Group Blog
All Blog
### ความสุขของผู้ครองเรือนและผู้ออกจากเรือน ###

















“ความสุขของผู้ครองเรือนและผู้ออกจากเรือน”

ความสุขของผู้ครองเรือนกับความสุขของผู้บวชนี้ไม่เหมือนกัน

 สำหรับผู้ครองเรือนพระพุทธเจ้าก็บอกว่า

มีเหตุอยู่ ๔ ประการด้วยกันที่ทำให้มีความสุข

 เหตุข้อที่ ๑ ก็คือการมีทรัพย์การได้ทรัพย์

ฆราวาสถ้าไม่มีทรัพย์ก็ไม่มีความสุข

ความสุขของฆราวาสอยู่ที่ทรัพย์ใช่ไหม

 ที่ไปทำงานนี้ไปทำเพื่ออะไร ก็เพื่อไปหาทรัพย์

ถ้ามีทรัพย์แล้วก็จะมีความสุข

ดังนั้นข้อที่ ๑ ความสุขของฆราวาส

พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีทรัพย์

 การจะมีทรัพย์นี้ก็มีได้หลายวิธี

 ถ้าเป็นบุญเก่าก็เกิดมาก็อาจจะได้มาเกิดเป็นลูกของเศรษฐี

 ลูกของคนมีทรัพย์ก็เกิดมาแล้วก็มีทรัพย์เลย ไม่ต้องหา

ถ้าไม่ได้เกิดเป็นลูกเศรษฐีถ้าบุญเก่าไม่ได้ทำมา

เกิดมายากจน ก็ต้องหาทรัพย์กัน

ถ้าไม่มีทรัพย์ก็ต้องขวนขวายหาทรัพย์

ถ้าอยากจะมีความสุข เพราะอยู่เป็นฆราวาสนี้ต้องมีทรัพย์

ไว้สำหรับซื้อของจำเป็นต่างๆ เช่นซื้อปัจจัย ๔

ซื้ออาหาร ซื้อเครื่องนุ่งห่ม ซื้อยารักษาโรค

 ซื้อที่อยู่อาศัยก็ต้องมีทรัพย์ก็ต้องหาทรัพย์

การจะหาทรัพย์หาได้อย่างไรก็ต้องหาโดยวิธีที่ถูกต้อง

ไม่เกิดโทษตามมา มี ๒ วิธีการหาทรัพย์

หาแบบไม่มีโทษ กับหาแบบมีโทษ

 หาแบบมีโทษก็คือหาโดยวิธีที่ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย

