Group Blog
All Blog
### ไม่ได้อยู่ที่หญิงที่ชาย มันอยู่ที่จิต ###










“ไม่ได้อยู่ที่หญิงที่ชาย มันอยู่ที่จิต”

ถาม : ผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกัน

พระอาจารย์ : เหมือนกัน

ไม่ได้อยู่ที่หญิงที่ชาย มันอยู่ที่จิต

 เพราะในจิตมีกิเลสเหมือนกันเท่ากัน

 แล้วก็สร้างธรรมะได้เท่ากัน

 เพียงแต่สถานที่บำเพ็ญ

อาจจะลำบากหน่อยสำหรับผู้หญิง

 แต่ก็มีสำนักปฏิบัติของครูบาอาจารย์

 อย่างคุณแม่แก้วก็ยังบรรลุได้เลย

 เห็นไหม มันอยู่ที่จิต

 ถ้าจิตพุ่งไปแล้วก็ไม่มีอะไรมาหยุดมันได้หรอก

 ถ้าจิตไม่พุ่งก็ไม่มีใครฉุดกระชากลากไปได้เหมือนกัน

อยู่ที่ตัวเราที่จะต้องผลักมันไปให้ได้

 ผลักไปได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความขวนขวาย

ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษาให้มากๆ อ่านหนังสือ

 ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

 ฟังแล้วก็ต้องเอามาปฏิบัติด้วย

สำหรับอาตมาตอนต้นที่ได้สัมผัสกับธรรมะ

ก็อ่านหนังสืออยู่ประมาณสัก ๓ - ๔ เดือนได้

ก็อ่านเรื่องทาน ศีล ภาวนานี้แหละ

 เรื่องสมาธิ เรื่องวิปัสสนานี่แหละ

แต่ไม่ได้นั่งสมาธิสักทีหนึ่ง

แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งก็นึกได้ว่า

 เอ๊ะ! อ่านมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมไม่ได้นั่งสักที

 ก็เลยวางหนังสือ แล้วก็นั่งเลย

 พอนั่งปั๊บมันก็ไปได้ ใหม่ๆก็ยากหน่อย

 ก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ แต่ถ้าไม่นั่งไม่ทำต่อ

ให้อ่านไปอีก ๑๐ ปี ก็ไม่ไปถึงไหน

เพราะการศึกษาเล่าเรียน

ก็เหมือนกับการดูแผนที่เท่านั้นเอง

 ถ้าดูแล้วไม่ออกเดินทางสักที

ถึงแม้จะจำทางได้ ต้องเลี้ยวตรงไหน

แต่ยังไม่ได้ออกเดินทางไป ก็ยังไม่ได้ไป

 ฉะนั้นหลังจากได้ยินได้ฟังแล้ว ต้องเอาไปทำ

เอาไปปฏิบัติ ทำไปเถิดอย่าไปเสียดายเงินทอง


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

กัณฑ์ที่ ๒๒๘ วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๘

(จุลธรรมนำใจ ๑)

“ไม่มีอะไรเป็นของเรา”






ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 กรกฎาคม 2559
Last Update : 11 กรกฎาคม 2559 5:47:11 น.
Counter : 442 Pageviews.

0 comment
### สถานที่สำหรับคนที่ภาวนาเป็นแล้ว ###










“สถานที่สำหรับคนที่ภาวนาเป็นแล้ว”

คนที่ภาวนาเป็นแล้ว จะรู้ว่าต้องการสถานที่แบบไหน

 เขาจะไม่ต้องการพวกแสงสีเสียง ไม่ต้องการเพื่อน

 ไม่ต้องการคนนั้นคนนี้มาแก้เหงาด้วยการคุยกัน

 เพราะจิตที่ได้เข้าสู่ความสงบแล้ว

จะไม่ค่อยคิดถึงอะไร

 เพราะไม่ค่อยได้ปรุงแต่งกับเรื่องอะไร

 แต่จิตที่ยังไม่สงบ ก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย

 คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ แล้วก็เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา

 คิดในเรื่องที่เคยทำให้มีความสุข

ในขณะที่ไม่มีความสุขนั้นแล้ว

 ก็จะทำให้เศร้าสร้อยหงอยเหงา

 อยากจะหวนกลับไปหาความสุขแบบนั้นอีก

 ถ้าเคยมีความสุขกับเพื่อนกับฝูง

กับการทำกิจกรรมต่างๆ

 พอต้องมาฝึกจิตอยู่คนเดียวในป่า

ก็จะอดคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยสัมผัสมาไม่ได้

 อดที่จะคิดถึงเพื่อนคนนั้นเพื่อนคนนี้

กิจกรรมนั้นกิจกรรมนี้ไม่ได้

ก็เลยเกิดอารมณ์ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวขึ้นมา

 จึงทนอยู่ไม่ได้ ต้องกลับไปหาเพื่อนหาฝูง

 หากิจกรรมต่างๆ แต่ถ้าเคยได้ฝึกจิตมาก่อน

 แล้วสามารถทำจิตให้สงบได้

เวลามาอยู่สถานที่แบบนี้

จะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น เพราะมีงานทำ

รู้หน้าที่ของตน รู้ว่าต้องทำอะไร

คือคอยควบคุมสังขารความคิดปรุงนี้เอง

ความคิดของเรานี้ เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล

ที่พระท่านสวดในงานศพ

 กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา

ก็หมายถึงความคิดปรุงแต่งของจิตที่

มีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกันคือ

 ๑. กุศล ๒. อกุศล ๓. ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล

 ถ้าคิดไปในทางกุศล ก็ทำให้จิตสงบ

 ถ้าคิดไปในทางอกุศล ก็ทำให้จิตฟุ้งซ่าน

เกิดความทุกข์

ถ้าคิดไปในทางที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล

 ก็จะไม่ทำให้จิตมีความสงบ มีความอิ่มเอิบใจ

 แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน

หรือความทุกข์แต่อย่างใด

 แต่ก็สู้การคิดไปในทางกุศลไปในทางมรรคไม่ได้

เพราะจะทำให้จิตใจสงบ เย็นสบาย

ถ้าคิดไปในทางอกุศลก็จะไปในทางสมุทัย

ไปตามความอยากต่างๆ

 เช่นเวลาอยู่คนเดียวก็อยากจะไปหาเพื่อน

 อยากจะดื่มน้ำชากาแฟ

อยากจะรับประทานขนมหวานต่างๆ

อยากจะดูเรื่องอะไรต่างๆ ทางโทรทัศน์บ้าง

 ทางหนังสือบ้าง ถ้าคิดไปในทางนี้ก็เป็นอกุศล

 เพราะทำให้จิตเกิดความหิวความอยาก

ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้

ต้องตะเกียกตะกายไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มา

ต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้

ทำไปแล้วก็ระงับความอยากได้ชั่วขณะหนึ่ง

 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็คิดอีกอยากอีก

 เพราะติดเป็นนิสัย เคยชอบทำอะไร

 ก็จะคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เสมอ

 พอทำได้สักพักหนึ่งก็เหนื่อย ก็หยุดมัน

พอมีกำลังวังชา ก็คิดถึงอีก

ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการทำตามความอยาก

ที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ

ถ้าสังเกตดูสักหน่อยก็จะเห็นว่า

ได้ทำตามความอยากมามากมายแล้ว

ตั้งแต่วันที่เกิดมา เคยถึงจุดพอบ้างไหม

ถึงจุดอิ่มตัวบ้างไหม

ถึงจุดว่าเออ! ได้ทำมามากพอแล้วนะ

หนังก็ดูมามากพอแล้ว ละครก็ดูมามากพอแล้ว

 งานเลี้ยงก็ไปมามากพอแล้ว

เที่ยวไปตามที่ต่างๆก็เที่ยวมามากพอแล้ว

ถึงเวลาที่น่าจะพอได้แล้วนะ

แต่กลับไม่มีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นภายในจิต

เพราะธรรมชาติของความอยาก

 ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า

ไม่มีขอบไม่มีฝั่งไม่มีฝา

 มหาสมุทรจะใหญ่โตกว้างขวางขนาดไหน

 ก็ยังมีขอบมีฝั่ง แต่ความอยากนี้หาขอบเขตไม่ได้

 ไม่มีที่สิ้นสุด อยากแล้วก็จะอยากต่อไปเรื่อยๆ

มีแต่จะขยายตัว เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งๆขึ้นไป

 ดังที่เขาพูดกันว่า ได้คืบก็อยากจะเอาศอก

 ได้ศอกก็อยากจะเอาวา มันเป็นอย่างนี้

ความอยากจะทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ

แล้วใครล่ะจะต้องมาเหนื่อยยาก

กับการสนองความอยาก

 ก็จิตนี่แหละที่ต้องถ่อไป สั่งให้ไปเอาอะไรมา

ก็ต้องไปหามา หามาได้แล้วก็ดีใจไปสักพักหนึ่ง

 แล้วเดี๋ยวก็มีคำสั่งใหม่ออกมาอีก

อยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อีก ก็ต้องไปหามาอีก

 ถ้าเกิดไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

 ก็เกิดความเสียอกเสียใจขึ้นมา เกิดความผิดหวัง

 เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าเกิดสูญเสียสิ่งที่ได้มา

 ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องของอกุศล

ความคิดที่คิดไปในทางความอยากทั้ง ๓

ได้แก่ ๑. ความอยากในกาม

๒. ความอยากมีอยากเป็น

 ๓. ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น

ตัณหาทั้ง ๓ นี้ถ้ามีอยู่ในจิตแล้ว ก็จะทำให้จิตเป็นทาส

 เป็นคนรับใช้เจ้านาย ก็คือความอยากทั้ง ๓ ประการนี้

ความอยากในกามก็คือ

ความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ

 ที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้อยากกัน

เพราะเป็นโลกของกาม เรียกว่ากามโลก

 เป็นที่เกิดของสัตว์โลกที่ยังมีความอยากในกามอยู่

 ซึ่งก็แบ่งเป็น ๒ ส่วนด้วยกัน

ส่วนดีกับส่วนเลว

 ส่วนดีหมายถึงสัตว์โลกที่หาความสุข

จากการเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ด้วยการประพฤติที่สุจริต ไม่ล่วงเกิน

 ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

 หามาด้วยความสุจริต อยู่ในศีล

กับส่วนเลวที่หามาด้วยความไม่สุจริต

 เบียดเบียนผู้อื่น เช่นพวกสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น

 อยากจะได้อะไรก็ไม่คำนึงว่า

จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่

 พวกนี้จึงต้องไปเกิดเป็น สิงสาราสัตว์

 หรือถ้าหนักกว่านั้นก็เป็นเปรตบ้าง

 เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง

นี่เป็นสัตว์โลกที่เสพกามด้วยความทุจริต

ส่วนสัตว์โลกที่เสพกามด้วยความสุจริต

 ได้แก่พวกมนุษย์กับพวกเทพทั้งหลาย

พวกมนุษย์จะเสพกามที่หยาบ

ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่หยาบ

 ที่ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายเข้าสู่ใจ

 ส่วนพวกเทพจะเสพกามที่ละเอียด

ได้แก่รูปทิพย์ เสียงทิพย์ รสทิพย์ กลิ่นทิพย์

 โผฏฐัพพะทิพย์ ที่สัมผัสด้วยใจโดยตรง

เหมือนกับเวลาที่นอนหลับ

แล้วฝันเห็นรูปต่างๆ สวยๆงามๆ ประสบการณ์ที่ดีต่างๆ

ในขณะที่ฝันนั้นก็เป็นเหมือนเทพ

เสพความสุขทางรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์

 รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์

นี่คือโลกของผู้ที่ยังติดอยู่ในกามสุข ในกามตัณหา

 ยังมีความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะอยู่

 ถ้าขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

ก็เป็นพวกที่ละความอยากในกามตัณหาได้

ละรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะได้

คือพวกที่ถือศีล ๘ พวกที่ปฏิบัติเนกขัมมะ

 นักบวชทั้งหลาย พวกนี้จะไม่หาความสุข

จากการดู การฟัง การสัมผัสทางทวารทั้ง ๕

 แต่หันมาสัมผัสกับความสุขในความสงบของจิตใจ

 เช่นพวกที่บำเพ็ญภาวนา พวกฤาษีชีไพร

 ซึ่งพวกนี้ก็มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงปรากฏขึ้นมา

คนเราในโลกนี้ก็แสวงหาความสุขต่างกันไป

 ตามความสามารถ ตามกำลังแห่งสติปัญญาของตน

พวกต่ำสุดก็พวกที่เสพพวกอบายมุขทั้งหลาย

 เช่น เสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน

คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้าน

หาความสุขด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น

พวกที่สูงกว่านี้ก็เป็นพวกมนุษย์กับพวกเทพ

ที่หาความสุขจากการทำบุญทำทาน รักษาศีล

 เป็นความสุขที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

ส่วนพวกที่หาความสุขที่สูงกว่านี้

ที่เห็นโทษของกามสุข

เห็นว่าการเสพกามมีทุกข์ตามมา

 เช่นเวลาเสียสิ่งที่รักไป มีคู่ครองก็มีความสุขดี

 พอคู่ครองล้มหายตายจากไป

หรือไม่สามารถให้ความสุขต่อกันได้

ก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

พวกนี้มีปัญญาที่เห็นว่า

น่าจะมีความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นหรือผู้อื่น

 ก็แสวงหาศึกษาจากนักปราชญ์จนได้คำตอบว่า

 ก็ความสุขจากการทำจิตใจให้สงบนั่นไง

 จึงออกบำเพ็ญตบะกัน อยู่ในป่าในเขา

อยู่ตามวัดตามวา ตามสำนักปฏิบัติธรรม

ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กายของตนไม่ให้สัมผัส

กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 เพื่อให้เกิดความสุข

 เช่นรับประทานอาหารก็รับประทานอาหาร

เพื่อให้ร่างกายอยู่ไปวันๆหนึ่ง

 ไม่ได้รับประทานเพื่อรสชาติ เพื่อความสุข

ความสนุกสนาน ความอิ่มหนำสำราญใจ

คนที่ยังเสพกามอยู่เวลารับประทานอาหาร

ต้องหาอาหารจานโปรด อาหารจานเด็ด

ไปตามร้านอาหารที่ตนชอบ นี่กินแบบเพื่อกามสุข

 แต่ถ้ากินเพื่อร่างกาย มีอะไรที่ไหนก็รับประทานไป

 ไม่ต้องเลือกว่าต้องเป็นอาหารชนิดนั้นชนิดนี้

ขอให้สะอาด รับประทานแล้วไม่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

 ดับความหิวได้ก็พอเพียงแล้ว

 แล้วก็รับประทานพอประมาณ

ไม่รับประทานมากจนเกินไป

เพราะไม่ได้หาความสุขจากรสชาติต่างๆที่สัมผัสกับลิ้น

 กับตา กับจมูก เหมือนกับรับประทานยา

ไม่สนใจว่าจะต้องมีรสชาติอย่างนั้นอย่างนี้

เพียงกลืนๆเข้าไป ให้ทำหน้าที่รักษาโรคภัย

 ที่มีอยู่ในร่างกายให้หมดไปก็พอแล้ว

อาหารก็เป็นยารักษาโรค

ความหิวที่เกิดจากการขาดอาหาร

 นี่ก็คือการเสพสัมผัสของพวกที่แสวงหาความสุข

จากความสงบของจิตใจ

ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการสัมผัส

ทางกามคุณทั้ง ๕ เสื้อผ้าก็ใส่กันแบบเรียบๆง่ายๆ

 ไม่ต้องมีสีฉูดฉาดสวยงาม การใส่เสื้อผ้าสวยๆงามๆ

 เพราะยังยึดติดอยู่กับกามสุข

 เวลาใส่เสื้อผ้าสวยๆงามๆ

 แล้วมีคนชมว่าสวยงามน่าชื่นชม ก็มีความสุข

แต่สำหรับผู้ที่แสวงหาความสุขที่ลึกกว่า ละเอียดกว่า

 คือความสุขภายในใจ จะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้า

 และสีสันต่างๆ ใส่เพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้นเอง

ป้องกันร่างกายไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย

 ไม่ให้แมลงสัตว์ต่างๆกัดต่อย

 นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ให้ความสำคัญ

กับการแต่งหน้าทาปาก ใช้เครื่องสำอางใช้น้ำหอมต่างๆ

 เพื่อปกปิดกลิ่น ที่ไม่พึงปรารถนาของร่างกาย

เพราะถ้าไม่ได้รับการชำระล้าง

ก็ต้องมีกลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาออกมา

 นักปฏิบัติก็จะชำระร่างกายด้วยการอาบน้ำ

ใช้สบู่ที่ไม่มีกลิ่นหอม เพื่อดับกลิ่นของร่างกายเท่านั้น

ไม่ต้องการความสุขจากการอาบน้ำแต่อย่างใด

ส่วนการหลับการนอนก็ไม่นอนบนที่นุ่มที่ใหญ่โต

 นอนแล้วหลับสบาย จนไม่อยากลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม

แต่นอนเพื่อพักร่างกาย ที่ไหนก็นอนได้

แม้ไม่ได้เอนหลังนอน อยู่ในท่านั่งก็ยังหลับได้

เวลาง่วงมากๆ นักปฏิบัติบางท่าน

จะถือการปฏิบัติอยู่ใน ๓ อิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง

 แต่จะไม่นอน เพราะกลัวจะติดในความสุข

ที่เกิดจากการนอน จะทำให้นอนมากเกินไป

ทำให้เสียเวลา แทนที่จะเอาเวลามาทำจิตใจให้สงบ

 ก็หมดไปกับการหลับนอนเสีย

 ได้ความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่เทียบไม่ได้

กับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ

นี่คือการกินอยู่หลับนอนของผู้ปฏิบัติ

เพื่อความสงบของจิตใจ

ต้องระมัดระวังเรื่องกามคุณทั้ง ๕

เวลาสัมผัสจะต้องไม่ให้เกิดความยินดี

 เกิดความสุขขึ้นมา จึงต้องแสวงหาที่ในป่าในเขา

 ที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า

 ที่ไม่ทำให้เกิดตัณหาความอยากขึ้นมา

 ไม่เหมือนกับเห็นรูปคน

โดยเฉพาะรูปของเพศตรงกันข้าม

 เห็นรูปหญิงรูปชายแล้วก็จะเกิดความอยากขึ้นมา

อยากจะสัมผัส อยากจะอยู่ใกล้ชิด

ทำให้กลายเป็นทาสของรูปเหล่านี้ไป

เวลาไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ก็จะต้องเกิดความทุกข์ใจ

 เกิดความเศร้าสร้อยหงอยเหงาขึ้นมา

 เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องการความสงบจิตสงบใจ

 จะต้องระมัดระวัง ต้องสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ไม่ให้ไปเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ

 เพื่อให้เกิดความสุข เกิดตามความต้องการ

เกิดความอยาก ถ้าจะต้องเสพต้องสัมผัส

ก็เพราะความจำเป็นเท่านั้น

 เช่นรับประทานอาหารดื่มน้ำ

 แต่รับประทานอาหารแบบรับประทานยา

 ดื่มน้ำก็เหมือนกับดื่มยา ไม่ต้องดื่มน้ำที่มีรสมีชาติ

คนที่ติดอยู่กับกามสุขเวลาดื่มน้ำเปล่าจะไม่รู้สึกสดชื่น

 เหมือนกับดื่มน้ำที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานมัน เค็ม

ผู้ที่แสวงหาความสงบสุขของจิตใจ

จึงต้องหลีกเลี่ยงกามสุขต่างๆ

เพราะจะทำให้จิตสงบง่ายเวลาภาวนา

 จึงต้องเข้มแข็ง เพราะกามฉันทะความยินดีในกาม

เป็นหนึ่งในนิวรณ์ ๕ ที่เป็นอุปสรรคขวางกั้น

ไม่ให้ใจเข้าสู่ความสงบ เป็นเหมือนกำแพง

นอกจากกามฉันทะแล้ว ก็ยังมีวิจิกิจฉา

 ความสงสัย เวลาภาวนาก็เกิดความสงสัยว่า

 การบริกรรมพุทโธๆๆคำเดียวจะทำให้จิตสงบได้หรือ

 พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ธรรมะที่ทรงสั่งสอนมีจริงหรือ

พระอริยสงฆ์มีจริงหรือ

หรือเป็นเรืองแต่งกันขึ้นมาหลอกกัน

 หลอกให้นั่งทำจิตใจให้สงบ

ทำไปเท่าไหร่ก็ยังไม่สงบสักที

ถ้ามีความสงสัยอย่างนี้แล้ว จิตก็จะลังเล

 เวลาภาวนาก็จะไม่ตั้งจิตตั้งใจ ไม่เอาจริงเอาจัง

 ไม่มีศรัทธา ทำไปก็จะไม่เกิดผลขึ้นมา

 ถ้ามีความลังเลสงสัย ก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง

จากผู้ที่มีประสบการณ์ ที่รับรองว่า ทำไปเถิด

พุทโธๆๆคำเดียวนี้แหละ

จะทำให้ได้เจอกับสิ่งที่มหัศจรรย์

 ถ้าได้ยินได้ฟังจากผู้ที่น่าเลื่อมใสศรัทธา

 ก็จะขจัดความสงสัยไปได้

 เวลาภาวนาก็ยึดพุทโธๆๆเพียงคำเดียว

 ไม่ต้องไปสงสัยให้เสียเวลา มีสติคอยกำกับ

ไม่ช้าไม่นานพุทโธก็จะพาจิตทะลุนิวรณ์ทั้ง ๕

 เข้าสู่ความสงบได้

ส่วนนิวรณ์ที่เกิดจากความง่วงเหงาหาวนอน

 ก็ต้องอาศัยการรับประทานอาหารพอประมาณ

 อย่ารับประทานอาหารมาก

หรือไปอยู่ตามสถานที่ที่ทำให้เกิดความกลัว

เช่นในป่าช้า ในป่าในเขาเป็นต้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

กัณฑ์ที่ ๒๒๘ วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๘

 (จุลธรรมนำใจ ๑)

“ไม่มีอะไรเป็นของเรา”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 กรกฎาคม 2559
Last Update : 11 กรกฎาคม 2559 5:35:20 น.
Counter : 771 Pageviews.

0 comment
### ระงับความโกรธ ###










“ระงับความโกรธ”

ถาม : เวลาใครพูดอะไรไม่ถูกใจ ทำอย่างไร

จึงจะระงับความโกรธได้

พระอาจารย์ : ต้องมีสติรู้ทันว่ากำลังโกรธ

 รู้ว่าความโกรธเป็นโทษกับเรา

 มากกว่าคนที่ทำให้เราโกรธ

 คนที่ทำให้เราโกรธเป็นเหมือนกับคนจุดไฟ

แต่ไฟอยู่ในใจเรา อย่าไปสนใจคนที่จุดไฟ

 ต้องรีบหาน้ำมาดับไฟ วิธีที่เร็วที่สุดก็คือปัญญา

 รู้ว่านี่ไฟกำลังไหม้บ้านเรา กำลังไหม้ตัวเรา

 ก็หยุดโกรธเสีย นี่คือปัญญา

 ถ้าไม่มีปัญญา ก็ต้องใช้อุบายอย่างอื่น

เช่น เมตตา ให้อภัย คิดว่าเรื่องก็ผ่านไปแล้ว

 จะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บก็ไม่ได้ แก้ความรุ่มร้อน

ความโกรธที่มีอยู่ภายในใจ

 ก็คิดเสียว่าใช้หนี้เก่าไปก็แล้วกัน

แล้วแต่จะใช้อุบายคิด วิธีที่ฉลาดที่เร็วที่สุด

ก็ต้องมองว่า ไฟกำลังไหม้บ้าน

 จะไปตีโพยตีพายทำไม รีบหาน้ำมาดับไฟดีกว่า

ขณะนี้เรากำลังโกรธ รีบระงับความโกรธนี้เถิด

 ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไรก็บริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ

อย่าไปคิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธ

 เดี๋ยวความโกรธก็หายไปเอง

ยิ่งไปคิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธ

 ทำไมเขาต้องทำให้เราโกรธ เราก็ดีอย่างโน้นดีอย่างนี้

 คิดอย่างนี้ก็ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาใหญ่

อย่าไปคิดถึงมันเลย มันผ่านไปแล้ว

เวลาไฟไหม้ก็อย่าไปนั่งเถียงกันเลยว่า

ใครเป็นคนจุดไฟ เดี๋ยวบ้านก็ไหม้หมด

ต่างคนต่างรีบไปหาน้ำมาดับกันดีกว่า

 เวลาเกิดความโกรธ ต้องบอกตัวเราว่า

ไฟกำลังไหม้ใจเรานะ รีบดับมันเสีย

 ถ้าใช้ปัญญาไม่ได้ก็ใช้อุบายของสมาธิไปก่อน

ด้วยการบริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ

อย่าไปคิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธ

 ความกลัวก็เหมือนกัน พระที่ต้องการแก้ความกลัว

 ท่านจะไม่ชอบอยู่ตามสถานที่ปลอดภัย

เพราะจะไม่มีความกลัว แต่พอไปอยู่ที่เปลี่ยวๆที่น่ากลัว

 ความกลัวจะโผล่ขึ้นมา พอโผล่ขึ้นมา

ท่านก็จะบริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ

 จิตก็จะอยู่กับพุทโธๆๆไปจนเป็นสมาธิขึ้นมา

พอจิตเป็นสมาธิสงบนิ่งแล้ว

 ความกลัวก็หายไปหมดเลย

เพราะความกลัวก็ออกมาจากจิตนี้แหละ

จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง ความโกรธก็ออกมาจากจิต

 จิตไปปรุงไปแต่งมันขึ้นมาเอง

ถ้าระงับได้ ทำจิตให้สงบได้

ความกลัวก็ดี ความโกรธก็ดี ก็จะหายไปเอง

 นี่เป็นวิธีที่ง่าย วิธีของสมาธิ

 แต่ไม่ถาวรเหมือนกับการใช้ปัญญา

ถ้าใช้ปัญญาก็จะรู้ว่า เราไปหลงมันเอง

ไปยินดียินร้ายกับมันเอง ถ้าไม่ไปยินดียินร้าย

ก็จะทำให้เราโกรธไม่ได้

ถ้าไปหวังว่าเขาจะต้องพูดดีกับเรา

พอเขาพูดไม่ดีเราก็โกรธ หรือเสียใจ

 ถ้าไม่ไปหวังว่าเขาจะต้องดีกับเรา

 เขาจะร้ายกับเราอย่างไร เราก็พร้อมที่จะรับอยู่แล้ว

 เราก็ไม่โกรธ เราก็ไม่เสียใจ

 จึงอย่าไปหวังอะไรจากใครในโลกนี้

อย่าไปหวัง อย่าไปหาความสุขจากภายนอก

ให้หาความสุขในตัวเรานี่แหละ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๒๒๗ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘

 (จุลธรรมนำใจ ๑)

“หัวใจของคำสอน”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กรกฎาคม 2559
Last Update : 10 กรกฎาคม 2559 12:36:45 น.
Counter : 763 Pageviews.

0 comment
### วิธีดับตัณหา ###










“วิธีดับตัณหา”

การดับตัณหาก็มีอยู่ ๒ วิธีด้วยกัน

คือ ๑. สมาธิ ซึ่งดับได้ในช่วงระยะสั้นๆ

 พอเบรกให้หยุดได้ชั่วคราว

 เวลาอยากได้สิ่งนั้นอยากได้สิ่งนี้

ก็จะรู้ว่าเกิดความอยากขึ้นมา

 เพราะเกิดความรุ่มร้อนขึ้นมา

โดยปกติจิตที่มีสมาธิจะมีความเยือกเย็นเป็นพื้น

พอเกิดความอยากขึ้นมา ก็จะร้อนวูบขึ้นมา

 เหมือนกับจุดไม้ขีดขึ้นมา ก็จะร้อนขึ้นมาทันที

 สมาธิจะดับได้เพียงชั่วคราว

 เดี๋ยวความอยากก็โผล่ขึ้นมาอีก

 จึงต้องใช้วิธีที่ ๒. คือปัญญา

 ที่จะดับได้อย่างถาวร

 เช่นอยากมีคู่ครอง ถ้าบวชเป็นพระ

 สิ่งแรกที่พระอุปัชฌาย์จะสอน

ให้พระผู้บวชใหม่ทุกๆรูปศึกษาหรือพิจารณาก็คือ

กรรมฐาน ๕ ได้แก่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

โดยอนุโลมและปฏิโลม คือทั้งลงและขึ้น

พิจารณาผมขนเล็บฟันหนัง

 แล้วก็พิจารณาหนังฟันเล็บขนผมย้อนกลับมา

 ให้พิจารณาอย่างต่อเนื่องจนเกิดความชำนาญ

 ไม่ให้อยู่ห่างจากใจ   เมื่อพิจารณาแล้ว

 จะเห็นความไม่สวยไม่งามของร่างกาย

 ที่กิเลสตัณหา มักจะเห็นว่าเป็นของสวยของงาม

ท่านสอนให้พิจารณาถึงความไม่สวยไม่งาม

ของสิ่งต่างๆเหล่านี้

 เวลาผมกลายเป็นสีขาว ก็เป็นที่รังเกียจ

 หนังก็เช่นเดียวกัน หนังที่เต่งตึงในวันนี้

 ในวันข้างหน้าก็ต้องเหี่ยวย่น ให้พิจารณาไปเรื่อยๆ

 จนถึงอาการส่วนอื่นๆของร่างกาย

ที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ก็จะเห็นความไม่สวยไม่งาม

ของร่างกายมากขึ้นไปๆ

เมื่อได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราชอบ

 สิ่งที่เราว่าสวยงามนั้น ความจริงแล้ว

ก็มีสิ่งที่ไม่สวยงามซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนัง

เพียงแต่เราไม่ได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณา

 จึงมองไม่เห็น ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เรื่อยๆแล้ว

ต่อไปความรู้นี้ก็จะติดอยู่กับใจ

พอเกิดความอยากขึ้นมา ความรู้ที่ได้พิจารณา

ก็จะผุดขึ้นมาทันที ว่าไม่สวยอย่างที่เราคิดหรอก

 ความอยากก็จะดับไป ทุกครั้งที่คิดอยาก

 ความรู้ที่ได้พิจารณาก็จะผุดขึ้นมาๆในที่สุด

ความอยากก็จะไม่มีกำลังโผล่ขึ้นมา

 อย่างนี้เรียกว่าปัญญาหรือวิปัสสนา

การพิจารณาอสุภกรรมฐาน ก็เพื่อแก้กามตัณหา

 แก้กามราคะ ความยินดีในรูปที่สวยที่งาม

ที่เราหลงว่าสวยว่างาม แต่ความจริงแล้ว

ร่างกายไม่ได้สวยงามเลย เราไปหลงเขาเอง

 ว่าสวยว่างาม พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้มอง

ในส่วนที่ไม่สวยไม่งามด้วย

เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง

 เรามักจะมองด้านเดียวเท่านั้น คือด้านที่เราชอบ

แต่ด้านที่เราไม่ชอบ เราจะไม่มองกัน

ทั้งๆที่ก็มีอยู่ในคนๆเดียวกัน

 ทีนี้ปัญหาของพวกเรา

เวลาพิจารณาความไม่สวยไม่งามนี้

 โดยมากจะพิจารณาได้ไม่นาน

 เพราะกิเลสชอบมาขัดมาขวางอยู่เสมอ

เราจึงต้องฝืน ต้องบังคับให้พิจารณา

ถ้าไม่ฝืนไม่บังคับแล้ว

 จะไม่ค่อยได้พิจารณากันสักเท่าไหร่

แต่ถ้าได้ฝืน ได้บังคับไปเรื่อยๆ

พิจารณาไปเรื่อยๆ ต่อไปจะกลายเป็นนิสัยขึ้นมา

 เหมือนกับหัดใช้มือซ้าย ถ้าถนัดขวา

 จะไม่ชอบใช้มือซ้าย เพราะอึดอัด ไม่สะดวก

ไม่คล่องแคล่วว่องไว เพราะไม่ถนัด

แต่ถ้าพยายามฝืนใช้ไปเรื่อยๆ หัดใช้ไปเรื่อยๆ

 ต่อไปก็จะเกิดความชำนาญ เกิดความถนัด

จนกลายเป็นนิสัยไป การเจริญปัญญาก็เป็นอย่างนี้

จิตของพวกเราส่วนใหญ่

 มักจะชอบมองสิ่งต่างๆว่าสวยว่างาม

ว่าจีรังถาวร เห็นอะไรก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นเสมอ

เห็นรูปร่างหน้าตาที่ถูกใจ

 ก็คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด

 ไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องแก่ต้องตายไป

ผมจะกลายเป็นสีขาว หนังจะเหี่ยว

แล้วก็ตายไป แตกสลายไป

 จิตที่มีกิเลสครอบงำอยู่ จะไม่ชอบคิดอย่างนี้กัน

 แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาคือความทุกข์ใจ

ก็ต้องบังคับใจให้พยายามพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 การที่จะเจริญปัญญาได้อย่างต่อเนื่องจนได้ผล

