Group Blog
All Blog
### อยู่ดีกับตายดีเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน ###












“อยู่ดี” กับ “ตายดี” เป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน

 หากว่าการอยู่ดีนั้นหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

 หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว

รวมทั้งลดละความเห็นแก่ตัว

และอารมณ์อกุศลที่สร้างความทุกข์ให้แก่จิตใจ

 (ไม่ใช่ “อยู่ดีกินดี” หรืออยู่อย่างอัครฐาน

พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ)

การตายดีก็เป็นอันหวังได้

ในทำนองเดียวกันหากฝึกจิตอยู่เสมอเพื่อการตายดี

ย่อมส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นไปในทางที่ดีงาม

 เช่น เห็นความสำคัญของการอยู่อย่างไม่ประมาท

 มีศรัทธาในสิ่งดีงาม ขณะเดียวกันก็รู้จักปล่อยวาง.

พระไพศาล วิสาโล








ขอบคุณข้อมูลจาก fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 พฤษภาคม 2559
Last Update : 26 พฤษภาคม 2559 10:11:16 น.
Counter : 860 Pageviews.

0 comment
###โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิด ###












“โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิด”

ให้พิจารณาถึงความเสื่อมของสิ่งต่างๆเถิด

แล้วเราจะได้เห็นว่ามันไม่มีความสำคัญอะไรเลย

 ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของไม่ว่าจะเป็นบุคคล

มันต้องเสื่อมต้องหมดไปทั้งนั้น

ต่อให้เราดูแลรักษามันอย่างไร ดีขนาดไหนก็ตาม

เดี๋ยวมันก็ต้องเสื่อมหมดไปอยู่ดี

เหมือนกับเวลาที่เราไปก่อสร้างเจดีย์ทรายที่ชายทะเล

 ต่อให้ก่อสร้างให้มันวิจิตรพิสดาร

สวยงามวิจิตร ขนาดไหนก็ตาม

พอเวลาน้ำขึ้นมา น้ำก็จะซัดกองทรายที่เราก่อไว้

 ให้ล่มสลายหายไปหมดเลย

 ดังนั้นการดูแลสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ นี้

เป็นการดูแลสิ่งที่จะต้องเสื่อม สิ่งที่จะต้องหมดไป

 ดูแลไม่ดูแลผลมันก็เท่ากัน

คือมันก็ต้องหมดไปเช่นเดียวกัน

แต่ผลที่จะกระทบกับชีวิตเรานี้ มันร้ายกาจมันรุนแรง

 เพราะถ้าเราไปดูแลสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ

เราก็จะไม่มีเวลามาศึกษามาปฏิบัติ

 แล้วเราก็จะพลาดโอกาสอันยากนี้

โอกาสที่จะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน

 มีผู้คอยอบรมสั่งสอนชี้บอกทาง

 มีผู้คอยแก้ปัญหาให้ โอกาสนี้ก็จะหมดไป

 โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็จะหลุดมือไป

 เพราะมัวแต่ไปห่วงไปกังวลไปดูแล

 กับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์สารคุณแก่จิตใจ

 และเป็นสิ่งที่ไม่มีสารคุณประโยชน์กับใคร

 เป็นสิ่งที่จะต้องเสื่อมหมดไปอยู่ดี

 จะดูแลหรือไม่ดูแลก็ตามถึงเวลามันก็จะต้องเสื่อมหมดไป

นี่คือสิ่งที่ควรที่จะต้องพิจารณา

เพื่อที่เราจะได้เริ่มการปฏิบัติกันอย่างจริงจังกันเสียที

ไม่งั้นมันก็จะถูกหลอก ให้ผัดไปเรื่อยๆ

พอดูแลคนนี้แล้วเดี๋ยวก็มีคนนั้นมาให้ดูแลต่อ

ดูแลสิ่งนั้นแล้วเดี๋ยวก็มีสิ่งนี้มาให้ดูแลต่อ

มันก็จะดูแลแต่เรื่องของคนอื่น

ไม่เคยมาดูแลเรื่องของตนเองเลย

การได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 และการได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ก็เลยไม่เกิดประโยชน์อะไร