 เช่นไปลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่น

อันนี้ก็เป็นการหาทรัพย์ แต่เป็นการหาทรัพย์ที่เป็นโทษ

 ถึงแม้จะได้ทรัพย์มา แต่มีโทษตามมา

 ถ้าไปขโมยทรัพย์ของผู้อื่นก็อาจจะถูกจับเข้าคุกเข้าตารางไป

 ถ้าไม่ถูกจับก็ยังมีโทษตามมาเวลาที่ตายไปแล้ว

 ผู้ที่ทำบาปเมื่อตายไปแล้วจะต้องไปรับผลบาป

 ที่ไปรับผลบาปเรียกว่าอบาย ๔ แห่ง

แห่งที่ ๑. เรียกว่าเดรัจฉาน

 แห่งที่ ๒. เรียกว่าเปรต

 แห่งที่ ๓. เรียกว่า อสูรกาย

แห่งที่ ๔. เรียกว่า นรก นี่คือที่ไปของผู้ที่ทำบาป

ถ้าอยากจะหาทรัพย์แล้วไม่มีโทษ

ก็อย่าไปลักทรัพย์ของผู้อื่น

 หาทรัพย์มาโดยวิธีที่ถูกต้อง คือไปทำงานทำการ

แลกเปลี่ยนกับรายได้หรือไปค้าขาย

ไปซื้อสินค้ามาแล้วก็เอาสิ้นค้านี้ไปขาย

ผลต่างจากราคาซื้อกับขาย ก็เป็นผลกำไร

ก็จะเป็นรายได้ของเรา

 ถ้าอยากจะมีความสุขจากการมีทรัพย์แล้วไม่มีโทษตามมา

ก็ต้องทำมาหากิน ด้วยอาชีพที่สุจริต

 ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม

 ผิดกฎหมายก็อาจจะถูกจับไปเข้าคุกเข้าตารางได้

เช่นค้ายาเสพติด อันนี้ถูกจับแล้วก็ต้องไปติดคุกติดตาราง

 ถ้าไม่อยากติดคุกติดตารางก็อย่าไปค้ายาเสพติด

 อย่าไปค้าสิ่งที่ผิดกฎหมาย

 ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายเขาก็จะไม่จับเราไปลงโทษ

 ทรัพย์ก็ได้มาก็จะให้ความสุขกับเรา

 ถ้าเราทำผิดกฎหมายทรัพย์ที่เราได้มา

มันก็จะทำให้เราได้รับความทุกข์ด้วย

ต้องไปรับโทษในคุกในตาราง

ดังนั้นการทำมาหากินต้องไม่ผิดศีลไม่ผิดกฎหมาย

ศีลก็มี ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒.ไม่ลักทรัพย์ ๓.ไม่ประพฤติผิดประเวณี

 ๔.ไม่พูดปดโกหกหลอกลวง ๕.ไม่เสพสุรายาเมา

การกระทำบาปนี้จะทำให้มีโทษตามมา มีทุกข์ตามมา

 ถ้าไม่อยากจะมีโทษไม่อยากจะมีทุกข์ก็ต้องอย่าไปทำบาป

อย่าไปทำผิดกฎหมายแล้วทรัพย์ที่เราได้มา

ก็จะให้ความสุขกับเรา ให้เราได้ซื้ออาหารมารับประทาน

 ซื้อเสื้อผ้ามาสวมใส่ ให้ทำอะไรต่างๆ

อันนี้ก็เป็นข้อที่ ๒ เหตุที่ทำให้เรามีความสุข

คือการได้ใช้จ่ายทรัพย์ที่เราหามาได้

การจะใช้จ่ายทรัพย์ที่เราหามาได้ให้เราเกิดความสุขก็คือ

ให้ใช้กับสิ่งที่จำเป็น เช่นอาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย

