กายสังขารเคลื่อนได้ แต่จิตสังขารอย่าเคลื่อน
(๒๙ ม.ค. ๓๖ ตอนเช้ามืด)
ลูกสาวในอดีตของท่านกำลังกวาดวัดตอนเช้ามืด
แต่จิตก็พิจารณาธรรมะไปด้วย
โดยยกเอาการปฏิบัติธรรมของตน (นั่งทำกรรมฐาน)
ในคืนวันนั้นมาพิจารณา แล้วนึกชมตัวเองว่า
วันนี้เราสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างต่อเนื่อง
โดยไม่เคยทำได้มาก่อน
กายนั่งอยู่กับที่แต่ต้องขยับหลายครั้ง
คิดถึงจุดนี้หลวงปู่ท่านก็มาสอน มีความว่า
๑. เมื่อยก็เมื่อยซี กายสังขารมันมีอยู่
จะไม่ขยับได้อย่างไร จิตสังขารซีอย่าเคลื่อน
เพลิดเพลินในธรรมเข้าไว้
กายสังขารปวดเมื่อย-ขบก็ต้องเคลื่อนเป็นธรรมดา
อย่าฝืนทุกข์ของกายสังขาร นั่งนานๆ ง่อยมันจะกินเอา
ยืนนานๆ ตะคริวมันก็กินขา เดินนานๆ ก็เมื่อยหมดกำลัง
นอนนานๆ อัมพาตจะกินเอา
๒. อย่าทำกรรมฐานแบบโง่ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ให้ฝืนกายสังขาร เพราะเป็นการเบียดเบียนตนเอง
บรรลุมรรคผลได้ยาก สู้ครบอิริยาบถ ๔ ไม่ได้
แล้วมิใช่ครบอิริยาบถ ๔ อย่างโง่ๆ นะ
ถ้าครบ ๔ แบบโง่ๆ มรรคผลนิพพานก็ไม่ได้เหมือนกัน
มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางเท่านั้นที่จะบรรลุได้
บรรลุพอดีในทางสายกลาง บรรลุธรรมที่ปัจจุบัน
จะบรรลุระดับไหน ก็ต้องใช้ทางสายกลาง
ในธรรมปัจจุบันพอดีๆ เอาความดีเป็นที่ตั้ง
๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน
ขณะปัจจุบันได้เท่านี้ก็พอดีเท่านี้
ปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีกก็ได้ในธรรมปัจจุบันนั้นแหละ
บริโภคธรรมอย่างพอดี บริโภคแล้วบริโภคอีก
ในธรรมปัจจุบันไปจนกว่าจะอิ่ม คือ เต็มขั้น
กายสังขารแตกดับ จิตก็เข้า
แดนอมตะนฤพาน เอ็งเข้าใจนะ อย่าทำกรรมฐานโง่ๆ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ชอบให้ลูกๆ ท่านเดินทางผิด
ทำกรรมฐานอย่างไร้ปัญญา เข้าใจไหม
๔. เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด
ขอให้จิตอยู่ในความสงบ
อยู่ในอารมณ์พระกรรมฐานก็แล้วกัน
แยกกายสังขารให้เป็น แยกจิตสังขารให้เป็น
วางเฉยให้อยู่ในอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ
คือ ทุกข์กายต้องระงับ แต่จิตไม่เกาะติดอยู่กับมัน
ยอมรับสภาวะทุกข์ของกายโดยดุษฏี
บอกมันไว้เสมอๆ ว่า มึงตายเมื่อไหร่ กูสบายเมื่อนั้น
๕ สำหรับจิตสังขาร เรามีเอาไว้ปฏิบัติธรรม
คนฉลาดที่เจริญพระกรรมฐานเป็น เจริญแบบพระพุทธเจ้า
แบบพระธรรม แบบพระอริยสงฆ์
คือ จิตสังขารจะกระทบเข้ากับอะไรตลอด ๒๔ ชั่วโมง
หรือทุกๆ ขณะจิตที่กระทบ จะเป็นสัตว์ คน วัตถุธาตุใดๆ
หรือ พรหม เทวดา นิพพาน โลกธรรม ๘ อบายภูมิ ๔
เขาจะนำมาพิจารณา หรือเอาสิ่งสัมผัสนั้นๆ
มาเป็นพระกรรมฐานหมด แล้วใช้ปัญญาแยกออกได้ว่า
สาระที่กระทบนี้เป็นธรรมใด เช่น มนุษยธรรม เทวธรรม
พรหมธรรม โลกียธรรม หรือโลกุตรธรรมตลอดเวลา
คนฉลาดเจริญกรรมฐานเป็น
เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบจิตทั้งหมดนั้นเป็นธรรม
นี่แหละเอ็งจงจำไว้ นักเจริญกรรมฐาน
จะต้องอยู่ในธรรมอย่างนี้ตลอดเวลา
และต้องทำให้ชินจนแยกแยะออกได้ว่า
สาระธรรมใดควรเก็บ สาระธรรมใดควรละ
อันนี้ทำแล้วจิตติดสมมุติ อันนี้ทำแล้วจิตพ้นสมมุติ
เขาทำกรรมฐานกันอย่างไม่หลงลืมสติ
ว่าทำเพื่อจุดประสงค์อะไร
๖. พระพุทธเจ้าท่านต้องการสอนนักเจริญกรรมฐาน
เพื่อวิมุติ คือ หลุดพ้นจากกิเลส
เพื่อเข้าถึงแดนอมตะนฤพานจุดเดียวนะจำไว้
หลวงปู่บุดดา ถาวโร
...............................
ขอบคุณที่มา fb. วัดป่า
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