 นี่คือสิ่งที่พวกเราควรจะพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 พิจารณาความแก่อยู่เรื่อยๆ

พิจารณาความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เรื่อยๆ

พิจารณาความตายอยู่เรื่อยๆ

แล้วมันจะกระตุ้น ให้พวกเรานั้นรีบศึกษารีบปฏิบัติกัน

 เพราะว่าเวลาของเรานี้ มันมีแต่จะน้อยลงไป

มันไม่มีมากขึ้นไป แล้วมันจะหมดไปเมื่อไหร่ก็จะไม่มีใครรู้

 เวลามันจะหมดนี้ก็จะต้องเสียอกเสียใจ

 ร้องห่มร้องไห้ ร้องไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 เสียใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

จะไม่สามารถเอาโอกาสเอาเวลาอันมีค่านั้นกลับคืนมาได้

เพราะเราปล่อยทิ้งไปอย่างไม่แยแส

มัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญ

นี่คือเรื่องของปัญหาของพวกเราที่ยังไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างเต็มที่

 มักจะอ้างสิ่งนั้นอ้างสิ่งนี้ บางทีก็อ้างว่าความสามารถไม่พอ

 บารมีไม่พอ ถ้าไม่พอก็ต้องเติมมันขึ้นมาซิ

สร้างมันขึ้นมาซิ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น

ถ้าบารมีไม่พอก็สร้างมันขึ้นมา

 วิริยะบารมีไม่พอก็สร้างวิริยะบารมีขึ้นมาซิ

 ปัญญาบารมีไม่พอก็สร้างปัญญาบารมีขึ้นมา

 ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น แล้วก็มาบ่นว่าไม่มีบารมี

 บ่นไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เรายังสร้างบารมีได้

 เพิ่มบารมีได้ ถ้าในอดีตเราไม่ได้สร้างมาเราไม่ได้เติมมา

 เราก็มาสร้างกันตอนนี้ก็ได้

 เหมือนกับเราขับรถยนต์ไปแล้ว

เราลืมแวะจอดสถานีบริการลืมเติมน้ำมัน

 น้ำมันก็เหลือน้อยก็แวะจอดเติมได้ ไม่มีใครห้ามไม่ให้เติม

 เห็นเกล์ว่ามันจะหมดแล้วขีดแดงแล้ว

ก็เจอปั๊มน้ำมันที่ไหนก็แวะจอดเติมมันให้เต็มถังได้

ไม่ใช่มีแต่บ่นว่าไม่มีน้ำมัน

 แล้วก็ปล่อยให้รถยนต์จอดวิ่งไม่ได้

อันนี้เป็นเรื่องของกุศโลบายของกิเลสตัณหา

 ที่จะคอยหลอกล่อไม่ให้เรานี้ ทำอะไรไม่ให้เราปฏิบัติ

ไม่ให้เราศึกษาพระธรรมคำสอน

ตอนนี้เราขาดบารมีอะไรเติมเข้าไปซิ

ขาดทานบารมีก็ทำทานไปซิ ขาดศีลบารมีก็รักษาศีลไปซิ

 มีใครมาห้ามเราไม่ให้รักษาศีล มีใครมาห้ามไม่ให้เราทำทาน

 มันเป็นของเราทั้งนั้น เงินทองของเรา

 เราจะไปทำทานใครจะมาห้ามเราได้อย่างไร

 เวลาเราไปซื้อของต่างๆ ทำไมไม่มีใครมาห้าม

 พอเราจะเอาไปทำทานนี้กลับมีคนมาห้าม

มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจเรานี่แหละ

ที่มันจะไม่ยอมให้เราสร้างบุญสร้างบารมีกัน

 แล้วพอเราจะศึกษาปฏิบัติมันก็อ้างว่าไม่มีบุญไม่มีบารมี

ตอนนี้ไม่มีทานบารมีก็ทำทานบารมีไป

ไม่มีศีลบารมีก็รักษาศีลไป ไม่มีเนกขัมมบารมีก็เจริญไป

 เนกขัมมบารมีก็คือการออกจากกาม

 ออกจากการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ถ้าเรามีศีล ๕ แล้วขั้นต่อไปเราก็จะสามารถรักษาศีล ๘ ได้