 จิตต้องตั้งมั่น ถ้ายังลอยไปลอยมาอยู่

จะพิจารณาอสุภะได้ไม่นาน

 พอมีอารมณ์อื่นมากระทบ

 ก็จะฉุดลากจิตให้ไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้แทน

ถ้าจิตมีสมาธิตั้งมั่นอยู่แล้ว

 จะไม่ไหวไปตามอารมณ์ต่างๆ

จะไม่มีอารมณ์ต่างๆมารบกวน

กำหนดให้พิจารณาอะไร

ก็จะอยู่กับเรื่องที่ได้กำหนดไว้

การปฏิบัติจึงไม่ควรมองข้ามสมาธิไป

บางคนคิดว่าสามารถปฏิบัติโดยไม่ต้องมีสมาธิเลย

 คือให้เข้าสู่วิปัสสนา ให้เข้าสู่ปัญญาเลย

 ส่วนใหญ่เวลาเข้าไปแล้วจะไม่ได้ผลเท่านั้นเอง

 จะกลายเป็นความฟุ้งซ่านไปเสียมากกว่า

กลายเป็นจินตนาการไป ไม่ได้เป็นความจริง

 เวลาเกิดกิเลสขึ้นมา ก็จะสู้ไม่ได้

 แต่ถ้ามีสมาธิอยู่แล้ว เวลาพิจารณาอะไร

จิตก็จะเกาะติดอยู่กับสิ่งที่ให้พิจารณา จนเข้าใจ

 จนอยู่ติดกับใจ ทีนี้ไม่ต้องพิจารณาอีกแล้ว

พอกิเลสโผล่ขึ้นมา

 ความรู้ที่ได้พิจารณาแล้วอย่างช่ำชอง

ก็จะผุดขึ้นมารับทันทีโดยอัตโนมัติเลย

 เป็นธรรมชาติของจิตไป แล้วก็จะรู้ว่า

 กิเลสแบบนี้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

เพราะไม่หลงแล้ว รู้เท่าทันแล้ว

เวลากิเลสบอกว่าสวย ปัญญาจะบอกว่าไม่สวย

 ก็จะทำลายล้างกันไปจนหมดสิ้นไปจากใจ

 กิเลสก็จะไม่สามารถมาหลอกใจได้อีกต่อไป

 เพราะมีปัญญา รู้ทันกิเลสแล้วนั่นเอง

นี่คือการปฏิบัติที่เรียกว่ามรรค ต้องเจริญให้มาก

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า มรรคต้องเจริญให้มาก

 ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ นิโรธต้องทำให้แจ้ง

 วิธีที่จะทำให้นิโรธแจ้ง ที่จะละสมุทัย

 ที่จะกำหนดรู้ทุกข์ ก็อยู่ที่การเจริญมรรคนั่นเอง

 การเจริญมรรคจะทำให้เห็น

ความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่ตลอดเวลา

เป็นอริยสัจข้อที่ ๑ คือทุกขสัจจะ

 พวกเราส่วนใหญ่มักจะมองข้ามทุกขสัจจะไป

 เมื่อลืมทุกขสัจจะก็จะเกิดตัณหา

เกิดความอยากจะสร้างโน่น สร้างนี่

ทำโน่นทำนี่ เป็นโน่นเป็นนี่

 แล้วก็ต้องไปทุกข์กับเรื่องโน้นทุกข์กับเรื่องนี้

แต่ถ้าได้เจริญมรรค คือสัมมาทิฏฐิก็จะรู้ว่า

 คนเราเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา

 ต้องพลัดพรากจากของรักทั้งหลายไปเป็นธรรมดา

 ต้องประสบกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่ปรารถนาเป็นธรรมดา

 เมื่อพิจารณาอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

 ก็จะไม่ถูกอำนาจของตัณหามาหลอก

ให้ไปสร้างโน่น สร้างนี่ สร้างครอบครัว

สร้างสวรรค์วิมานในโลกนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เพราะในที่สุดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไป

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จะถอยออกจากการสร้าง

การหาความสุขกับสิ่งต่างๆในโลกนี้

เกิดปัญญาขึ้นมา เมื่อเกิดปัญญาขึ้นมา

 ก็จะระงับดับตัณหาต่างๆ

 ที่หลอกให้ไปสร้างโน่นสร้างนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ได้

 เมื่อไม่มีตัณหาอยู่เฉยๆก็มีความสุขแล้ว

 เป็นความสุขที่แท้จริง คือการอยู่เป็นสุขนั่นเอง

เมื่ออยู่เฉยๆได้แล้ว มีเพียงร่างกายกับใจ

เป็นสมบัติก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องมีสมบัติอื่นอีก

ก็มีความสุขอย่างมากมายก่ายกอง

ยิ่งกว่าคนที่มีเงินทองกองเท่าภูเขาเสียอีก

เพราะเป็นความสุข

ที่ไม่ได้เกิดจากตัณหาความอยาก

 ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

ถ้ามีตัณหาแล้วต่อให้มีเงินทองกองเท่าภูเขา

ก็ยังจะอยากอยู่ตลอดเวลา

 เพราะไม่มีความพอนั่นเอง

 มีร้อยก็อยากจะได้เป็นพัน

 มีพันก็อยากจะได้เป็นหมื่น ก็อยากไปเรื่อยๆ

นี่คือธรรมชาติของตัณหา

แต่ถ้าไม่มีตัณหาแล้ว

 ความอิ่มก็จะเกิดขึ้นมาทันที

 ตัณหากับความอิ่มจึงเป็นเหมือน

ด้านทั้ง ๒ ด้านของเหรียญอันเดียวกัน

ด้านหนึ่งเป็นตัณหา อีกด้านเป็นความอิ่ม

ถ้าด้านตัณหาหงายขึ้นมา ก็จะมีแต่ความหิว

ถ้าพลิกกลับมาอีกด้านหนึ่งก็จะมีแต่ความอิ่ม

จิตของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ ๒ ด้าน หิวกับอิ่ม

 ถ้าปล่อยให้ความหิวคือตัณหาทำงาน ก็จะหิวไปตลอด

 ถ้าทำให้อิ่ม ก็จะไม่หิวกับอะไร ไม่อยากกับอะไร

มีความพอก็มีความสุข ไม่ต้องมีอะไรก็อยู่ได้

เพราะไม่มีอะไรทำให้จิตอิ่มหรือพอได้

นอกจากตัวจิตเองจะต้องพอ

 จะต้องพลิกจิตให้เข้าสู่ด้านอิ่มให้ได้

ส่วนใหญ่มักจะถูกกิเลสตัณหาหลอกให้ไปในด้านหิว

 เมื่อหิวแล้วได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

แต่ถ้าใช้ธรรมะมาดับตัณหาความอยาก

 ก็จะทำให้จิตอิ่มได้

 เราจึงต้องต่อสู้กับตัณหาความหิว

 ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยมรรค ๘

บำเพ็ญไปเรื่อยๆ ศีลก็รักษาไป

 สมาธิก็พยายามทำไป

ปัญญาก็พยายามพิจารณาไปเรื่อยๆ

พิจารณาเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย

เรื่องอสุภะ อสุภัง ความไม่สวยไม่งาม

ไม่ช้าก็เร็วก็จะค่อยๆซึมซาบเข้าไปในจิตในใจ

 จนกลายเป็นเครื่องมือต่อสู้กับตัณหาความอยากได้

เวลาเกิดความอยากขึ้นมา ก็จะถามตัวเองว่า

 จะอยากไปถึงไหน เดี๋ยวก็ตายแล้ว

 มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปไม่ได้

 ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว จะอยากไปหาอะไร

ความสุขต่างๆในโลกนี้ก็ได้ผ่านมามากต่อมากแล้ว

 ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริง

 ก็น่าจะให้ความอิ่มความพอกับเราแล้ว

 ถ้ายังไม่ให้ เวลากลับไปหาความสุขเหล่านี้อีก

ก็จะเป็นเหมือนเดิม ยังอยากไปเรื่อยๆ

 อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปีข้างหน้าก็ยังจะเป็นอย่างนี้

 ยังหิวแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ลองหันมาหาความสุข

แบบที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ จะไม่ดีกว่าหรือ

ความสุขที่เกิดจากความดับของความทุกข์

 ดับของตัณหา ดับของสมุทัย

นี่แหละคือวิธีสร้างความสุขที่แท้จริง

วิธีที่จะทำให้จิตใจอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลายได้

 ก็คือการเจริญมรรคนี่เอง

จึงเป็นเหตุให้ชาวพุทธต้องไปที่โน่นที่นี่

ไปวัดนั้นวัดนี้ เพื่อไปทำบุญทำทาน

ไปรักษาศีล ไปปฏิบัติธรรมกัน เพื่อสร้างมรรค

ซึ่งเป็นเหมือนกับยามารักษาโรคใจ

 มาทำลายเชื้อโรค

คือความอยากที่มีอยู่ภายในจิตใจ

 เมื่อได้เจริญมรรคไปเรื่อยๆแล้ว

ยาก็จะมีกำลังมากขึ้นไปๆ

 ก็จะทำลายเชื้อโรคคือตัณหาความอยากต่างๆ

ที่มีอยู่ในจิตในใจให้เบาบางลงไป จนหมดสิ้นไป

 ผู้บรรลุธรรมจึงบรรลุเป็นขั้นๆไป

 ตั้งแต่ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี

จนถึงขั้นพระอรหันต์

ก็อาศัยการเจริญมรรคเป็นขั้นๆไป

ขั้นแรกก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ขั้นต่อไปเมื่อมรรคมีกำลังมากขึ้น

ก็บรรลุขั้นสกิทาคามี แล้วก็ขั้นอนาคามี

จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด

ก็เกิดจากการบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง

เจริญมรรคอย่างต่อเนื่อง

 ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า

 มรรคต้องเจริญให้มาก

หน้าที่ของชาวพุทธจึงต้องปฏิบัติกิจ

ในพระอริยสัจ ๔ เป็นหลัก

ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า

ทุกข์ต้องกำหนดรู้ ต้องศึกษาอยู่เรื่อยๆ

 สอนใจอยู่เรื่อยๆว่า

 เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

 นี่คือการศึกษา เป็นการสอนใจ

ต้องศึกษาพระอริยสัจ

 ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ

 สมุทัยคือตัณหาทั้ง ๓

 มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ต้องละ

 แล้วก็นิโรธต้องทำให้แจ้ง

นิโรธก็คือการดับของทุกข์ ต้องทำให้ปรากฏขึ้นมา

 การที่จะทำให้นิโรธปรากฏขึ้นมาได้

ละตัณหาได้ ก็ต้องเจริญมรรคให้มาก

ด้วยการกำหนดรู้ทุกข์

 พิจารณาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 พิจารณาอสุภะอสุภัง ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา

 สนับสนุนด้วยสมาธิและศีล เราจึงต้องรักษาศีล

เมื่อมีศีลแล้ว เวลาบำเพ็ญสมาธิภาวนา

จิตก็จะสงบง่าย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว

 เวลาเราพิจารณาทางด้านปัญญาก็จะเห็นชัด

 จะมีกำลังระงับดับตัณหาได้

เมื่อระงับดับตัณหาได้แล้ว

นิโรธการดับทุกข์หรือวิมุตติ

การหลุดพ้นจากความทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นมา

นี่คือเป้าหมายของชาวพุทธเรา

 การปฏิบัติมาทั้งหมดนี้

ก็เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์

สามารถทำได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายไปแล้ว

ถึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระอริยสัจ ๔

 ในวันเพ็ญเดือน ๖ ในขณะที่

มีพระชนมายุเพียง ๓๖ พรรษา

 ยังไม่ได้เสด็จสวรรคต ก็บรรลุแล้ว

หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหมดแล้ว

 เพราะได้ทรงทำกิจในพระอริยสัจ ๔

 อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า

ทุกข์ที่ควรกำหนดรู้ ตถาคตได้กำหนดรู้แล้ว

 ตัณหาหรือสมุทัยที่ควรละ ตถาคตได้ละแล้ว

 นิโรธที่ควรทำให้แจ้ง ตถาคตได้ทำให้แจ้งแล้ว

 มรรคที่ควรเจริญให้มากตถาคตได้เจริญแล้ว

จนสมบูรณ์แล้ว

 เมื่อได้ทำกิจทั้ง ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

 วิมุตติคือการหลุดพ้นจากทุกข์

ก็เป็นผลที่จะตามมาต่อไป

 เมื่อได้เห็นผลนี้แล้ว

กิจทั้งหลายในโลกนี้ก็หมดสิ้นไป

กิจอื่นที่ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

เพราะจิตใจสะอาดหมดจดแล้ว

ไม่สร้างปัญหาให้กับเราอีกแล้ว

เหมือนกับคนที่หายจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว

ไม่มีความจำเป็นจะต้องรักษาอีกต่อไป

ไม่จำเป็นต้องมีหมอ ไม่จำเป็นต้องมียาอีกต่อไป

 เพราะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

มาเบียดเบียนอีกต่อไปนั่นเอง

นี่คือผลที่ชาวพุทธจะได้รับ

 จากการที่พยายามประพฤติปฏิบัติ

ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานขึ้นมา จนถึงขั้นสูงสุด

จากการทำบุญทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา

 นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา จนหลุดพ้นไปในที่สุด

 พวกเราจึงควรมีความแน่วแน่มั่นคง

มีความมั่นใจ ว่าสิ่งต่างๆ

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมานั้น

ล้วนเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล เป็นความจริงทั้งสิ้น

 และอยู่ในวิสัยของมนุษย์อย่างเราอย่างท่านทุกคน

 ที่จะสามารถบำเพ็ญได้

ข้อสำคัญขอให้อย่าท้อแท้เวลาที่เกิดความทุกข์

 หรือรู้สึกว่ายังปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเลย

ก็ขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

ระลึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า

ท่านก็เป็นเหมือนเรามาก่อน

ท่านก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ

 ล้มลุกคลุกคลานมาเหมือนกัน

ตอนที่เราเป็นเด็กเล็ก

ไม่ใช่ว่าจะลุกขึ้นมายืนเดินได้เลย

 ก็ต้องค่อยคลานไปก่อน พยายามทำไปเรื่อยๆ

 หัดไปเรื่อยๆ หัดคลาน หัดยืน หัดเดินไปเรื่อยๆ

 ไม่ช้าก็เร็วก็เดินได้วิ่งได้

จนทำอะไรต่างๆได้ในวันนี้

ซึ่งตอนที่เป็นเด็กเรายังทำไม่ได้

 แต่เนื่องจากมีความพยายาม

 มีความอดทน ไม่ท้อแท้

 พยายามฝึกไปเรียนไปเรื่อยๆ

จนสามารถทำสิ่งต่างๆได้ในวันนี้

เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติธรรม

วันนี้เรายังอยู่ในขั้นล้มลุกคลุกคลาน

 ทำบุญให้ทาน รักษาศีล นั่งสมาธิได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

ก็ขอให้ทำไป เพราะไปในทางที่ถูกแล้ว

มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น

ที่จะพาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้

 ให้ยึดทางนี้ไว้ให้ดี พยายามปฏิบัติไป

จนกว่าชีวิตจะหาไม่ รับรองได้ว่าสิ่งที่ดีที่งามต่างๆ

 ก็จะเป็นผลตามมาต่อไป

มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ

ในการปฏิบัติเท่านั้นเอง

จึงขอให้ท่านทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณา

 แล้วปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

กัณฑ์ที่ ๒๒๗ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘

 (จุลธรรมนำใจ ๑)

“หัวใจของคำสอน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 กรกฎาคม 2559
Last Update : 9 กรกฎาคม 2559 17:21:33 น.
Counter : 3168 Pageviews.

