Group Blog
All Blog
### ระบบไร้สาย ###



















“ระบบไร้สาย”

สมัยนี้สะดวกสบาย ใช้ระบบไร้สาย

 ใจเราก็ใช้ระบบไร้สายเหมือนกัน

 แต่ตอนนี้เราต้องใช้ร่างกาย เป็นสายติดต่อกัน

 ถ้าไม่มีร่างกายก็ติดต่อกันไม่ได้

นอกจากพวกที่เขาเข้าระบบไร้สาย

พวกที่เขาฌานเข้าสมาธิ เขาก็สามารถติดต่อกับจิตได้โดยตรง

 ไม่ต้องใช้ร่างกาย เช่นคนอ่านวาระจิตของผู้อื่นได้

 ก็สามารถรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้

 โดยที่ไม่ต้องให้ผู้อื่นเขาพูดออกมาว่ากำลังคิดอะไร

 นี่ก็เป็นเหมือนระบบไร้สาย

การเข้าสมาธิก็เป็นการเข้าระบบไร้สาย คือไม่ต้องใช้ร่างกาย

ร่างกายนี้เป็นเหมือนสายไว้สำหรับติดต่อ

เรามีร่างกายไว้สำหรับติดต่อกับจิตของผู้อื่น

 จิตของผู้อื่นก็ต้องมีร่างกาย อย่างเช่นตอนนี้

จิตของเราติดต่อกันผ่านร่างกายของเรา

 จิตพูดออกมาทางปาก แล้วก็เข้าไปในทางหู

ของจิตอีกท่านหนึ่ง แล้วพอเข้าไปในหูก็ส่งไปที่วิญญาณ

 วิญญาณก็คือขันธ์ ๕ ขันธ์ที่เป็นอาการของจิต

วิญญาณเป็นผู้รับรู้ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ที่เข้ามาสัมผัสกับตาหูจมูกลิ้นกาย

พอเข้าไปที่วิญญาณแล้ว วิญญาณก็ส่งไปให้ที่สัญญา

สัญญาต้องแปลความหมายว่า เป็นรูปอะไร เป็นเสียงอะไร

 เช่นเห็นภาพ สัญญาก็ต้องดูว่า

ภาพนี้เคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า

 เห็นคนนี้ เคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า

 ถ้าเห็น ก็จะจำได้ว่าชื่ออะไร อย่างนี้เรียกว่าสัญญา

 หรือเห็นรูปแล้ว ก็ดูว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นเดรัจฉาน

 เป็นหญิงหรือเป็นชาย เป็นศัตรูหรือว่าเป็นมิตร

 อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของสัญญา

 พอสัญญาบอกว่าเป็นมิตร ก็เกิดเวทนาขึ้นมา

เกิดสุขเวทนา เกิดความดีใจ

 ถ้าสัญญาบอกว่าเป็นศัตรู ก็จะเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา

 เกิดความไม่สบายใจทุกข์ใจ

 พอเกิดความไม่สบายใจ ก็เกิดสังขารความคิดปรุงแต่ง

 ถ้าไม่สบายใจก็จะทำอย่างไรดี

จะทำให้สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจหายไป

 อาจจะเดินหนีไปดี หรือว่าทำลายสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ

 ถ้าเป็นมิตรก็ดีใจ สังขารก็คิดปรุงแต่งว่าทำอย่างไร

 ให้สิ่งที่เราดีใจอยู่ไปนานๆ อันนี้ก็เป็นสังขาร

ความคิดปรุงแต่ง ถ้าคิดไปในทางความอยาก

 ก็จะเกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา

ถ้าคิดว่าของดีอยากได้อยากให้อยู่กับเราไปนานๆ

พอไม่ได้ก็เสียใจ หรือพอได้มาแล้ว

พอเขาจากเราไปก็เสียใจ เช่นเดียวกับสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ชอบ

พอเห็นแล้วรับรู้แล้ว ก็อยากจะให้เขาหายไป

 พอเขาไม่หายไปก็วุ่นวายใจ

ถ้าได้พบกับพระพุทธศาสนา ท่านก็จะสอนว่า

การชอบหรือการชังนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเป็นอันตรายต่อใจ

 เพราะจะทำให้เกิดตัณหาความอยาก

สังขารความคิดปรุงแต่ง จะปรุงไปตามความอยาก

 ถ้ารักก็อยากได้ ถ้าชังก็อยากหนี ถ้ากลัวก็อยากจะหนี

ถ้าหลงก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อาจจะรัก

แต่รักในสิ่งที่เป็นอันตรายกับตน

 เช่นเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เรียกว่าหลง

พอไปได้มาก็ต้องทุกข์ใจ เพราะมันเป็นทุกข์ไม่เป็นสุข

หรือเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง อันนี้ก็เป็นทุกข์

เพราะคิดว่าสิ่งนั้นจะอยู่กับเราไปตลอด

 พอสิ่งนั้นเขาจากไป ก็เสียใจทุกข์ใจ

หรือเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราของเรา ก็ไปยึดติด

 ไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอเขาไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ทุกข์ใจ

นี่คือความเห็นผิดเป็นชอบ

สัญญา เวลาเห็นอะไรแล้ว อย่าเห็นให้เกิดความรัก

 เกิดความชัง เกิดความกลัว เกิดความหลง

วิธีที่จะทำให้เห็นแล้วไม่เกิดความรัก เกิดความชัง

 เกิดความหลง เกิดความกลัว ก็ต้องเห็นว่า

 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง

ทุกอย่างที่วิญญาณไปสัมผัสรับรู้เป็นทุกข์

 เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา

 นี่คือการแก้ความหลง แก้ความรัก แก้ความชัง แก้ความกลัว

 สัญญาของเราตอนนี้ มันเป็นสัญญาของอวิชชาโมหะ

 คือเห็นผิดเป็นชอบ จำผิด จำสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

จำสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง จำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราของเรา

ว่าเป็นตัวเราของเรา พอเกิดความจำผิด

ก็เกิดความคิดปรุงแต่งที่ผิด คิดอยากจะให้อยู่นานๆ

อยากจะให้ความสุขกับเรา

อยากจะให้เป็นไปตามความต้องการ

ตามความอยากของเรา นี่คือความทุกข์ใจที่เกิดจากสัญญา

 ความจำผิด จำไม่ตรงกับความเป็นจริงนั่นเอง

เช่นเห็นร่างกายก็เห็นว่า เป็นมนุษย์ เป็นคน

เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีเป็นภรรยา

เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นนาย ก. นาย ข.

เป็นนายกฯ เป็นประธานาธิบดี เป็นมหากษัตริย์

ความจริงสิ่งที่เราเห็นนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

สิ่งที่เป็นก็คือ เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เกิดแก่เจ็บตาย

 อาการ ๓๒ ผมขนเล็บฟันหนัง เนื้อเอ็นกระดูก

เยื่อในกระดูก ม้ามหัวใจตับ พังผืดไตปอด

ไส้ใหญ่ไส้น้อย อาหารใหม่อาหารเก่า

 เยื่อในสมองศีรษะ น้ำดีน้ำเสลด น้ำเหลืองน้ำเลือด

 น้ำเหงื่อน้ำมันข้น น้ำตาน้ำมันเหลว น้ำลายน้ำมูก

 น้ำไขข้อน้ำมูตร นี่คืออาการ ๓๒ ส่วนที่แข็งก็เป็นธาตุดิน

 ส่วนที่เหลวก็เป็นธาตุน้ำ ส่วนที่ร้อนก็เป็นธาตุไฟ

 ส่วนที่ลอยเข้าลอยออกก็เป็นธาตุลม

เราไม่เห็นความจริง เราไปเห็นความไม่จริง

 คือเราไปเห็นสมมุติกัน เห็นร่างกายนี้

เห็นป้ายที่ติดไว้ที่ร่างกายนี้ว่า ชื่อนาย ก. ชื่อนาย ข.