ศีล ๘ ก็คือการออกจากกามนี่เอง

ออกจากการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เรียกว่าเนกขัมมะ เราทำได้ไม่มีใครเขาห้าม

ไม่มีกฎหมายออกมาห้ามว่าไม่ให้ทำ

 ใครอยากจะทำ ใครไม่มีเนกขัมมบารมี

 ก็มาสร้างเนกขัมมบารมีกัน

 ใครไม่มีอุเบกขาบารมีก็มาสร้างอุเบกขาบารมีกัน

 อุเบกขาบารมีก็เกิดจากการมีสติอย่างต่อเนื่อง

ทำใจให้รวมเข้าสู่อัปปนาสมาธิเท่านั้นเอง

พอใจรวมเข้าสู่อัปปนาแล้วก็จะเกิดอุเบกขาขึ้นมา

ใจจะเป็นกลาง ใจจะปราศจากความรัก ชัง กลัว หลง

 ปราศจากความโลภ โกรธ หลง แต่เป็นของชั่วคราว

อุเบกขาที่ได้จากสมาธินี้ยังมีโอกาสที่จะเสื่อมลงไป

 และหายไปได้หมดไปได้ เวลาออกจากสมาธิมา

 ถ้าอยากจะรักษาอุเบกขาให้อยู่ต่อไปก็ต้องใช้ปัญญาบารมี

ปัญญาบารมีก็ต้องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เห็นอสุภะเห็นสิ่งที่ไม่สวยไม่งามต่างๆ

 เช่นอาหารก็เห็นเป็นสิ่งที่สกปรก

อันนี้เห็นเพื่อที่จะได้กำจัดตัณหาความอยากต่างๆ

ที่จะมาคอยทำลายอุเบกขาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป

ถ้ามีปัญญาตัดตัณหาความอยากต่างๆ

อุเบกขาใจที่เป็นกลาง ว่าง

 ปราศจากความโลภ โกรธ หลงก็จะคงอยู่ต่อไปได้

นี่คือสิ่งที่พวกเราสามารถปฏิบัติกันได้ในชาตินี้

และเป็นชาติที่ดีที่สุด เพราะว่ามีพระธรรมคำสอนอยู่แล้ว

 มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

คอยสั่งคอยสอนคอยบอกทางอยู่แล้ว

มีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะว่าไม่พร้อม

ทุกอย่างพร้อมหมด สิ่งเดียวเท่านั้นคือตัวเราเอง

 ใจเราเองว่าพร้อมหรือไม่พร้อม

มันก็ไม่น่าจะมีเหตุมีผลอะไรที่จะบอกว่าไม่พร้อม

 ถ้าจะมีก็มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นก็คือความหลง

 ความหลงที่ยังหลงติดอยู่กับความสุขทางโลกอยู่นี่เอง

 ยังติดอยู่กับความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่

 ยังไม่อยากสละความสุขอันนี้ไป

แต่ขอให้รู้ว่าความสุขอันนี้

 มันเป็นความสุขของยาเสพติดดีๆนี่เอง

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่แหละคือยาเสพติด

ที่ร้ายกาจที่สุดที่ทำให้จิตใจของสัตว์โลกทั้งหลายนี้

ต้องติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพนี้

 กามภพคือภพของสัตว์โลกที่ยังติดอยู่ในกามนี่เอง

 ก็เหมือนกับพวกที่ติดยาเสพติดก็ต้องเสพยาเสพติดไปเรื่อยๆ

 จนตายไปในที่สุด ตายไปแล้วพอกลับมาเกิดใหม่ก็กลับมาเสพใหม่

นี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาให้เห็นโทษ

ว่าความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายนี้มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

