งต่างๆ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้

ซึ่งสรุปลงได้ ๓ หัวข้อใหญ่ๆ คือ

๑. ทำแต่ความดี

๒. ละความชั่ว

๓. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด

คือ ชำระความโลภ ความโกรธ

ความหลง ที่มีอยู่ในจิตใจให้หมดสิ้นไป

นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า มีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน

 เมื่อเรารู้ในทั้ง ๓ สิ่งนี้แล้ว

ให้นำไปประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา

พยายามทำความดี พยายามละบาป ละความชั่ว

และพยายามละความโลภ ความโกรธ

ความหลงทั้งหลาย

เมื่อทำไปแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้น คือปฏิเวธก็จะตามมา

อย่างเช่นวันนี้ ท่านทั้งหลายได้มาทำบุญให้ทาน

รักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรม

 ได้สัมผัสกับความสงบสุข ความร่มเย็นของจิตใจ

 อันนี้เกิดขึ้นจากการกระทำในสิ่งทั้ง ๓ นั่นเอง

คือ การทำความดี ละความชั่ว

ละความโลภ ความโกรธ ความหลง

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ผลที่จะตามมาอันดับแรก

 คือ ผลที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ

จิตใจจะเป็นจิตใจที่มีความสงบ มีความสุข

 มีความสบายใจ ต่างกับเวลาที่ทำบาปไปลักทรัพย์

 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จิตใจจะมีแต่ความรุ่มร้อน

 มีแต่ความทุกข์ใจ

ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรมนั้น

 เป็นธรรมที่ต่อเนื่องกัน

 เป็นธรรมที่จะต้องควบคู่กันไป

ไม่แยกออกจากกัน

 ถ้าศึกษาอย่างเดียวแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติ

 ปฏิเวธก็จะไม่เกิดขึ้น ผลก็จะไม่เกิด ไม่บรรลุธรรม

 แต่ถ้าปฏิบัติโดยไม่ศึกษาก่อน ก็จะหลงทางได้

 เพราะไม่ทราบว่าพระพุทธองค์นั้น

ทรงสอนให้ทำอะไร

เมื่อทำไปแล้ว จะทำอย่าง ผิดๆ ถูกๆ

ผลที่ควรจะได้รับก็ไม่ปรากฏขึ้นมา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กัณฑ์ที่ ๑๕ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๓

 (กำลังใจ ๒)

“การสืบทอดพระพุทธศาสนา”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 กรกฎาคม 2559
Last Update : 21 กรกฎาคม 2559 21:55:08 น.
Counter : 811 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