มีฐานะเป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี

 เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง

 แต่สิ่งที่เราเห็นนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราถูกสอนให้เห็นกัน

 อันนี้เป็นเพียงสถานภาพของเขา

 แต่ความจริงของเขานี้คือ เขาเป็นดินน้ำลมไฟ

 เป็นอาการ ๓๒ เขาเกิดแก่เจ็บตาย

 ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ของใครก็ตาม

ของพ่อของแม่ ของสามีของภรรยาของบุตรของธิดา

 ก็เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ตัวสามี ไม่ใช่ตัวภรรยา

 ไม่ใช่ตัวพ่อตัวแม่ ตัวพ่อตัวแม่ก็คือใจที่มาครอบครองร่างกายนั้น

 ใจที่มาครอบครองร่างกายนั้น ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

 เวลาร่างกายตายไป ใจดวงนั้นไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 ใจดวงนั้น ถ้ายังมีความหลงอยู่ ก็ไปหาร่างกายอันใหม่

 มาหาความสุขต่อ เพราะยังต้องการดูรูป ฟังเสียง

ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ร้อนที่หนาว ที่นุ่มที่แข็ง

 ก็ต้องมีร่างกาย มีตาหูจมูกลิ้นกาย

แต่ถ้าเห็นว่าการเกิด การได้ร่างกายนี้เป็นทุกข์

เพราะว่าจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

ถ้าหยุดความต้องการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ หาความสุขได้

ก็ไม่ต้องไปหาร่างกายอันใหม่ นี่คือใจของผู้ที่ฉลาด

 ใจของผู้ที่เห็นอริยสัจ ๔ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 เห็นว่าร่างกายเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เป็นทุกข์

ทุกข์เพราะความแก่ความเจ็บความตาย

ที่เกิดจากความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

 แต่ตราบใดที่มีร่างกาย ที่มีการเกิด

ตราบนั้นก็ต้องมีการแก่มีการเจ็บมีการตายไปเป็นธรรมดา

 ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

ถ้าไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย ก็อย่ามาเกิดเท่านั้นเอง

ถ้าไม่มีร่างกายแล้ว ก็ไม่มีร่างกายที่จะแก่จะเจ็บจะตาย

ก็ใช้ระบบไร้สายกันไป ใจไม่ต้องมีร่างกาย

ใจก็สามารถติดต่อกับใจดวงอื่นได้

พระพุทธเจ้าติดต่อกับเทวดาได้

หลวงปู่มั่นติดต่อกับเทวดาได้ ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ใจเข้าสมาธิเข้าสู่ความสงบ แล้วใจก็สามารถรับสัญญาณ

 กระแสจิตของจิตดวงอื่นได้ สนทนาติดต่อกันได้

โดยใช้จิตต่อจิต ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้ระบบสาย

 เพราะสายนี้มันไม่เที่ยง สายนี้มันขาดได้

 เช่นโทรศัพท์แถวนี้มักจะขาดอยู่เรื่อย

 สายถูกขโมยมาตัดเอาไปขาย ชั่งน้ำหนักขาย

ขโมยก็พวกติดยาเสพติด เวลาเกิดกามตัณหา

อยากจะเสพยาเสพติด ไม่มีเงินซื้อ ก็ไปตัดสายโทรศัพท์

 เพื่อเอาไปขาย จะได้เอาเงินไปซื้อยาเสพติดมาเสพต่อ

 นี่คือระบบที่ต้องใช้สาย พอสายขาดก็ติดต่อกันไม่ได้

 พอร่างกายตายไป ก็ติดต่อกับบุคคลนั้นไม่ได้

 เวลาพ่อแม่ตายไปก็ไม่สามารถติดต่อกับพ่อแม่ได้

ถ้าใช้ระบบร่างกาย ถ้าใช้ระบบจิตต่อจิตก็ยังติดต่อกันได้

เข้าสมาธิกันก็สามารถติดต่อกันได้

แต่ก็ต้องหมุนคลื่นให้ตรงกัน ถึงจะรับสัญญาณกันได้

 เช่นเครื่องขยายเสียงแต่ละบริษัทนี้

 เขาก็มีคลื่นสัญญาณไม่เหมือนกัน

 แล้วเอาต่างบริษัทมาใช้ ก็ใช้รับสัญญาณกันไม่ได้

ต้องเอาของบริษัทเดียวกัน และคลื่นอันเดียวกันถึงจะใช้ได้

 จิตที่จะติดต่อกัน ก็จะต้องมีสัญญาณคลื่น

ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถึงจะติดต่อกันได้

คือใจต้องมีความผูกพันต่อกัน

 เช่น พระพุทธเจ้ามีความผูกพันต่อพระพุทธมารดา

สามารถส่งสัญญาณหาจิตของพระพุทธมารดาได้

 ในสวรรค์ สามารถติดต่อกันสนทนาธรรมกัน

 สั่งสอนธรรมกันได้ จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

 เทวดาก็บรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ใช่แต่มนุษย์

เพียงแต่ว่าต้องมีผู้ที่สอนที่มีความสามารถ

ที่จะติดต่อกับเทวดาได้ พระอรหันต์บางรูปท่านก็มีพลังจิต

ที่สามารถติดต่อกับเทวดาได้ บางรูปก็ไม่สามารถติดต่อได้

อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่วาสนาบารมี ของแต่ละท่าน

บางท่านเคยบำเพ็ญวาสนาบารมีมาทางนี้

 พอจิตสงบก็สามารถรับรู้เรื่องราวของกายทิพย์ได้

สามารถติดต่อกับกายทิพย์ สามารถสนทนากับกายทิพย์ได้

 สามารถสั่งสอนกายทิพย์ได้ นี่คือเรื่องของจิตที่ไม่มีวันตาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

กัณฑ์ที่ ๔๕๘ ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖

“ระบบไร้สาย”










ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 เมษายน 2559
Last Update : 25 เมษายน 2559 20:02:07 น.
Counter : 586 Pageviews.

0 comment
### วิธีทำให้ใจพอก็ต้องทำให้มันนิ่ง ###
















“วิธีที่จะทำให้ใจพอ ก็ต้องทำให้มันนิ่ง”

ของทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นของชั่วคราว

 เหมือนอยู่ในความฝัน เมื่อคืนนี้นอนหลับแล้วฝันว่า

 เราเป็นโน่นเป็นนี่มีโน่นมีนี่ พอตื่นขึ้นมาหายไปหมดแล้ว

สิ่งที่เรามีอยู่เป็นอยู่ทุกวันนี้เดี๋ยวมันก็หายไปหมด

 เดี๋ยวร่างกายก็หายไป เดี๋ยวร่างกายก็กลายเป็นขี้เถ้าไป

 สมบัติที่หามาได้ก็กลายเป็นของคนอื่นไป

เอาอะไรไปไม่ได้ เอาไปแต่ความอยากความหิว

เพราะไม่รู้จักทำให้มันอิ่มนะซิ ไม่รู้จักทำให้มันพอ

มีแต่หิวอยู่เรื่อยๆ มีแต่ทำให้มันอยากอยู่เรื่อยๆ

 มันอยากได้อะไรก็หามาให้มัน วิธีที่ทำให้มันอยาก

 พอหามาได้แล้วเดี๋ยวมันก็อยากอีก

 วิธีที่จะทำให้มันพอก็ต้องไปหามา

 ถ้าพอแล้วก็ไม่ต้องหาใช่ไหม

 ถ้ายังหาก็แสดงว่ายังไม่พอ

ก็อย่าไปหามันซิ บอกพอแล้ว

วิธีจะทำให้พอก็ต้องทำให้มันนิ่ง พุทโธๆไป ทำใจให้นิ่ง

ใจนิ่งแล้วมันจะพอแล้วมันก็ไม่ต้องไปหาอะไรมา

 ให้มันเหนื่อยยาก เพราะว่าต่อให้หามาได้เท่าไหร่

 มันก็ไม่พออยู่นั่นแหละ

หามาได้ ๑๐๐ ล้าน ๑,๐๐๐ ล้านก็ไม่พอ

 หาแฟนได้มาสักร้อยคนสองร้อยคนก็ไม่พอ

 มันได้มาเดี๋ยวเดียวมันก็เบื่อแล้ว

 เห็นไหมคนรวยๆ นี้บางทีมีแฟนเป็นสิบเป็นร้อย

ฮาเร็ม เจ้าชายมีฮาเร็ม

พระพุทธเจ้าก็มีปราสาท ๓ ฤดู

แต่ทรงเห็นว่ามันไม่มีความสุข

มันสุขปลอม สุขเดี๋ยวเดียว

 ได้มาแล้วก็เบื่อ ยิ่งไปเห็นคนแก่

 คนเจ็บ คนตายยิ่งกลัวใหญ่

 ต่อไปแก่ เจ็บ ตายก็ทำไม่ได้

หาความสุขแบบนี้ไม่ได้แล้ว ถ้ายังมีความอยากอยู่

 เวลาแก่อยากจะไปเที่ยวก็ไปไม่ไหว

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ไหว ทำอะไรไม่ได้ ใจก็ร้อน

 ใจก็เป็นไฟขึ้นมา เพราะไม่ได้ทำตามความอยาก

ถ้าได้ทำก็ไม่พอ ทำมาเรื่อยๆ ทำมาตั้งแต่วันเกิด

 จนถึงวันนี้มันก็ยังไม่พอ

 ต้องหยุดมันเท่านั้นถึงจะทำให้มันพอ

 วิธีหยุดมันก็พุทโธๆไป นั่งหลับตาก็พุทโธๆไป

ถ้าพุทโธไปได้เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็สงบ

สงบแล้วก็หายอยาก

นี่คือเรื่องของใจ ตราบใดมีความอยาก

ตราบนั้นมันก็จะร้อน

เพราะบางทีอยากแล้วไม่ได้ก็โกรธ

อยากให้เขาทำไอ้โน่นไอ้นี่ให้หน่อย

พอเขาไม่ทำก็โกรธเขานะอย่ามาทำตามความอยาก

ต้องฝืนความอยากกัน หยุดความอยากกัน

 นี่มาอยู่วัด นุ่งขาวห่มขาวนี้เพื่อหยุดความอยากรู้เปล่า

 อยากนอนกับแฟนก็ไม่ได้นอนแล้ว คืนนี้ห้ามนอน

 ถือศีล ๘ อยากกินข้าวเย็นก็ไม่ให้กินแล้ว

อยากดูหนังฟังเพลงดูละครก็ไม่ให้ดูแล้ว

อยากจะไปงานเลี้ยง

อยากจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ก็ไม่ให้ไปแล้ว

 พระพุทธเจ้าสอนให้เรามาถือศีล ๘

 ก็เพื่อมาหยุดความอยากต่างๆนี้

ต้องพยายามถือไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ถือแต่ ๗ วัน

กลับบ้านไปก็ไปอยากเหมือนเดิม

แล้วมันได้อะไร มาหยุดแค่ ๗ วัน

แล้วกลับไปอยากอีก ๓๐ วัน

 เอามาซ้อม มาทำ ๗ วัน

แล้วพอกลับไปบ้านก็กลับไปทำต่อ

 เข้าใจบ่ ไม่ใช่พอกลับไปบ้านก็เลิก

 อยู่วัดอย่างไรกลับไปบ้านก็อยู่อย่างนั้น

 ไม่กินข้าวเย็นต่อ กลับไปจากวัดนี้ก็อย่าไปกินข้าวเย็น

 อย่าไปนอนกับแฟน อย่าไปดูละคร

 อย่าไปงานเลี้ยงไปเที่ยว อย่าไปนอนบนฟูกหนาๆ

 เตียงใหญ่ๆ นอนบนพื้นไม้เเข็งนี้จะได้นอนไม่มาก

 นอน ๔-๕ ชั่วโมงก็พอ

นอนมากๆ ก็อิ่มหมีพีมันเหมือนหมู

 หมูยังมีราคา คนไม่มีราคารู้เปล่า

 คนเวลาตายนี้เอาไปขายไม่ได้

เนื้อหนังมังสา ทำแต่หมูนี้ยิ่งอ้วนเท่าไหร่ยิ่งดี

 เขาถึงบอกว่า ช้าง ม้า วัว ควาย อ้วนนี้ดี

แต่นักบวช นักปฏิบัติธรรมนี้อ้วนไม่ได้

พระราชาก็อ้วนไม่ดี นางงามก็อ้วนไม่ดี

 แต่ถ้าพวกสิงสาราสัตว์ล้างม้าวัวควายนี้ต้องอ้วน

 ถึงจะได้ไปทำงานได้ ผอมแล้วมันไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง

เราเป็นนักบวช เราอย่ามาทำให้ร่างกายมันอ้วน

อ้วนแล้วมันเป็นผลจากกิเลสรู้เปล่า

 เกิดจากความอยากกินนี่แหละ กินไม่รู้จักจบ

กินไม่รู้จักพอ กินไปเรื่อยๆ มันก็อ้วนนะซิ

ลองไปถือศีล ๘ ที่บ้านดูนะ ต่อไปนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็น

ไม่ตายหรอก มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ตายแล้วกลับไปทำไม