 มันเป็นความทุกข์ที่ถูกความสุขหุ้มห่อเอาไว้

 เป็นผิวบางๆเหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาลนี่เอง

 น้ำตาลนี้มันเคลือบยาขมผิวบางๆ

พอเราอมเข้าไปใหม่ๆมันก็หวาน

 พอน้ำตาลละลายไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ความขม

ความสุขที่เราได้รับจากรูป

เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เป็นแบบนั้น

 เวลาได้เสพสัมผัสก็มีความสุข

พอไม่ได้เสพความสุขนั้นก็หายไป

 ปล่อยให้จิตใจอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

 ปล่อยให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจต่างๆปรากฏขึ้นมา

จนทนไม่ไหวต้องไปเสพใหม่

 เพื่อที่จะได้ดับอารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจต่างๆเหล่านี้ไป

 แต่เสพเท่าไหร่อารมณ์เหล่านี้จะไม่มีวันหมดไป

และมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆและต้องเสพมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 จนในที่สุดร่างกายก็จะไม่สามารถทนกับพิษ

 ของยาเสพติดได้ ก็ต้องตายไป

 สิ่งที่เราเสพกันคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี้

ก็เหมือนยาเสพติด เพียงแต่ว่ามันไม่รุนแรงเท่ากับยาเสพติด

 มันไม่ได้ทำให้ร่างกายนี้ตายไปแบบยาเสพติด

 แต่มันก็มีผลคล้ายๆกัน เช่นโรคภัยต่างๆ

ที่เกิดจากการเสพรูป เสียง กลิ่น รสมากจนเกินไป

 คนที่ดื่มสุรายาเมาก็จะเกิดโรคทางกระเพาะ

ทางลำไส้ ทางตับ ทางไต

 คนเสพสูบบุหรี่ควันบุหรี่ก็จะมีผลกระทบ

กับทางปอดทางลมหายใจ

 คนที่เสพของหวานของเค็มของมันอะไรมากๆเกินไป

ก็มีผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย

 ระบบอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคไขมันอุดตัน โรคหัวใจวาย

 โรคอะไรต่างๆตามมา อันนี้ก็เป็นผลที่เกิดจาก

การเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแบบไม่มีขอบไม่มีเขต

แต่ถ้าได้มาบำเพ็ญได้มาปฏิบัติธรรม

แล้วพบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้

ใจจะเกิดความอิ่มขึ้นมา จะไม่หิวโหย

กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

จะไม่ต้องใช้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาให้ความสุข

 เมื่อไม่ต้องใช้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาให้ความสุข

 ผลที่กระทบต่อร่างกายก็จะไม่มี

ร่างกายก็จะอยู่เป็นปกติสุขปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

 นี่คือเรื่องของผลดีผลเสียระหว่างการปฏิบัติธรรม กั

บการเสพกามกับการหาความสุข

จากการเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

มีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับดิน

ทั้งในขณะที่มีชีวิตและหลังจากที่ตายไปแล้ว

ผลที่ได้รับต่อจิตใจก็ต่างกัน

 ผู้ที่เสพกามก็ยังจะมีกามตัณหา ติดอยู่ภายในใจ

ที่จะเป็นตัวฉุดให้ไปเวียนว่ายตายเกิดในกามภพต่อไป

ผู้ที่ไม่เสพกามก็จะเป็นผู้ที่ได้หลุดพ้น

ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด

 ผู้ที่เสพความสงบจะไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป

 อย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ท่านเลิกเสพกามแล้ว ท่านไม่หาความสุขจากทางร่างกายแล้ว