0 comment
### หัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า ###










“หัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า”

ความทุกข์ใจก็เป็นโรคอย่างหนึ่ง เป็นโรคจิตโรคใจ

 ในเบื้องต้นก็ต้องศึกษาหาสาเหตุเสียก่อนว่า

อะไรทำให้ใจทุกข์ ถ้าเป็นปุถุชนคนธรรมดา

ที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน

 ก็จะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นเหตุ

 ทั้งที่เป็นผู้สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา

 เพราะจิตใจมีความหลงครอบงำอยู่

ทำให้เห็นกลับตาลปัตรไป

คิดว่าเหตุที่สร้างความทุกข์อยู่นี้

เป็นเหตุที่สร้างความสุขให้กับเรา

 จึงสร้างแต่เหตุของทุกข์ขึ้นมา

 แล้วก็ต้องทุกข์ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัว

 แต่ถ้าได้มีโอกาสสัมผัสกับพระพุทธศาสนา

ได้ยินคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า

ก็จะได้ยินถึงพระอริยสัจ ๔ ที่เป็นหัวใจ

ของคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ถ้าใครถามว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร

 ก็ตอบได้เลยว่าตรัสรู้พระอริยสัจ ๔ นี่แหละ

เพราะการตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นเหตุ

ที่ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาสามัญ

 อย่างเจ้าชายสิทธัตถะกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา

เช่นเดียวกันกับปุถุชนคนธรรมดาสามัญ

อย่างเราอย่างท่าน ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน

ได้ยินพระอริยสัจ ๔ แล้วนำไปปฏิบัติ

ก็จะสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้

 สามารถอยู่เหนือความทุกข์ได้

เพราะพระอริยสัจ ๔ แสดงถึงต้นเหตุของความทุกข์

ซึ่งเปรียบเหมือนเชื้อโรค เมื่อรู้แล้วว่าเชื้อโรคชนิดนี้

 เป็นต้นเหตุของโรค ขั้นต่อไปก็ศึกษาดูว่า

จะทำลายเชื้อโรคนี้ให้หมดไปได้อย่างไร

ก็จะเข้าสู่พระอริยสัจข้อที่ ๔ คือมรรค

ที่เป็นเครื่องถอดถอนเหตุของความทุกข์ คือสมุทัย

ได้แก่ตัณหาทั้ง ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 มรรคมีองค์ประกอบอยู่ ๘ ส่วนด้วยกัน คือ

 ๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ

 ๒. สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ

 ๓. สัมมากัมมันโต การกระทำชอบ

๔. สัมมาวาจา วาจาชอบ

 ๕. สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

 ๖. สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

๗. สัมมาสติ การระลึกรู้ชอบ

 ๘. สัมมาสมาธิ

 ถ้าได้เจริญมรรคทั้ง ๘ ประการนี้ได้มากน้อยเพียงไร

 ก็จะสามารถทำลายเหตุของความทุกข์ได้มากน้อยเพียงนั้น

มรรคจึงเปรียบเหมือนยา

ที่หมอได้ศึกษาค้นคว้าหามารักษาโรค

เมื่อได้กินยาแล้วเชื้อโรคก็จะถูกทำลายไปหมด

 ก็จะหายขาดจากโรค เพราะโรคเกิดจากเชื้อโรค

 ที่จะหมดไปได้ก็ต้องอาศัยยาคือมรรค

 เมื่อเชื้อโรคคือสมุทัย ถูกมรรคทำลายหมดสิ้นไป

 ทุกข์ก็หายไป นิโรธความดับทุกข์ก็ปรากฏขึ้นมา

 นี่คือเรื่องของพระอริยสัจ ๔

ที่ทำงานอยู่ในจิตใจของสัตว์โลก

 ส่วนใหญ่จะถูกอริยสัจข้อที่ ๒ คือ

สมุทัยสัจจะรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา

เพราะมีตัณหาทั้ง ๓ อาศัยอยู่

 คือกามตัณหา ความอยากในกาม

ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

อยากตลอดเวลา ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่พอ อยากจะเสพสัมผัสไปเรื่อยๆ

เมื่อไม่ได้เสพสัมผัสก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

ทุกข์เกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ได้ทำตามความอยาก

 ถ้าได้ทำก็จะไม่ทุกข์ เลยทำให้สัตว์โลกกลับไปเห็นว่า

 ความอยากเป็นเหตุของความสุข

 เพราะเวลาอยู่บ้านจะรู้สึกว่าเศร้าสร้อยหงอยเหงา

 พอได้ออกไปเที่ยว ก็มีความสุข

แต่ไม่เคยคิดว่า ถ้าอยากไปเที่ยวแล้วไม่ได้ไป

 จะรู้สึกอย่างไร ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เป็นเรื่องที่สัตว์โลกมักจะไม่เห็นกัน

จะเห็นแต่เวลาได้ทำตามความอยาก

เวลาได้ทำก็ดีอกดีใจ แต่ไม่คิดถึงเวลาที่ไม่ได้ทำ

 หรือไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เช่นเวลาได้คู่ครองมา ก็จะมีความสุข

 แต่เวลาคู่ครองจากเราไป ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

 ก็จะต้องเกิดความเศร้าโศกเสียใจขึ้นมา

 ถ้าระงับความอยากไว้เสียแต่แรก

 คือเวลาอยากจะมีคู่ครอง แล้วเห็นด้วยปัญญาว่า

เป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข

สุขแบบนี้เป็นเหมือนน้ำตาลเคลือบยาขม

ไม่จีรังถาวรอะไร สู้อย่าไปมีเสียจะดีกว่า

เมื่อไม่มีคู่ครองก็จะไม่มีการพลัดพรากจากกัน

 เวลาอยู่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ต้องห่วงกัน

เวลามีคู่ครอง ก็จะมีความสุขตอนที่ได้กัน

 จากนั้นก็ต้องห่วงต้องกังวล

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจากกันไป ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง

 ขณะที่อยู่ร่วมกันก็ยังมีความทุกข์เลย

 ทุกข์ที่เกิดจากความกังวลห่วงใย

 แล้วเวลาที่ต้องจากกัน ก็จะต้องทุกข์

กับความเศร้าโศกเสียใจ

 ที่เกิดจากความอยากนั่นเอง

 ความอยากในกาม

อยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 ที่ถูกอกถูกใจ ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนแล้ว

 ก็จะรู้ว่า ความอยากแบบนี้เป็นเหตุ

ที่จะนำความทุกข์มาให้กับเรา

ควรยับยั้งต่อสู้อย่าปล่อยให้ลากพาไป

สิ่งที่จะยับยั้งได้ก็คือมรรคนี่เอง

มรรคเป็นเครื่องยับยั้งจิตใจได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ที่จะทำให้จิตนิ่งจิตสงบ ในขณะที่จิตสงบนิ่งอยู่

 ตัณหาความอยากต่างๆก็จะสงบนิ่งไปด้วย

ไม่มารบกวน จึงสามารถอยู่เฉยๆ

อยู่ตามลำพังของเราได้ ไม่มีคู่ครองก็ไม่รู้สึกว้าเหว่

 ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป

 แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีสติแล้ว

 สังขารความคิดปรุงก็จะทำงานไป

ตามอำนาจของตัณหา ที่มีฝังอยู่ในจิตในใจ

ก็จะคิดว่าอยู่คนเดียวรู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงา

อยากจะมีเพื่อน อยากจะมีคู่ครอง

 เมื่อมีความคิดอย่างนั้นแล้ว

ก็ต้องออกไปแสวงหาคู่ครอง

เมื่อได้มาแล้วก็ต้องเข้าสู่ความทุกข์ต่อไป

 เพราะเห็นๆกันอยู่แล้วว่า

คนที่มีคู่มักจะมีความทุกข์เสมอ

รูปลักษณะของความทุกข์ก็มีแตกต่างกันไป

บางคู่อยู่ร่วมกันด้วยความรัก

 ก็ต้องห่วงต้องกังวลกัน

 เวลาพลัดพรากจากกัน ก็เศร้าโศกเสียใจ

 บางคู่ก็อยู่ร่วมกันด้วยการทะเลาะวิวาทกัน

 ไม่ลงรอยกัน มีเรื่องมีราวกันตลอดเวลา

 อย่างนี้ก็ทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง

 เป็นความทุกข์เหมือนกัน

 ถ้าอยู่คนเดียว ก็จะไม่มีความทุกข์เหล่านี้

เพราะไม่ต้องทะเลาะกัน

 ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล

ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ

 แต่ที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ก็เพราะจิตขาดสัมมาสติ

 ขาดสัมมาสมาธินั่นเอง

ไม่สามารถทำจิตให้สงบ ให้นิ่ง ให้เย็นได้

 เมื่อจิตไม่นิ่ง ไม่เย็น ก็เกิดความรุ่มร้อน

เกิดความอยากต่างๆนานาขึ้นมา

จึงต้องสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นมาให้ได้

 จะมีสมาธิได้ก็ต้องมีสติ ที่จะดึงจิตไม่ให้ไปเพ่นพ่าน

 ไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ คือดึงให้อยู่ในปัจจุบัน

สัมมาสติคือการให้จิตรู้อยู่กับปัจจุบัน

 อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ไปอยู่ที่อื่น อยู่ที่นี่

 แต่ถ้าจิตไม่มีสติ ก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย

 คิดไปได้หมด เมื่อกี้ไปไหนมา เดี๋ยวจะไปที่ไหนต่อ

เมื่อวานนี้ไปทำอะไรมา เมื่อเช้านี้ได้ยินคนนั้นพูดอะไร

 ทำให้ไม่พออกไม่พอใจ ก็เก็บเอามาคิด

เก็บเอามาโกรธอยู่ในจิตอยู่ในใจ

 เพราะขาดสติคอยดูแลรักษาจิตใจ

ถ้ามีสติแล้วจะต้องรู้ทันทีว่า ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน

 อยู่ในปัจจุบันหรือไม่ หรือเถลไถลไปที่อื่นแล้ว

 ถ้ารู้ด้วยสติก็ดึงกลับมา

 ถ้ารู้ไม่ทัน ก็ต้องผูกจิตไว้กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

 เช่นพุทโธๆๆ ก็บริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ

ตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่คิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น

 ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิด

ถ้าเป็นพระก็จะไม่ค่อยมีเรื่องที่จะต้องคิด

 จึงควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธๆๆได้ตลอดเวลา

 ถึงแม้ในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ

ไม่ว่าจะกวาดถูศาลา ออกบิณฑบาต

ขบฉันก็พุทโธๆๆไปเรื่อยๆ ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

 ให้มีสติอยู่กับพุทโธๆๆไป

ถ้ามีสติอยู่กับพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ

ต่อไปจิตก็จะเป็นสมาธิขึ้นมา จิตจะตั้งมั่น

จะไม่ลอยไปลอยมา

ที่ลอยไปลอยมาเพราะเป็นเหมือนนุ่น

 มีลมพัดมานิดเดียว ก็จะปลิวไปทันที

จิตที่ไม่มีสมาธิจะเบาเหมือนนุ่น

 ไม่ได้เบาเพราะปราศจากกิเลสตัณหา

 เบาเพราะขาดความหนักแน่น

 เวลามีอารมณ์อะไรมากระทบ มาสัมผัส ก็ลอยไปแล้ว

 พอคิดเรื่องอะไรขึ้นมาปั๊บ ก็จะไหลตามไปทันที

 ถ้าจิตหนักแน่นด้วยสมาธิ จะไม่ไปง่ายๆ

เพราะมีสติคอยดึงเอาไว้ ไม่ให้ไป

ยกเว้นเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องคิด

 เพราะชีวิตของคนเรายังมีภารกิจการงาน

 ต้องทำงานทำการ ต้องออกบิณฑบาต

 ต้องรับประทานอาหาร ต้องทำภารกิจต่างๆ

 ก็ต้องคิดในเรื่องที่จำเป็น อย่างนี้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

แต่ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ

 จิตก็จะไหลไปตามอารมณ์ต่างๆที่มากระทบ

ทำให้ว้าวุ่นขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา

เพราะไปแบกเอาเรื่องราวต่างๆ

เข้ามาในจิตในใจนั่นเอง

 แทนที่จะปล่อยให้ผ่านไป กลับไปดึงกลับมา

 เช่นเวลาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกอกถูกใจ

 ทั้งๆที่พูดไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้ว

 หลายชั่วโมงผ่านไปแล้ว ก็ยังเอามาคิดอยู่ภายในใจ

 ทุกครั้งที่คิดก็เกิดความหงุดหงิดใจ

 เกิดความไม่พอใจขึ้นมา

 แล้วก็ไม่รู้จักวิธีทำให้ความคิดนั้นหายไป

ซึ่งง่ายนิดเดียวก็คือไม่ไปคิดถึงเรื่องนั้นเท่านั้นเอง

แต่ก็อดคิดไม่ได้ เพราะไม่เคยฝึกจิตนั่นเอง

 ไม่เคยควบคุมจิตให้อยู่ตามคำสั่ง

 จิตจะไปตามคำสั่งของเขา

 อยากจะคิดอะไรก็จะคิด

 ส่วนใหญ่ก็ชอบคิดในเรื่อง

ที่ทำให้เกิดความทุกข์นั่นแหละ

 เรื่องที่ไม่ควรคิดแต่ก็อดคิดไม่ได้

ถ้าได้ฝึกทำสมาธิอยู่เรื่อยๆ

ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

 เวลาคิดถึงเรื่องที่สร้างความทุกข์ขึ้นมา

 ถ้าเคยบริกรรมพุทโธๆๆ ก็บริกรรมพุทโธๆๆไป

ความคิดอื่นก็ไม่สามารถแทรกเข้ามาได้

เมื่อเข้ามาไม่ได้ ก็จะไม่รบกวนใจ

การปฏิบัติของสายปฏิบัติ จึงเน้นไปที่สติเป็นหลัก

 ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามควรจะมีสติ

มีความรู้สึกตัว รู้อยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่

กาย วาจาใจ กำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

 ถ้ามีสติแล้ว จะทำอะไรก็ไม่พลาด

พระทางสายปฏิบัติ เวลาทำงานกัน

จะทำกันอย่างรวดเร็ว

แต่จะไม่ค่อยพลาดพลั้งเผลอกันเท่าไหร่

เช่นจะไม่มีเสียงดัง ทำอะไรจะเงียบ

 แต่ถ้าเป็นฆราวาสแล้ว

ทำอะไรก็จะอึกทึกครึกโครมไปหมด

 เพราะทำโดยปราศจากสตินั่นเอง

 มีสติเหมือนกันแต่ไม่เข้มข้นพอ

 ที่จะเฝ้าดูทุกขณะจิตว่า

 กำลังเคลื่อนไหวไปทางไหน

 เช่นเวลาเช็ดช้อนเช็ดจาน

ไม่รู้ว่าตอนที่วางจานวางช้อนนั้น วางอย่างไร

แรงหรือค่อย เพราะสติไม่ละเอียดถึงขนาดนั้น

แต่ผู้ปฏิบัติจะมีสติละเอียดเข้าไปทุกขณะเลย

ขณะหยิบช้อนขึ้นมาเช็ด ขณะที่จะวางช้อนลงไป

 จะมีเสียงไม่มีเสียง จะมีสติรู้อยู่ตลอดเวลา

 การทำงานของพระปฏิบัติ

จึงทำได้อย่างรวดเร็วและเงียบสงบ ไม่มีเสียง

 เวลาคนไม่มีสติเข้ามาในสังคมนั้น

จะเปิดเผยตัวเองทันทีเลย

ทำอะไรก็ดังโครมครามๆไปหมด

 เปิดปิดประตู เปิดปิดหน้าต่าง ก็เป็นเสียงดังไปหมด

เพราะไม่เคยฝึกสติให้มีความละเอียดถึงขนาดนั้น

 แต่ถ้าได้เคยอยู่ในสำนักปฏิบัติแล้ว

 จะระมัดระวังมากเรื่องเสียง

 เพราะถือว่าการกระทำต่างๆต้องเงียบ ต้องสงบ

 เป็นการฝึกสติไปในตัว

 หลักของการปฏิบัติไม่ได้ต้องการความเงียบเป็นผล

 แต่ต้องการสติ ต้องการสมาธิเป็นหลัก

 การทำงานต่างๆก็เพื่อฝึกสติ ฝึกจิตเป็นหลัก

 เพราะเมื่อสามารถควบคุมจิตใจ

ให้เป็นไปตามคำสั่งได้แล้ว

ก็จะสามารถระงับการกระทำของจิตในทางที่ไม่ดีได้

 เช่นเวลาเกิดตัณหาขึ้นมา ก็สามารถระงับดับมันได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

กัณฑ์ที่ ๒๒๗ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘

(จุลธรรมนำใจ ๑)

“หัวใจของคำสอน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 กรกฎาคม 2559
Last Update : 8 กรกฎาคม 2559 10:20:59 น.
Counter : 745 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