ยารักษาโรค การใช้ทรัพย์แบบนี้เป็นประโยชน์

ทำให้เกิดความสุขทางร่างกายขึ้นมาและเกิดความสุขทางใจ

การใช้ทรัพย์ที่เกิดโทษไม่เกิดความสุขก็มี

 เช่นเอาไปซื้อสุรายาเมามาดื่ม ไปเล่นการพนัน

 ไปเที่ยวกับสิ่งละเล่นต่างๆ มหรสพบันเทิง

ของพวกนี้ถ้าใช้กับมันมากๆ มันก็ไม่พอใช้ ใช้เท่าไรก็ไม่พอ

 ต้องระมัดระวังอย่าเอาเงินไปใช้ทางนี้

เพราะเเทนที่จะเกิดความสุขจะเกิดความทุกข์ตามมา

 ไปเล่นการพนันก็อาจจะหมดเนื้อหมดตัวได้

ไปดื่มสุรายาเมาก็ทำให้ติดดื่มสุราต้องดื่มไปเรื่อยๆ

 พอดื่มสุราก็เมาไม่สามารถที่จะไปทำงานทำการได้

 เสียงานเสียการไม่มีรายได้ การใช้ทรัพย์ก็รู้จักใช้ให้ถูก

ใช้กับสิ่งจำเป็น เช่นปัจจัย ๔

 เพราะร่างกายนี้ขาดปัจจัย ๔ ไม่ได้ ร่างกายต้องมีอาหาร

 มีเครื่องนุ่งห่มมีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค

 ความสุขข้อที่ ๒ สำหรับผู้ครองเรือน

คือการรู้จักใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ไม่ให้เกิดโทษ

ข้อที่ ๓. ก็คือความสุขของฆราวาสก็คือการไม่มีหนี้

อย่าไปก่อนหนี้ อย่าไปมีหนี้

ถ้าไม่มีเงินซื้อของที่เราอยากจะได้ก็อย่าซื้อ

 อดทนเอาไว้อกกลั้นเอาไว้ เพราะการมีหนี้นี้มันเป็นภาระ

 พอไปกู้หนี้ยืมสินมาแล้วก็ต้องเอาไปใช้เขา

กู้มากๆก็อาจจะไม่มีปัญญาที่จะใช้เขา

 ก็อาจจะต้องถูกเขาไปฟ้องร้องจับเราเข้าคุกเข้าตาราง

 หรือยึดทรัพย์สมบัติข้าวของต่างๆ ที่เรามีอยู่

การใช้จ่ายเงินทองต้องให้มีขอบมีเขตมีเหตุมีผล

 แล้วก็รู้กำลังรู้ฐานะของเรา อยากจะซื้ออะไรต้องดูก่อนว่า

 เรามีกำลังจะซื้อหรือไม่ ถ้าไม่มีกำลังซื้ออย่าไปซื้อ

อย่าไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อ เพราะต้องไปใช้หนี้

และต้องใช้ดอกเบี้ย สู้อดทนเอาไว้

อยากได้อะไรถ้ามันไม่มีกำลังที่จะซื้อก็อย่าเพิ่งไปซื้อมัน

ถ้าซื้อโดยไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อนี้มันได้ไม่คุ้มเสีย

 ได้ความสุขจากการได้ของเดี๋ยวเดียว

 แล้วก็ต้องมาทุกข์ กับการใช้หนี้

 แล้วถ้าติดนิสัยกู้หนี้ยืมสินก็จะกู้มาก

เกินกว่าที่จะสามารถชดใช้เขาได้

ปัญหาก็คือจะเกิดการล้มละลายติดคุกติดตาราง

เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือต่อไป

จะไม่มีใครเชื่อถือเราเรื่องการเงินการทอง

เราก็จะไม่มีความสุข

นี่ก็คือเรื่องความสุขของฆราวาส
การมีทรัพย์

การจะมีทรัพย์ก็ต้องหาทรัพย์ด้วยวิธีที่ไม่ผิดกฎหมาย

ไม่ผิดศีลธรรม การใช้ทรัพย์ก็ควรจะใช้กับสิ่งที่จำเป็น

อย่าไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ ที่ไม่จำเป็น

ถ้าเรายังไม่มีเงินทองเหลือเฟือที่จะซื้อก็อย่าไปซื้อมัน

เก็บไว้ซื้อของจำเป็น เก็บไว้สำหรับซื้ออาหาร

ซื้อยาซื้อเครื่องนุ่งห่มซื้ออะไรต่างๆ

ข้อสุดท้ายข้อที่ ๔ ความสุขของฆราวาสก็คือ

การกระทำที่ไม่เกิดโทษ จะทำอะไรก็อย่าให้มันมีโทษตามมา

 อย่าไปทำร้ายผู้อื่น อย่าไปพูดร้ายต่อผู้อื่น

เพราะพูดแล้วเขาก็จะกลับมาตอบโต้เรา

เขาก็จะกลับมาทำเรา ให้รู้จักให้อภัยเวลาเขาทำอะไรเรา

 แล้วเราไม่พอใจก็อย่าไปตอบโต้ เฉยๆเสีย

เพราะพูดไปแล้ว เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องยาว

 เขาด่าเรา เราก็ไปด่าเขา เขาก็กลับมาตีเรา เราก็ไปตีเขา

ตีไปตีมาเดี๋ยวก็ฆ่ากันตาย นี่คือการกระทำที่เป็นโทษ

 อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใคร

ให้ทำตัวเป็นผู้น้อย เป็นผู้แพ้ ให้รู้จักคำว่าแพ้

 “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”