 ท่านตัดตัณหาทั้ง ๓ให้หมดไปจากใจได้แล้ว

ตัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว

ใจของท่านจึงมีแต่ความสงบ มีแต่ความอิ่มความพอ

มีบรมสุขตลอดเวลา จึงไม่มีความจำเป็น

ที่จะต้องไปหาร่างกาย เพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือ

ในการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอีกต่อไป

ไม่ต้องมาทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บไข้ได้ป่วย

 ทุกข์กับความตาย ไม่ต้องมาทุกข์กับการพลัดพราก

 จากสิ่งที่รักจากบุคคลที่รักอีกต่อไป

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรา ถ้าเราหมั่นพิจารณาโทษ

ของการเวียนว่ายตายเกิด พิจารณาความแก่ ความเจ็บ

ความตายที่เป็นผลที่จะตามมาถ้ามีการเกิดขึ้น

เหตุที่ทำให้มาเกิดก็คือตัณหาความอยากต่างๆ

 เช่นกามตัณหา ความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส

 ภวตัณหาความอยากมีอยากเป็นอยากได้

วิภวตัณหาความอยากไม่มี อยากไม่เป็นอยากไม่ได้

ในสิ่งที่ไม่ชอบ อยากได้ในสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบก็อยากไม่ได้

 ถ้ามีความอยากเหล่านี้อยู่ภายในใจ

 ใจก็จะดิ้นรนกวัดแกว่งไม่ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่เป็นอุเบกขา

 ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘

“โอกาสหลุดพ้นจากวัฏฏะ”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 พฤษภาคม 2559
Last Update : 25 พฤษภาคม 2559 10:56:34 น.
Counter : 855 Pageviews.

0 comment
### โอกาสหลุดพ้นจากวัฏฏะ ###












“โอกาสหลุดพ้นจากวัฏฏะ”

การปรากฏการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ละพระองค์แต่ละครั้งนี้ เป็นประโยชน์สุขแก่สัตว์โลก

 อย่างมหาศาลอย่างไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่าได้

 เพราะเมื่อมีพระพุทธเจ้าแล้ว

 ก็จะมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตามมาต่อไป

 เมื่อมีพระธรรมคำสอนก็จะมีพระอริยสงฆ์สาวก

พระอรหัตสาวกทั้งหลายปรากฏตามขึ้นมา

 พระอรหันต์ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในยุคนี้

 ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้

เกิดได้เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

แล้วได้นำเอาความรู้นี้ มาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่สัตว์โลก

พอสัตว์โลกได้ยินได้ฟังก็เกิดศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส

น้อมนำเอาไปปฏิบัติ จนบรรลุ

เป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

 หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้

ด้วยอำนาจของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วนำเอาคำสอน

นำเอาพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้มาเผยแผ่สั่งสอน

ก็จะไม่มีผู้ที่ จะสามารถน้อมนำเอาไปปฏิบัติได้

จะไม่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 จากสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยตนเอง

นี่คือพระคุณอันใหญ่หลวงของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

ที่มีต่อสัตว์โลก เพราะสัตว์โลกตามลำพังนี้

 จะไม่มีบารมีพอ ที่จะสามารถปฏิบัติตนเองให้หลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 ถ้าปฏิบัติได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ซึ่งเป็นหนึ่งในล้านๆคนที่จะมีความรู้ ความสามารถ

ถึงขนาดที่จะสอนตนเอง ปฏิบัติตนเองให้ได้หลุดพ้น

จากการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้

การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

จึงไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ

นานๆ จะปรากฏขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

 ผู้ใดที่ได้เกิดมาทันการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 ทันกับอายุของพระพุทธศาสนา ผู้นั้นจะถือว่า

เป็นผู้ที่มีโชคมีวาสนามาก มีโอกาส

ที่จะทำให้ตนได้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้

ซึ่งนานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

และเมื่อได้มาพบแล้วถ้าไม่สนใจศึกษาไม่สนใจปฏิบัติ

ก็เหมือนกับไม่ได้พบ กับพระพุทธศาสนา

 ไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา

 ก็ยังจะต้องติดอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด ต่อไปอยู่เรื่อยๆ