กินมันทำไม จะได้มีเวลามานั่งสมาธิได้

นั่งสมาธิจะได้ไม่ง่วงนอน

กินข้าวเย็นนี้มันก็จะกว่าจะนั่งสมาธิได้ก็ต้องรอ

 ให้กินข้าวเย็นเสร็จก่อน

พอกินเสร็จมันก็ง่วงนอนแล้วแหละ

 ท้องอิ่ม มันก็ง่วงนอน พอจะหายง่วง

ก็ถึงเวลานอนอีกแล้ว

ถ้าไม่กินข้าวเย็น บ่ายๆ ตอนนี้ก็หายง่วงแล้ว

 ท้องว่างแล้วทีนี้ก็นั่งสมาธิไปได้

ก่อนถึงเวลานอน ปฏิบัติธรรมได้

ทำใจให้สงบทำใจให้พอดีกว่าใจอิ่มแล้วสบาย

ไม่ต้องกินไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องวุ่นวาย

ถ้าใจไม่อิ่มนี้โอโห มันวุ่นวายหาอะไรมากิน

หาอะไรมาดู หาอะไรมาฟังอีก ดูเท่าไหร่ ฟังเท่าไหร่

ดื่มเท่าไหร่ กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ

เราต้องมาหยุดความอยากกัน หยุดความคิด

ความอยากมันใช้ความคิดเป็นผู้นำ

พอคิดถึงขนมก็อยากกินแล้ว

 พอคิดถึงละครก็อยากดู

 แต่ถ้าไม่คิดมันก็จะไม่มีความอยาก

 มันจะคิดให้มันคิดพุทโธๆไป

 ถ้าคิดอยู่กับพุทโธแล้วจะไม่มีอะไรอยาก

 จะไม่อยาก ไม่อยากแล้วก็จะสบาย

ความอยากนี้เป็นเหมือนกับหนามทิ่งแทงหัวใจ

พอโดนหนามแทงทีมันก็เจ็บ

 อยู่เฉยๆ แล้วมันก็หงุดหงิด

ลองนั่งอยู่เฉยๆ ดูซิ แล้วสังเกตดูว่า

ความอยากมันโผล่ขึ้นมาหรือยัง

เวลามันอยากนี้มันจะนั่งไม่สบายแล้ว

เบื่อแล้วอยากจะลุกแล้ว

 แต่ถ้าหยุดความคิดได้ทำให้มันสงบได้มันอยู่เฉยๆได้

 สบาย มีความสุข นั่งนานเท่าไหร่

อยู่ที่ไหนนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อ

 ความเบื่อมันเกิดจากความอยาก อยากเปลี่ยนที่

เห็นของเก่ามันจำเจ มันก็เลยเบื่ออยากได้ของใหม่

ถ้าไม่ได้อยากได้ของใหม่มันก็ไม่เบื่อ

 ถ้าใจสงบแล้วมันจะไม่เบื่อ

 มันจะสบายไม่ว่าอยู่ที่ไหนมันสบาย

ใจสบายแล้วอยู่ที่ไหนก็เป็นสวรรค์ทั้งนั้น

ถ้าใจไม่สบายอยู่ที่ไหนก็เป็นนรก

ความไม่สบายใจก็คือนรก

 ความร้อนใจความวุ่นวายใจต่างๆ

 เราต้องมาฝึกสติกันให้มากๆ

สตินี้เป็นตัวที่จะหยุดใจได้

หยุดความคิดหยุดความอยากได้

 พุทโธๆ ไปเถิด ลองหัดพุทโธๆไปเรื่อยๆ

ตื่นขึ้นมาก็พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ

ยิ่งมาอยู่คนเดียวนี้สบาย

ไม่ต้องพูดไม่ต้องคุยกับใคร

ไม่ต้องทำอะไรทำแต่พุทโธๆ ไป

 แล้วเวลานั่งก็พุทโธไปเดี๋ยวก็สงบ

สงบแล้วก็เย็นสบายเหมือนเข้าห้องแอร์

 ร่างกายร้อนแต่ใจเย็น ใจเหมือนได้เข้าห้องแอร์

แต่กว่าเอาร่างกายเข้าห้องแอร์แต่ใจร้อน

อยู่ในห้องแอร์ ร่างกายเย็นแต่ใจนี้ร้อนเป็นไฟ อยู่ไม่ได้

ต้องออกจากห้องไปข้างนอกไปที่ไหนก็ได้

 อยู่แล้วอึดอัด ฟุ้งซ่าน

นี่คือเรื่องของใจที่พวกเราแทนที่จะคอยหยุดมัน

กลับไปเสริมมันไปผลักมันไปดันมัน

 ให้มันไป ไปเอาโน่นเอานี่

 จนมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้อยู่ไม่เป็นสุข ต้องมีนี่ทำต้องมีนี่ดู

 ดูแล้วก็เบื่อเดี๋ยวก็เปลี่ยน เบื่อแล้วก็ไปทำอย่างอื่น

 ทำอย่างอื่นเบื่อก็ไปทำอย่างอื่นอีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกนี้ทำไปเท่าไหร่ มันก็ไม่มีวันอิ่ม

 ไม่มีวันพอ มีอย่างเดียวที่จะทำให้มันอิ่มมันพอ

ก็คือ พุทโธไปนี่แหละ พุทโธๆไป เดี๋ยวมันก็สบาย

 พอจิตสงบนี้เหมือนเสียงต่างๆ เงียบลง

ค่อยๆ เงียบลงแล้ว จิตสงบบางทีมันก็สงบอย่างนี้

 นิ่งแล้ว เสียงหายไปหมดแล้ว

 เวลาจิตสงบข้างในใจนี้จะเงียบ

 เวลาไม่สงบเหมือนอยู่ในห้อง

มีคนคุยกันเยอะแยะ ไปหมดเลย

 ความคิดนี้เป็นเหมือนเสียงอยู่ในใจเรา

พอมันสงบแล้วเสียงมันหายไปเลย ต้องทำนะ

ไม่มีใครทำให้เราได้ มันไม่ยากหรอก อย่าขี้เกียจ

ขยันพุทโธๆไปเถิดแล้วจะได้ไม่ต้องไปมีอะไร

 ไม่ต้องมีแฟนไม่ต้องไปมีอะไรต่างๆ

มีแล้วเดี๋ยวก็ต้องมาร้องไห้ เสียใจ

เดี๋ยวแฟนทิ้งก็เสียใจอีก

แฟนไปมีใหม่ก็เสียใจ ทะเลาะกับแฟนอีก

อยู่คนเดียวไม่ต้องทะเลาะกับใครสบายกว่า

 ทะเลาะกับตัวเอง ทะเลาะกับกิเลส ทะเลาะกับความอยาก

 มันอยากจะทำโน่นทำนี่ทำไม่ได้ อยากจะนอน

วันนี้ถือศีล ๘ นอนกับแฟนไม่ได้

อยากจะกินข้าวเย็นกินไม่ได้

ต้องมีศีลมันถึงจะมีอะไรไว้ต่อสู้กับความอยาก

ไม่งั้นมันจะไหลไปเรื่อย

คนถือศีล ๕ นี้หยุดความอยากไม่ได้

ถือศีล ๕ นี้กินข้าวเย็นได้ นอนกับแฟนได้ ไปเที่ยวได้

 แต่สู้คนถือศีล ๘ ได้ คนถือศีล ๘ ได้ใจจะสงบกว่า

ใจจะเย็นกว่าคนที่ถือศีล ๕

 คนที่ถือศีล ๕ ก็ดีกว่าคนที่ไม่ถือศีลเลย

 คนที่ไม่ถือศีลเลยนี้จะร้อน เดี๋ยวก็ไปขโมยทรัพย์ของคนอื่น

 เดี๋ยวก็ไปประพฤติผิดประเวณี เดี๋ยวก็ไปโกหกหลอกลวง

 ไปฆ่าไปฟัน คนที่มีศีล ๕ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนที่ไม่มีศีล ๕

แต่คนที่มีศีล ๘ นี้ดีกว่าคนที่มีศีล ๕

เพราะหยุดความอยากได้มากกว่า

คนที่มีสมาธิยิ่งมีความสุขยิ่งกว่าคนที่มีศีล ๘

เพราะเวลามีสมาธินี้มันหยุดทุกตัวเลย

หยุดความอยากได้หมดเลย

แต่มันก็หยุดแบบหินทับหญ้าพอออกจากสมาธิมา

เดี๋ยวก็อยากขึ้นมาใหม่

ถ้าจะให้มันหายไปเลยต้องใช้ปัญญา

 เวลามันอยากถามว่าอยากได้อะไร

ได้มาแล้วสุขหรือทุกข์กันแน่

ได้มาแล้วมันจะอยู่กับเราไปตลอดหรือเปล่า

มันจะไม่เสื่อมหรือเปล่า ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อม

เสื่อมแล้วก็เสียใจ ซื้อของมาแล้วของมันเสีย

ก็ไม่สบายใจไม่พอใจ หรือได้อะไรมาแล้ว

ถูกเขาขโมยไปแล้วก็เสียใจ

ของต่างๆ ที่ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องเสียมันไป

 เสียไปแล้วก็เสียใจทุกข์ใจ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องเสียใจ

ไม่ต้องทุกข์ใจ เพราะไม่มีอะไรจะเสีย

ความว่างนี้แหละ คือความสุขที่แท้จริง

ความไม่มีอะไรนี้เป็นความสุข เพราะไม่มีความทุกข์

ถ้ามีแล้วมันต้องทุกข์ มีอะไรก็ต้องทุกข์กับเรื่องนั้น

 มีเงินก็ต้องทุกข์กับเรื่องเงิน

มีแฟนก็ต้องทุกข์กับเรื่องแฟน

 มีข้าวของอะไรต่างๆก็ต้องทุกข์กับมัน

เวลาไม่มีแล้วมันก็ไม่ต้องทุกข์ สบาย

 มาอยู่วัดนี้ไม่ให้มีอะไร ให้มีแค่ปัจจัย ๔ พอแล้ว

 มีที่อยู่อาศัย มีเครื่องนุ่งห่ม

มีชุดขาว ๒-๓ ชุดก็พอแล้วไว้เปลี่ยน

 แก้วแหวนเพชรนิลจินดา ไม่ต้องมีไม่ต้องเอาติดตัวมา

 ใส่ไปทำไม ใส่ไปให้หนักนิ้วหนักคอเปล่าๆ

 ดีไม่ดีเดี๋ยวก็ถูกเขากระชากไปอีก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 เมษายน 2559
Last Update : 24 เมษายน 2559 11:33:48 น.
Counter : 1011 Pageviews.