 ถ้าจะเอาชนะกันเดี๋ยวก็ต้องฆ่ากันตาย

ถ้ารู้จักคำว่าแพ้ ยอมแพ้ ก็จะไม่มีเรื่อง

ใครเขาจะด่า ใครเขาจะว่าอะไรเราก็ยอมแพ้

ไปปล่อยให้เขาว่าไป เราก็ฟังด้วยเหตุด้วยผล

 ถ้าสิ่งที่เขาด่าเราถูกก็แสดงว่าเขามีความเมตตากับเรา

 ชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา

บางทีเรามองไม่เห็นโทษของตัวเราเอง

คนอื่นเขามาบอกโทษของเราให้เรารู้

ก็เหมือนกับกระจกส่องหน้า

 บางทีเราก็อยากจะรู้ว่าหน้าตาเราเป็นอย่างไร

ถ้าเราไม่มีกระจก เราก็จะมองไม่เห็น

 ทีนี้พอไปส่องหน้าดูกระจก

หน้ามันไม่น่าดูก็อย่าไปโทษกระจกว่ามันไม่ดี

ต้องโทษหน้าเรามันไม่ดีเอง หน้าเรามันสกปรก

 เราต้องไปล้างหน้าของเราให้มันสะอาด

คนอื่นที่เขาบอกว่าเราไม่ดีก็เหมือนกับกระจกส่องหน้าเรา

 ที่เขาบอกว่ามันไม่ดีก็เพราะว่า เราไม่ดี

 เรามองไม่เห็นความไม่ดีของเรา เราก็ต้องขอบใจเขา

 เขาชี้ขุมทรัพย์ให้เราเหมือนกับกระจก

 ที่สะท้อนความจริงของเรา

เวลาเราแต่งเนื้อแต่งตัวแต่งหน้าเราก็ต้องมีกระจก ใช่ไหม

 ถึงจะได้รู้ว่าหน้าตาของเราเป็นอย่างไร

สะอาดหรือไม่สะอาด ถ้าไม่มีกระจก

เราก็อาจจะคิดไปเองว่าสะอาด

 แต่ความจริงมันอาจจะไม่สะอาดก็ได้

อันนี้ก็คือการฟังเวลาใครเขาตำหนิติเตียน

ใครเขาดุด่าว่ากล่าวให้ฟังด้วยเหตุด้วยผล

ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เราก็ควรที่จะขอบใจเขา

 แต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง

ก็คิดว่าเขาเป็นคนหูหนวกตาบอดไปก็ได้ ก็ปล่อยเขาพูดไป

 เขาอาจจะโกรธเราเกลียดเรา

เขาก็เลยพูดว่าในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น

 เมื่อเราไม่เป็นอย่างที่เขาพูดเราก็ไม่ต้องเดือดร้อน

เช่นถ้าเขาว่าเราเป็นโคเป็นกระบืออย่างนี้

 เราจะไปเดือดร้อนไหม เราเป็นโคเป็นกระบือหรือเปล่า

 เป็นสุนัขหรือเปล่า เราเป็นคน

เราก็รู้ตัวเราไม่ใช่หรือว่าเราเป็นคน

 ใครเขามาว่าเราเป็นสุนัข เป็นโค เป็นกระบือ

เราไปโกรธไปเกลียดเขาทำไม ก็ปล่อยเขาว่าไปสิ

ปากของเขาเราห้ามเขาไม่ได้

 เขาก็เป็นคนหูหนวกตาบอดหรือเป็นคนเมาเหล้า

 คนเมาเหล้าบางทีมองเห็นแมวเป็นสุนัข

เห็นสุนัขเป็นแมวไปก็ได้

 ดังนั้นคนที่เขาด่าเราว่าเราแต่มันไม่เป็นความจริง

 เราก็อย่าไปถือโทษโกรธเคืองเขา

คิดเสียว่าเขาเป็นคนหูหนวกตาบอดมองไม่เห็น

เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าเราก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน

 แต่ถ้าสิ่งที่เขาว่าเป็นอย่างที่เขาว่า เราก็ต้องแก้ไข

 ถ้าเขาว่าเราสุนัข ถ้าเราชอบไปขโมยข้าวของคนอื่นกิน

 ขโมยของของคนอื่น หรือไปขโมยสามีภรรยาของคนอื่น

 อย่างนี้เขาเรียกว่าสุนัข เดรัจฉาน

หลวงตาท่านบอก พวกสุนัขเดือน ๙ หมาเดือน ๙

พวกที่ไปยุ่งกับผัวกับเมียของคนอื่นนี้

พวกที่ไม่มีผัวเดียวเมียเดียวนี้

เขาเรียกพวกสุนัขเดือน ๙ เข้าใจไหม

เพราะว่ามันเอานิสัยของสุนัขมาใช้ ทำตัวเหมือนสุนัข

 มนุษย์เขาไม่ทำกัน มนุษย์เขามีศีลข้อ กาเมสุมิจฉาจารา

 ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณีคือมีสามีคนเดียว

มีภรรยาคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น นี่คือความเป็นมนุษย์

แต่ถ้าเราไปมีเมียน้อย มีสามีน้อย

แล้วเขาว่าเราเป็นสุนัขก็ไม่ผิด

 เราควรจะขอบใจเขา ว่าเออ!!! จริงนะ

เขามาเตือนเรา เรากำลังเป็นสุนัขอยู่

ถ้าเราอยากจะกลับมาเป็นมนุษย์

เราก็ต้องเลิกประพฤติผิดประเวณี

การจะเป็นมุนษย์ได้สมบูรณ์นี้ท่านบอกต้องมีศีล ๕ ข้อ

คือต้องไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดประเวณี

ไม่พูดปด ไม่เสพสุรายาเมาและอบายมุขต่างๆ

 อันนี้คือการฟังเวลาใครเขาว่าเรา ฟังด้วยเหตุด้วยผล

 แล้วจะไม่มีปัญหา ถ้าเราฟังด้วยอารมณ์

พอเขาพูดในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็จะโกรธเขา

โกรธเขาแล้ว เราก็จะไปว่าเขาตอบโต้เขาว่าเรา

 เราก็ไปว่าเขา เขาว่าเราเป็นสุนัข

เราก็ไปว่าเขาเป็นโคเป็นกระบือ เดี๋ยวเขาก็ว่าเรากลับมา

เราเป็นโน่นเป็นนี่แล้วเดี๋ยวก็ลงไม้ลงมือกัน

ดังนั้นอย่าไปทะเลาะวิวาทกับใคร อย่าไปว่าใคร

การที่จะว่ากล่าวตักเตือนผู้อื่นนี้เราต้องดูว่า

 เขาอยู่ในฐานะที่เขาจะรับหรือไม่รับ

ถ้าเขาไม่รับนี้เราก็ไม่ควรที่จะไปพูด

 สอนคนที่เราควรจะสอน เช่นสอนลูกสอนหลาน

 สอนลูกศิษย์ลูกหา เขาต้องการฟังคำสอนของเรา

เราก็สอนเขา แต่คนที่เขาไม่ต้องการฟังคำสอนของเรา

 เราก็อย่าไปสอนเขา เพราะว่าเขาไม่ต้องการฟัง

แล้วไปสอนเขา เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา

 แล้วเขาก็จะว่าเรา พอเขาว่าเราก็จะว่ากลับเขาไป

 แล้วเดี๋ยวก็จะต้องมีเรื่องมีราวกัน

ต้องระมัดระวังการพูดของเรา

อย่าไปทำให้ผู้อื่น เขาเกิดความเดือดร้อน

เกิดความเสียหาย แล้วเราจะไม่มีโทษกลับมา

 คืออย่าไปทำผิดกฎหมาย อย่าไปทำผิดศีลผิดธรรม

พยายามรักษาศีล ๕ ข้อนี้ให้ได้

แล้วพยายามรักษาศีลกฎหมายต่างๆ ไว้

อย่าไปทำผิดกฎหมายแล้วจะไม่มีโทษตามมา

นี่คือความสุขของผู้ครองเรือนมีอยู่ ๔ ข้อ

 ๑.การมีทรัพย์ การได้ทรัพย์

๒. การใช้ทรัพย์ที่ถูกต้อง

๓. การไม่มีหนี้

 ๔. การกระทำที่ไม่เกิดโทษ คือไม่พูดร้าย

 ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้ายผู้อื่น ถึงแม้ว่าเขาจะพูดร้าย คิดร้าย