 ความทุกข์ต่างๆที่ได้จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 ก็จะมีอยู่ต่อไปไม่มีวันหมดสิ้น

ดังนั้นถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์

และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 ได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

 จึงไม่ควรที่จะปล่อยโอกาสอันดีอันงามนี้ให้หลุดมือไป

 อย่าไปคิดว่าจำเป็นจะต้องเกิด

พร้อมๆ กับพระพุทธเจ้าเพียงเท่านั้น

ถึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

ก็เป็นเหมือน กับพระพุทธเจ้าโดยตรง

ดังที่ทรงตรัสสั่งไว้ก่อนที่จะจากไปว่า

 ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้วนี้แล

จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป

พวกเธอจะไม่ได้อยู่อย่างปราศจากศาสดา

 ถ้าพวกเธอมีพระธรรมคำสอนของเราตถาคต

ถ้าพวกเธอสนใจที่ศึกษา พวกเธอก็เหมือนมีพระศาสดา

สั่งสอนอยู่ต่อหน้าของพวกเธอเลย

 ดังนั้นอย่าไปถูกกิเลสหลอกว่า

ต้องรอให้พบกับพระพุทธเจ้าโดยตรง

 ต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง

ก็จะต้องรอไปอีกกี่กัปก็ไม่ทราบ

กว่าจะได้มาเกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า

การเกิดของเรากับการเกิดของพระพุทธเจ้า

ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตรงกันเสมอไป

 ช่วงที่พระพุทธเจ้าเกิด เราอาจจะไม่ได้มาเกิดก็ได้

อย่างยุคนี้ยุคของสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้

พวกเราก็ไม่ได้มาเกิดในยุคนั้น

ในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

 แต่เรายังอยู่ในยุคของพระพุทธศาสนาอยู่

ในยุคที่ยังมีพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าอยู่

ในยุคที่ยังมีพระอรหันตสาวกที่ทำหน้าที่

แทนพระพุทธเจ้าได้อยู่ ก็เหมือนกับว่าเราได้อยู่กับพระพุทธเจ้า

 ได้เรียนรู้จากพระพุทธเจ้าแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอันใด

ที่จะมาห้าม ไม่ให้เรามาศึกษา ห้ามไม่ให้เรามาปฏิบัติ

ถ้ามีเหตุผลก็เป็นเหตุผลของข้าศึกศัตรูของพวกเรานั่นเอง

ก็คือกิเลสตัณหา โมหะอวิชชาความหลง

ที่จะหลอกล่อให้เราหลงติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด

 ที่จะหลอกให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งต่างๆทั้งหลาย

ที่มีอยู่ในโลกนี้ว่าสำคัญกว่าการศึกษา

สำคัญกว่าการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะความจริงแล้วไม่มีอะไรที่จะสำคัญกว่า

การศึกษากับการปฏิบัติตาม

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่จะช่วยให้เราได้หลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และการปฏิบัติตามคำสอนนี้เท่านั้น

ที่สามารถที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้

ดังนั้นเราควรที่จะกำจัดอุปสรรคต่างๆ เหตุผลต่างๆ

ที่จะหลอกล่อไม่ให้เราได้ศึกษา ให้ได้ปฏิบัติ

เช่นบางทีก็จะหลอกให้เราคิดว่าไม่เป็นการเห็นแก่ตัว

หรือ ที่เรามาศึกษามาปฏิบัติ

ปล่อยให้คนอื่นเขาดูแลตัวของเขาไปเอง

 อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นการเห็นแก่ตัวหรือ

 เวลาที่เราไปทำอะไรอย่างอื่น ทำไมไม่เคยมีความคิดว่า

เป็นการเห็นแก่ตัวบ้าง เวลาที่เราไปเที่ยวกัน

 ไปสนุกสนานเฮฮากัน ทำไมไม่คิดว่าเป็นการเห็นแก่ตัว

 ไปได้อย่างสบาย แต่พอให้มาศึกษา

มาปฏิบัติธรรมเท่านั้นเเล

 กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาทันที

กลายเป็นปัญหาขึ้นมาทันที

 กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวขึ้นมาทันที

ทั้งๆที่ทุกคนก็เป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว

 และการกระทำอะไรต่างๆก็ทำเพื่อตัวเองอยู่แล้วทั้งนั้น

การกระทำอะไรเพื่อตัวเราเองนี้

 ถ้าไม่ไปสร้างความเดือดร้อนสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น