1 comment
### ทางของพระพุทธเจ้านี้ตรงที่สุดแล้ว ###
















“ทางของพระพุทธเจ้านี้ตรงที่สุดแล้ว”

ไม่ถามทางลัดหรือ หาเจอหรือยัง??

ทางลัดเจอแล้วแต่ไม่ยอมเดิน แล้วจะมีลัดกว่านี้อีกหรือ

ไม่มีแล้ว ทางระหว่างจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งนี้

ทางสั้นที่สุดคืออะไร “ทางตรง” ใช่ไหม???

เส้นตรงใช่ไหม เส้นตรงคือทางที่สั้นที่สุด

ถ้าเส้นมันโค้งมันเว้านี้มันจะยาวขึ้นไป

 ดังนั้นทางของพระพุทธเจ้านี้ตรงที่สุดแล้ว

สวากขาโต ภควตา ธัมโมนี้ ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว

ตรงกับความจริงทุกประการแล้วไม่มีอะไรจะตรงกว่านี้แล้ว

จะให้สั้นกว่านี้ไม่มีแล้วนะ อย่าสงสัย อย่าลังเล

 โอกาสนี้หายากนะ เป็นเหมือนรถไฟขบวนสุดท้ายแล้ว

สงกรานต์จะนั่งรถกลับบ้านกันรีบขึ้นรถเสีย

 เดี๋ยวรอคันโน้นคันนี้เดี๋ยวพอไปเจอคันสุดท้ายแล้ว

 ไม่ขึ้นก็ต้องเดินกลับบ้านนะ

ตอนนี้มีพระพุทธศาสนาเป็นรถไฟ

พาเราไปพระนิพพานกัน

 ถ้าเรามัวแต่เปลี่ยนคันโน้นรอคันนี้ รอเวลานั้นรอเวลานี้

เดี๋ยวเกิดเราตายไปเสียก่อนก็เหมือนกับจะไม่ได้ขึ้นรถไฟ

ให้ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ ระลึกถึงเทวทูต ๔ อยู่เรื่อยๆ

 ความแก่มันขยับเข้ามา ความแก่นี้มันเหมือนกับอะไรรู้ไหม

 เหมือนกับงูที่เขมือบเหยื่อ เคยเห็นงูกินเหยื่อไหม

 มันไม่ได้กินเหมือนเรากินข้าวตักฟืดเข้าไปเลย

มันค่อยๆ เขมือบเข้าไปทีละนิดๆ

กบ ค้างคกนี้มันค่อยๆ เอาเข้าไปทีละนิดๆ

พอเผลอแป๊บ อาว..หายไปหมดแล้ว

กินเข้าไปหมดแล้ว ร่างกายก็แบบเดียวกัน

มันค่อยๆ แก่ลงไปทีละนิด ดูทุกวันมันดูไม่ออกหรอก

แต่ลองไปดูภาพที่ถ่ายมาเมื่อสัก ๑๐ ปีซิ กับภาพนี้

ภาพตอนที่เกิดมา ไปดูเด็กทารกคิดถึงตอนที่เราเป็นทารก

 กับตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วตอนนี้ก็ไปดูงานศพ

 ไปดูคนตายแล้วก็ดูว่า ต่อไปเราก็จะต้องเป็นอย่างนี้

มันจะได้ทำให้เกิดมีความขวนขวายกระตือรือร้นขึ้นมา

ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ประมาทนอนใจ

เวลามีน้อยไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่

พวกเราเหมือนได้ตั้งระเบิดเวลากันไว้แล้ว

ไม่รู้ว่าร่างกายของเรามันจะระเบิดเวลาไหนกัน

 บางคนก็อาจจะระเบิดวันนี้ บางคนก็อาจจะพรุ่งนี้

บางคนก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่มีใครรู้ว่า

เราตั้งเวลากันไว้เท่าไหร่ ตอนไหน

 เวลาที่เราตั้งก็เกิดจากบุญบาปที่เราทำนี้แหละ

จากการกระทำของเราต่างๆ นี้

มันเป็นเหมือนกับตัวตั้งนาฬิกาของเรา

 ถ้าเราดื่มสุรา สูบบุหรี่นี้ก็ตั้งเวลาให้มันเร็วขึ้น

 ถ้าเราไม่ดื่มสุราไม่สูบบุหรี่นี้ ก็ทำให้เวลามันยาวออกไป

 การกระทำของเรานี้แหละเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา

 ให้สั้นหรือให้ยาวหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เรื่องของ

เหตุปัจจัยเหนือวิสัยที่เราห้ามไม่ได้บังคับไม่ได้

เช่นภัยธรรมชาติต่างๆ อุบัติภัยต่างๆ

โรคระบาดหรืออะไรต่างๆ เหล่านี้

มันก็เป็นเรื่องที่มันไม่ได้อยู่ภายในการกระทำของเรา

 แต่เราก็ไปกำหนดไปควบคุมบังคับมันไม่ได้

 วันดีคืนดีไปติดโรคอะไรขึ้นมาก็ได้

 ไปกินอะไรเข้าไปเอาไวรัสอะไร เข้ามาในร่างกายก็ได้

ไปหาหมอ หมอลืมทำความสะอาดเครื่องมือ

 ไปเอาเชื้ออะไรมาใส่เราก็ได้ มันมีโอกาส

ที่จะทำให้ชีวิตเราสั้นลงและหมดไปได้อย่างรวดเร็ว

เราต้องคิดเรื่องราวเหล่านี้

มันถึงจะทำให้เรากระตือรือร้นขึ้นมา

ถ้าเราคิดว่า เอ..เราเคยอยู่อย่างนี้มา

เราก็จะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 มันคิดแบบนี้เรียกว่า คิดแบบประมาท

เพราะเหตุปัจจัยต่างๆมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ปัจจัยที่มันทำให้เราอยู่ในวันนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

มันอาจจะทำให้เราตายพรุ่งนี้ก็ได้ เราต้องหมั่นคิดอย่างนี้

 หมั่นระลึกถึงเทวทูต ๔

ที่นี่แน่นอนคือความแก่นี้มันแก่ลงไปเรื่อยๆ

 ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่แน่นอน แล้วแต่เหตุปัจจัยต่างๆ

ความตายก็ไม่แน่นอน จะตายเร็วตายช้า

 ตายยากตายง่ายมันก็ไม่มีใครรู้ เราไม่ควรที่จะรีรอ

ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พอเห็นเทวทูต ๔ แล้ว

ก็เตรียมตัวออกจากวังเลย เตรียมไปปฏิบัติไปปรับใจ

 ให้ไม่มาทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ให้ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป

 อันนี้ทำได้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้

อย่างเมื่อกี้ โยมที่เขาเล่าว่า

พอไปฝึกสติเขาก็เห็นว่ามันทำได้

 มันไม่ใช่ของยากเย็นอะไร มันก็เหมือนกับ กีฬา

หัดเล่นกีฬา ถ้าไม่เคยเล่นก็ยาก

 ลองไปตีกอล์ฟดูสิ ไม่เคยตีมันก็ยาก

 ไปเล่นบิลเลียดไปเเทงบิลเลียด แทงไม่เป็นมันก็ยาก

 ไปเล่นเทนนิสมันก็ยาก มันยากทั้งนั้นเพราะเราไม่เคย

 แต่พอเราไปฝึกไปหัดไปเรียน ไปทำต่อไป

มันก็ง่ายขึ้นมาเอง ฉันใดการปฏิบัติธรรมนี้

ก็เป็นของที่มันก็เหมือนกับการเล่นกีฬานี่แหละ

พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกท่านทำได้ เราก็ทำได้

เพราะท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา

ท่านก็ไม่ได้มี ความวิเศษวิโสอะไรมากไปกว่าเรา

มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนกัน

 มีสติ มีปัญญาเหมือนกันก็อยู่เราเท่านั้นแหละ

ว่าเราจะขวนขวายเราจะเอาไม่เอาเท่านั้นเอง

ถ้าเราไม่เอาก็ช่วยไม่ได้

 เหมือนกับเทน้ำใส่แก้วที่มันคว่ำอยู่นี้

 เทไปเท่าไหร่มันก็เก็บน้ำไม่ได้แม้แต่หยดเดียว

 มันต้องหงาย ถ้าหงายแล้วเทเท่าไหร่มันก็จะได้หมด

ธรรมที่เราจะได้ก็เหมือนกันถ้าเราขวนขวาย เราอยากได้

มันก็จะได้ ถ้าเราไม่ขวนขวายไม่อยากได้ มันก็จะไม่ได้

 ไม่ได้อยู่ที่ใครอยู่ที่เรา และสิ่งที่จะทำให้เรา

 เกิดการขวนขวายขึ้นมา ก็คือการระลึกถึง

ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

การระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า

 การระลึกถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

ของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

มันก็จะเป็นสิ่งที่จะทำให้จุดประกายความขวนขวายขึ้นมาได้

 ทำให้เราไม่ประมาทนอนใจ ให้เรารีบตักตวง

ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

คือการได้มาเจอพระพุทธศาสนาและได้เป็นมนุษย์

ต้องเป็นทั้งมนุษย์ และต้องพบกับพระพุทธศาสนา

จึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ ยกเว้นถ้าเป็นเทวดาแล้ว

 มีพระอริยเจ้าที่สามารถสั่งสอนเทวดาได้

ซึ่งมันก็น้อยกว่าพระอริยเจ้าที่ไม่ได้สั่งสอน

 ก็ต้องไปรอให้ท่านสั่งสอน

แต่ถ้าเรามาเจอพระที่มีความสามารถสอน

พูดภาษาของเราได้ เราก็รีบที่จะขวนขวาย

 ชาวต่างประเทศเขาพูดภาษาไทยไม่ได้

เขายังอุตส่าบินมาเมืองไทยเพื่อมาศึกษามาปฏิบัติเลย

 เรากลับบินไปบ้านเขา ไปเที่ยวบ้านเขา

เขากลับเบื่อบ้านเขา เขาไม่อยากจะเที่ยวบ้านเขา

 เรากลับชอบไปเที่ยวบ้านเขา

เขากลับชอบมาปฏิบัติที่บ้านเรา

เพราะทัศนคติมองไม่เห็นกัน

 เขามองเห็นเพชรในบ้านเรา

 เรากลับไปเห็นตัวหนอน ไส้เดือนในบ้านเขา

เราชอบกินตัวหนอนไส้เดือน พวกไก่ได้พลอย

พอเจอพลอยก็เขี่ยทิ้งๆ หาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือน

 หนอนไส้เดือนก็รูปเสียงกลิ่นรสนี่แหละ

 ไปบ้านเขาจะได้เห็นรูปเสียงกลิ่นรสแปลกๆ

 ต่างจากที่รูปเสียงกลิ่นรสที่เราเห็นจำเจอยู่ที่บ้านเรา

พอได้ไปเที่ยวบ้านคนอื่นประเทศอื่นแล้ว

แหม...รู้สึกตื่นเต้นดีใจกัน แต่ให้ไปอยู่สักพักก็เบื่อ

 เดี๋ยวมันเห็นสักพักมันก็จำเจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๙

“ขึ้นรางวัล”











ขอบคุณที่มา FB. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 เมษายน 2559
Last Update : 23 เมษายน 2559 12:50:21 น.
Counter : 896 Pageviews.

0 comment
### ขอให้ใช้ อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง ###

















“ขอให้ใช้อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง”

ส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามซ้ำๆซากๆ

แต่ก็เนื่องจากคนที่มาได้ยินได้ฟังอาจจะเพิ่งมาใหม่

เลยไม่เคยได้ยินได้ฟังคำถาม ที่เคยถามมาแล้ว

 บางครั้งก็ตอบอย่างละเอียด

บางครั้งก็ขี้เกียจตอบก็ตอบแบบที่ตอบไป

ก็เห็นใจคนตอบบ้างว่ามันตอบเรื่องเก่าเรื่องเดียว

 พูดอยู่เรื่อยๆ ก็เลยให้ไปค้นคว้าเอาเองบ้าง

บางอย่างก็ค้นคว้าเองได้ หัดเป็นอัตตาหิ อัตโน นาโถบ้าง

 ถ้าค้นคว้าหาไม่ได้แล้วค่อยมาถามอย่างนี้ก็จะน่าเห็นใจ

สิ่งที่ค้นคว้าได้จากหนังสือก็ดี

จากในการค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ดี

เดี๋ยวนี้เรามีห้องสมุดที่อยู่ใกล้มือเรา

 เพียงแต่ใส่คำที่เราต้องการรู้คำตอบเข้าไป

 คำตอบมันก็โผล่ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด

ดังนั้นก็ขอให้ใช้อัตตาหิ อัตโน นาโถ กันบ้าง

เพราะว่า ถ้าเราเพิ่งตนเองได้แล้ว

เราก็สบายกว่าที่เราจะต้องไปพึ่งผู้อื่น

เพราะการพึ่งผู้อื่นนี้ ก็ไม่แน่นอน

ผู้อื่นเขาจะให้เราพึ่งได้ไปถึงที่ไหน

เขาอาจจะตายจากเราไปก็ได้ ก่อนที่เราจะบรรลุ

 ดังนั้นพยายามพึ่งตนเอง เดี๋ยวนี้หนังสือธรรมะก็มีเยอะ

 ซีดีธรรมะก็มีเยอะ มือถือของเรานี้ก็สามารถฟังธรรมะได้

ทุกแห่งทุกหนทุกเวลา

ขอให้เราใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดคุณเกิดประโยชน์จะดีกว่า

ดีกว่าที่จะมัวแต่มาคอยพึ่งคนนั้นคอยพึ่งคนนี้

แล้วถ้าเราไม่พึ่งเรา เราก็จะกลายเป็นคนพิการไป

เหมือนเรามีมือมีเท้าแต่เราไม่ชอบใช้มือชอบใช้เท้า

 ชอบใช้คนอื่น ชอบใช้มือของคนอื่นชอบใช้เท้าของคนอื่น

 พอถึงเวลาที่เราจะต้องใช้มือใช้เท้าของเรา

 เราก็จะใช้ไม่เป็น ดังนั้นขอให้เราพยายามหัดพึ่งตนเอง

ทั้งทางกายและทางใจ หัดคิดด้วยปัญญาบ้าง

 ปัญญานี้มันจะเกิดการที่เราคิดบ่อยๆ

คิดในเรื่องของธรรมะบ่อยๆ

เช่นธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังในวันนี้

เรานำเอาไปพิจารณาต่อ

เพราะว่าปัญญานี้มันมี ๓ ระดับด้วยกัน

 ระดับแรกที่เราได้รับไปก็คือสุตมยปัญญา

 เราได้ยินได้ฟังธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

 พอเราได้ยินได้ฟังธรรมนี้แล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อไป