 ทำร้ายเรา เราก็ให้อภัยเขาไป อย่าไปตอบโต้

ถือว่าเป็นกรรมของเราก็แล้วกัน

วิบากของเรา เราอาจจะเคยไปทำอะไรกับเขามาก่อน

 เขาก็เลยไม่พอใจ เขาก็เลยพูดไม่ดีมาทำอะไรไม่ดีกับเรา

 แต่เราอย่าไปตอบโต้แล้วเดี๋ยวเรื่องมันก็จะจบ

 แต่ถ้าเราไปตอบโต้เดี๋ยวเรื่องมันก็จะบานปลาย

 กลายเป็นสงครามขึ้นมา

ส่วนความสุขของผู้ที่ออกจากเรือน เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า

 ผู้ที่อยากจะหาความสุขที่ไม่ต้องใช้ทรัพย์

ก็ต้องหาความสุขจากการรักษาศีล จากการทำใจให้สงบ

รักษาศีลเพื่อที่จะได้ควบคุมการกระทำ

ไม่ให้ไปหาความสุขทางอื่น

ให้ไปหาความสุขทางใจเพียงอย่างเดียว

 คนที่จะหาความสุขทางใจนี้

 ต้องเลิกการหาความสุขทางร่างกาย

เช่นเลิกไปเที่ยว เลิกไปฟังเพลง ไปเที่ยวไปเล่นอะไรต่างๆ

 แล้วให้มาหาความสุขทางใจด้วยการฝึกใจให้สงบ

 สร้างสติขึ้นมา สติก็คือให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ

 เช่นบริกรรมพุทโธๆไป อย่าให้ใจไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

 เพราะเวลาใจคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วมันก็จะเกิดความอยาก

 คิดถึงขนมก็อยากจะกิน คิดถึงละครก็อยากจะดู

คิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็อยากจะไป

พอไปแล้วก็ต้องเดือดร้อน เพราะจะต้องใช้เงินใช้ทอง

 แต่ถ้าอยากจะหาความสุขแบบที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง

 ก็อย่าไปเที่ยวอย่าไปเล่นแล้ว ก็มาทำใจให้สงบ

 อยู่บ้านหรืออยู่ที่ไหนที่ไม่มีใครมารบกวนเรา

 แล้วก็พยายามควบคุมใจ ไม่ให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆ

 เช่นให้อยู่กับพุทโธๆ ไป เวลานั่งสมาธิหลับตา

แล้วก็ให้ท่องพุทโธๆไปอย่างเดียว

ถ้าใจไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ใจก็จะเข้าสู้ความสงบ

พอเข้าสู่ความสงบแล้วก็จะมีความสุข

นี่คือความสุขของนักบวช

ของผู้ที่ไม่ต้องการใช้เงินทองเป็นเครื่องมือหาความสุข

 เพราะเห็นว่าความสุขจากการใช้เงินทองนี้

หาเท่าไรก็ไม่พอ หามาได้แล้วเดี๋ยวก็หมดไป

 หมดไปแล้วเดี๋ยวก็ต้องหามาใหม่

แล้วถ้าหาไม่ได้ก็เดือดร้อน

เวลาแก่ก็เดือดร้อน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็เดือดร้อน

 เพราะไม่สามารถหาความสุขได้

แต่ถ้าหาความสุขทางใจนี้ จะไม่เดือดร้อน

 เวลาแก่ก็ยังหาความสุขทางใจได้

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังหาความสุขทางใจได้

 ทำใจให้สงบแล้ว มันก็จะมีความสุข

เวลาตายก็ไม่เดือดร้อนเพราะใจไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ไม่อาศัยร่างกายให้ความสุข