ก็คือรักษาธรรมนี้ไม่ให้มันหายไปจากใจ

วิธีที่จะทำให้มันไม่หายไปจากใจ เราก็ต้องหมั่นคิดอยู่เรื่อยๆ

ทบทวนว่าวันนี้เราฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ฟังเรื่องอะไรบ้าง

 แล้วก็พยายามทบทวนพิจารณาอยู่เนืองๆ

นี้เรียกว่า จินตามยปัญญา คือการคิดถึงธรรมต่างๆ

เพื่อไม่ให้มันหลงไม่ให้มันลืมให้มันอยู่ใกล้ตัวเรา

 เพราะว่าเราต้องใช้ธรรมคือปัญญานี้ฆ่ากิเลส

 เวลาที่เราเกิดความทุกข์ใจ เหมือนกับยา

 ถ้าเรามีไว้ใกล้ตัว เวลาไม่สบายนี้เราก็หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที

แต่ถ้าเราได้รับยามาจากหมอแล้วก็ไปวางไว้ที่ไหนก็จำไม่ได้

เวลาไม่สบาย วิ่งหายาป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าไปวางไว้ที่ไหน

ปัญญานี้ก็เป็นยา เป็นธรรมโอสถที่จะรักษาความทุกข์ใจ

 เบื้องต้นก็ไปรับยาจากหมอ

จากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่า สุตมยปัญญา

 ปัญญาที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง

 ได้รับยาจากหมอแล้วขั้นต่อไปก็ต้องรักษายานี้ไว้

 ให้อยู่ใกล้ตัว เวลาเกิดอาการขึ้นมา

ก็จะได้หยิบยารับประทานได้ทันที

 ขั้นที่ ๒ ก็คือให้รักษายา คือให้หมั่นพิจารณาธรรม

ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อยๆ

เช่นวันนี้สอนเรื่องพิจารณาร่างกาย

ว่าเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอาการ ๓๒ ไม่ใช่ตัวเราของเรา

 เวลาร่างกายเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไป

ต่อไปเวลาไปเจอคนตายจะได้ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้

 จะได้รู้ว่าพ่อไม่ได้ตาย แม่ไม่ได้ตาย พี่ไม่ได้ตาย

 น้องไม่ได้ตาย ไม่มีใครตาย

สิ่งที่ตายมันเป็นเพียงอาการ ๓๒ คือผม ขน เล็บ ฟัน

หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ต้องหมั่นคิดอย่างนี้เรื่อยๆ

 รับรองได้ว่าเวลาไปเจอคนตายนี้จะไม่ร้องห่มร้องไห้

จะไม่ตกใจจะไม่หวั่นไหว จะไม่เดือดร้อน

อันนี้คือปัญญาขั้นที่ ๓ เวลาที่ไปเจอโรค เจอความทุกข์

เจอเหตุการณ์ แล้วถ้าเรามีปัญญา

ที่เราได้รับมาจากพระพุทธเจ้าอยู่คู่กับใจของเรา

พออะไรตายปั๊บก็จะรู้ทันที่ว่า “ไม่มีใครตาย”

มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ มีแต่อาการ ๓๒ พิจารณาอย่างนี้

พอเวลาไปเจอความตายนี้จะไม่มีความทุกข์ใจเลย

ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคมะเร็งเหลืออีก ๓ เดือน

 ไม่เป็นไรเราไม่ได้ตาย สิ่งที่มันตายก็คือ

 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก

ถ้าเป็นมะเร็งที่กระดูกก็กระดูกตาย มะเร็งในตับก็ตับตาย

 ไม่มีเรา เราไม่ตาย ตับตาย มะเร็งในตับ

มะเร็งในปอด หัวใจวาย หัวใจตายไม่ใช่เราตาย

 ให้คิดอย่างนี้แล้วเราจะได้ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน

 เราจะเผชิญกับความตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

 นี่เรียกว่า ภาวนมยปัญญาขั้นที่ ๓

พอเกิดเหตุการณ์แล้วเราสามารถเอาปัญญาความรู้

ที่เราได้รักษานี้มาใช้ดับความทุกข์ใจ

ถ้าดับได้ก็เป็นภาวนามยปัญญา

ถ้ายังดับไม่ได้ก็แสดงว่ายังขาดภาวนา

 คือใจยังไม่มีสมาธิไม่มีความสงบพอ

ได้ยินได้ฟังธรรมนี้แล้ว ถ้าเอาไปใช้ดับความทุกข์ไม่ได้

แสดงว่าเราขาดภาวนา ขาดสมถภาวนา

 เราก็ต้องไปบำเพ็ญสมถภาวนากัน

ทำใจให้รวมไปถึงฐานให้เป็นสมาธิ

 ให้เป็นสักแต่ว่ารู้ อุเบกขา

ถ้ามีอย่างนี้แล้วพอไปเจอความตายนี้มันจะสักแต่ว่ารู้

 มันจะเฉยได้ แต่ถ้ายังไม่สักแต่ว่ารู้ก็แสดงว่าไม่มีสมาธิ

 ยังไม่มีสมถภาวนา ปัญญายังเป็นแค่จินตามยปัญญา

 เป็นความจำ เป็นความคิดอยู่

ยังไม่สามารถที่จะเอามาดับความทุกข์

ที่เกิดขึ้นภายในใจได้

ถ้าเราเอาปัญญาที่เป็นความคิดนี้

มาหยุดความทุกข์ได้ก็แสดงว่าเป็นภาวนามยปัญญา

นี่คือปัญญาขั้นสุดท้าย ปัญญาที่เป็นปัญญาที่แท้จริง

 ก็คือภาวนามยปัญญา

เพราะเป็นปัญญาที่จะทำให้หลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งปวงได้

สุตมยปัญญา จินตามยปัญญานี้ เป็นเหมือนกับ

เป็นผู้ที่จะส่งให้เราเข้าสู่ ภาวนามยปัญญา

 ถ้าเราไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเราก็จะไม่รู้ว่า

ร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เราจะไม่รู้ว่า

มันเป็นเพียงอาการ ๓๒ พอร่างกายตาย ไม่ว่าจะเป็นของใคร

 เราก็จะคิดว่าพ่อตายแม่ตายพี่ตายน้องตาย

เราก็จะร้องห่มรองไห้ เศร้าโศกเสียใจกันไป

 นี่แสดงว่าเราไม่มีสุตมยปัญญา ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม

 พอฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เเต่ไม่เอาไปพิจารณาต่อ

ก็เป็นเหมือนกัน พอเจอคนตายก็ลืมไปว่าไม่มีใครตาย

 มีแต่อาการ ๓๒ ตายก็ร้องห่มร้องไห้อีกเหมือนกัน

หรือว่าจำได้แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ยังร้องอยู่ดี

 ก็ยังขาดภาวนา ต้องไปนั่งสมาธิทำใจให้สงบ

ต้องไปปลีกวิเวก ไปเจริญสติอย่างต่อเนื่อง

 เพื่อทำให้จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ มีอุเบกขา

 มีแต่สักแต่ว่ารู้ เพราะถ้ามีอัปปนาสมาธิแล้ว

 เวลาไปเจอเหตุการณ์แล้วมีปัญญาที่ได้ยินได้ฟัง

 จากพระพุทธเจ้าก็จะบอกว่า มันก็เป็นแค่อาการ ๓๒

ที่ตายไม่มีใครตาย เราไม่ตาย พ่อไม่ตาย แม่ไม่ตาย

 ลูกไม่ตาย สามีไม่ตาย ไม่มีใครตาย มีแต่อาการ ๓๒

 มีแต่การแยกออกกันของธาตุทั้ง ๔

คือดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง

นี่คือเรื่องของปัญญาที่พวกเราได้

จากการที่เรามาฟังเทศน์ฟังธรรม

 มาศึกษากันขอให้เรานำเอาไปทำ เอาไปต่อยอดให้ได้

อย่าไปทิ้งถังขยะที่หน้าวัด พอออกจากวัดไปก็ลืมไปแล้ว

 ลืมไปว่าวันนี้ฟังเรื่องอะไรบ้าง

ไปคิดแต่ว่าเดี๋ยววันนี้จะไปกินอะไรดี

 เดี๋ยวจะไปเที่ยวที่ไหนดี ถ้าอย่างนี้

ก็ฟังไปก็ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร

ได้รับประโยชน์เฉพาะขณะที่ฟัง

ขณะที่ฟังใจสงบมีความสุขมีความสบายใจ

แต่พอออกไปข้างนอกเห็นคนนั้นเห็นคนนี้

ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ก็เครียดขึ้นมาทุกข์ขึ้นมาแล้ว

เพราะไม่ได้เอาธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ติดตัวไปด้วย

ดังนั้นถ้าเอาติดตัวไปก็ต้องพยายามระลึกถึงมันอยู่เรื่อยๆ

 ออกไปจากที่นี่ก็เอาพุทโธไว้ก่อนก็ได้

พุทโธๆไปอย่าคุยกัน อย่าเล่นกันอย่าอะไรกัน

 ต่างคนต่างพุทโธๆไป แล้วใจก็จะเย็นใจจะสบาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๙

“ใช้เวลากับการเจริญมรรค”










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 เมษายน 2559
Last Update : 22 เมษายน 2559 12:41:57 น.
Counter : 1091 Pageviews.

1 comment
### วิธีทำใจให้เย็นท่ามกลางอากาศร้อน ###

















“วิธีทำใจให้เย็นท่ามกลางอากาศร้อน”

เป็นไงอากาศร้อนไหม??? ร้อนกายหรือร้อนใจ???

ใจนี้ร้อนได้ อยู่ในห้องแอร์ก็ร้อนได้นะ

แต่กายนี้มันจะร้อนแต่เฉพาะเจออากาศร้อน

แต่ใจนี้มันร้อนได้ทั้งวันทั้งคืน

ไม่ว่าจะอยู่ในห้องแอร์ หรือห้องอะไรก็ตาม

 ถ้ามันมีกิเลสแล้วมันร้อนนะ ถ้ามีความโลภแล้วมันจะร้อน

 มีความโกรธแล้วมันจะร้อน มันจะไม่สบายใจ

 ความไม่สบายใจ เกิดจากความโลภ ความโกรธ

 ความโลภก็เกิดจากความหลง

ความหลงก็คือไม่รู้ว่าวิธีทำให้ใจมีความสุข ทำอย่างไร

แทนที่จะทำให้มันเย็นกลับไปทำให้มันร้อน

 คิดว่าได้อะไรมามากๆแล้วจะสุข แต่ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งร้อน

 ได้แล้วก็ไม่พอ พอเสียไปก็โกรธ

ใครมาเอาแฟนไปเดี๋ยวก็โกรธ ใครมาเอาลูกไปก็โกรธ

ใครมาเอาสมบัติไปก็โกรธ เพราะไม่รู้วิธีทำใจให้เย็น

วิธีทำใจให้เย็นต้องให้อย่าไปอยากได้ต้องให้อยากให้

 ใครอยากได้แฟนยกให้เขาไปเลย

ใครอยากจะได้ลูกยกให้เขาไปเลยจะได้หมดห่วงกัน

 ถ้าอยู่ด้วยกันมันหวงมันห่วง มันโลภมันอยาก

 อยากให้เขาไม่อยากให้เขาไปมันก็เลยร้อนขึ้นมา

อยู่ในห้องแอร์ก็ร้อน อยู่ที่ไหนก็ร้อน

ถ้ามาปล่อยวางได้ สบาย!!!

ใครจะมาก็มา ใครจะไปก็ไปห้ามไม่ได้

 คนจะตายห้ามไม่ได้ คนจะเจ็บไข้ได้ป่วยห้ามเขาไม่ได้

ปล่อยเขาไป เดี๋ยวเราก็ไป ร่างกายเราก็ห้ามไม่ได้

ร่างกายเราเดี๋ยวมันก็แก่ เดี๋ยวมันก็เจ็บ เดี๋ยวมันก็ตาย

 ถ้าปล่อยแล้วสบาย ไม่เดือดร้อน

วิธีปล่อยก็คือทำใจเฉยๆ ทำใจให้เฉยๆ

 ร่างกายเป็นอะไรก็ปล่อยมันไป นั่งให้มันเจ็บดูซิ

แล้วดูว่าจะปล่อยมันได้ไหม ปล่อยให้มันอยู่เฉยๆ

เวลามันเจ็บนี้เราไม่ต้องไปทำอะไรมัน

ปล่อยให้มันนั่งเฉยๆ หรือไม่เจ็บก็ได้ลองให้มานั่งเจ็บ

สัก ๔ - ๕ ชั่วโมงดูซิ ไม่ต้องเอามันไปทำอะไร

 ปล่อยมันเฉยๆ ให้มันนั่งเก้าอี้ สบายๆ

แล้วดูซิว่าใจมันดิ้นหรือร่างกายมันดิ้นกันแน่

ใจมันไม่เคยอยู่เฉยๆ มันดิ้นหาเรื่องอยู่เรื่อยๆ

 หาโน่นทำหานี่ทำ ไปหาคนนั้นไปหาคนนี้

ไปหาสิ่งนั้นไปหาสิ่งนี้ หามาได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ

 หาอยู่เรื่อยๆ อยู่เฉยไม่ได้ อยู่ไม่เป็นสุข

ลองนั่งเฉยๆ สัก ๔- ๕ ชั่วโมงได้ไหม???

หาเก้าอี้สบายๆ มานั่งไม่ต้องทำอะไร นั่งเฉยๆ

นั่งให้มันสบายดูซิ นั่งได้ไหม??? ไม่ได้หรอก !!!

นั่งเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็อยากจะลุก

ถ้าไม่หยุดมันก็จะลุกไปเรื่อยๆ

ไปโน่นแล้วเดี๋ยวก็อยากจะกลับมาที่นี่

มาที่นี่แล้วเดี๋ยวก็อยากไปจะโน่น

ไปอุดรแล้วเดี๋ยวก็อยากจะมาพัทยา

 มาพัทยาแล้วเดี๋ยวก็อยากจะไปอุดร

มันก็กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนลูกฟุตบอล

 โดนเขาเตะไปฝั่งโน้นแล้ว ก็เตะกลับมาฝั่งนี้

ใจเราเหมือนลูกฟุตบอล โดนกิเลสมันเตะไปเรื่อยๆ

 อยู่ที่นี่ก็เตะไปที่โน่น พอไปถึงที่โน่นก็เตะกลับมาที่นี่

กลิ้งไปกลิ้งมาแล้วได้อะไรก็เหมือนเดิม ไม่ได้อะไร

 อยากจะได้อะไรต้องอยู่เฉยๆ ให้มันนิ่ง

แล้วจะได้ความสุข จะได้ความสบายใจอิ่มใจเบาใจ

 ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์ไม่วุ่นวาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 เมษายน 2559
Last Update : 21 เมษายน 2559 11:01:09 น.
Counter : 755 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