มีร่างกายหรือไม่มีร่างกายก็มีความสุขได้

อันนี้เป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง

เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

ตอนต้นพระพุทธเจ้าก็มีความสุขแบบผู้ครองเรือน

 มีเงินมีทองไว้ซื้อของต่างๆ ซื้อความสุขต่างๆ

แต่ทรงเห็นว่ามันเป็นความสุข

ที่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

 ซึ่งต่อไปร่างกายมันก็จะใช้ไม่ได้

คนเราทุกคนต่อไปก็จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ

และจะต้องตายไป

เวลานั้นก็จะกลายเป็นเวลาที่มีแต่ความทุกข์

เพราะไม่สามารถหาความสุขได้

 เพราะร่างกายไม่สามารถทำตามที่เราต้องการให้ทำได้

พระพุทธเจ้าก็เลยไปหาความสุขอีกวิธีหนึ่ง

เห็นนักบวชก็เลยสนใจก็ลองไปบวช

ไปหาความสุขแบบนักบวช

หาความสุขจากการทำใจให้สงบ

 ระงับความอยากต่างๆ ตัดความโลภต่างๆ

 ไม่ให้ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 เวลาเกิดความอยาก ความโลภ

อยากจะไปหาความสุข ทางร่างกาย

ก็มานั่งสมาธิทำใจให้สงบ

 พอใจสงบแล้วก็ความอยากก็หายไป

ความสุขก็ปรากฎขึ้นมา

 อันนี้เป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ไม่ต้องใช้เงินทอง อันนี้ทำได้แล้วจะมีความสุข

ไปตลอดเวลาร่างกายแก่ ก็ไม่เดือดร้อน

เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เดือดร้อน

เวลาร่างกายตายไปก็ไม่เดือดร้อน

 เพราะใจไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข

 ใจใช้สติ ใช้ปัญญา สติก็คือคำบริกรรมพุทโธ

 หรือการสวดมนต์ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ

สวดมันไป สวดไปๆ อย่าไปคิดอะไร

เดี๋ยวใจก็เย็นใจจะสบาย

แล้วถ้าอยากจะรักษาความสุขความสบายไว้

ก็ต้องใช้ปัญญาคอยสอนใจว่า

อย่าไปหาความสุขทางร่างกาย

เพราะเป็นความสุขที่ไม่เที่ยง

เป็นความสุขที่จะต้องมีทุกข์ตามมา

 เวลาที่ร่างกายที่แก่ เจ็บ ตายนี้

ก็จะไม่สามารถหาความสุขได้

หรือเวลาไม่มีเงินทองก็ไม่สามารถหาความสุขได้

หรือคนที่สิ่งที่ให้ความสุขกับเรา

 เขาจากเราไป เราก็จะทุกข์ มีแต่ความทุกข์

การหาความสุขทางร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ตามมา

 แต่การหาความสุขทางใจนี้จะไม่มีความทุกข์ตามมา

ถ้าเรารู้จักทำใจให้สงบแล้วมันก็จะสงบไปเรื่อยๆ

 ถ้าเรารู้จักสินใจให้ตัดความอยากต่างๆ

 ไม่ให้ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆ

 ให้หาความสุขจากการทำใจให้สงบเพียงอย่างเดียว

เราก็จะมีความสุขไปตลอด

 อันนี้เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบและทรงมีอยู่

ความสุขนี้มีอยู่กับใจของพระพุทธเจ้าไปตลอด

 เพราะใจของพวกนี้ไม่มีวันตาย

ความสุขที่มีอยู่ในใจนี้ก็ไม่มีวันตายไม่มีวันหมด

 ไม่เหมือนความสุข ที่อยู่กับร่างกาย

พอร่างกายหมดความสุขที่ได้จากร่างกายก็หมดไป

นี่คือความสุข ๒ ประเภทด้วยกัน

 เราต้องการประเภทไหนก็เลือกเอา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 เมษายน 2559
Last Update : 17 เมษายน 2559 11:17:04 น.
Counter : 1143 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