 ก็ไม่น่าจะเป็นความเสียหายแต่อย่างใด

ถ้าการออกมาศึกษาการออกมาปฏิบัติเป็นการเห็นแก่ตัว

 ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้า

มาปรากฏให้เป็นที่กราบไหว้บูชาได้

 จะไม่มีพระอรหันตสาวก

มาปรากฏให้เป็นที่กราบไหว้ บูชาได้

 เพราะทุกคนก็จะต้องดูแลสิ่งนั้นดูแลสิ่งนี้

ดูแลคนนั้นดูแลคนนี้แล้ว จะมีโอกาสที่จะออกมาศึกษา

 มาปฏิบัติได้อย่างไร บรรดาผู้ที่มาบวชมาศึกษามาปฏิบัตินี้

จึงต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน

ทำไมเขามาบวชได้ทำไมเขาไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น

ทำไมพอเราจะปฏิบัติ พอเราจะศึกษาขึ้นมา

 กลายเป็นเราเป็นคนเห็นแก่ตัวเพียงคนเดียว

 อันนี้ก็เป็นเล่ห์กลของโมหะอวิชชา ตัวที่จะคอยหลอกล่อ

คอยดึงไม่ให้เราได้เล็ดรอดออกจากบ่วงพญามาร

แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเอง ขณะที่ทรงปฏิบัติ

 ก็ต้องพบกับพญามารที่จะมาคอยหลอกล่อ

ไม่ให้พระองค์ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

แต่เนื่องจากพระองค์มีสติปัญญาที่ฉลาดแหลมคม

 รู้เล่ห์กลของกิเลสตัณหาต่างๆ

จึงสามารถคว่ำกิเลสตัณหาต่างๆ

ให้หมดไปจากจิตจากใจได้ ได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า

 เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้

ถ้าเราดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าแล้ว

เราจะไปเห็นแก่ตัวได้อย่างไร

ขอให้เรายึดรอยทางดำเนินของพระพุทธเจ้า

 และรอยทางดำเนินของพระอรหันตสาวกทั้งหลายเถิด

 แล้วเราจะไม่ผิดหวัง แล้วเราจะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว

 แต่เราจะเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้เป็นจำนวนมาก

 อย่างที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 ได้เป็นมาจนบัดนี้

นี่คือสิ่งที่พวกเราควรที่จะพิจารณาอยู่เนืองๆ

ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมีคุณค่ามีประโยชน์มากกว่า

 การได้ศึกษาได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ต่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมาเป็นร้อยล้านพันล้าน

ต่อให้ได้ตำแหน่งใหญ่โตมโหฬาร

ถึงระดับเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี

 เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีคุณค่า

เท่ากับการได้ศึกษาได้ปฏิบัติ

 เพราะเมื่อเราได้ศึกษาได้ปฏิบัติแล้ว

เราก็จะได้รับผล อันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า อริยทรัพย์

 ทรัพย์ของพระอริยเจ้า คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี

พระอนาคามี และพระอรหันต์ ได้มรรคผล นิพพาน

ได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิด ได้ดับความทุกข์ต่างๆ

ที่มีอยู่ภายในหัวใจให้หมดสิ้นไป

ถ้าได้เงินทองเป็นร้อนล้านพันล้านได้เป็นใหญ่เป็นโต

 จะไม่สามารถทำให้การเวียนว่ายตายเกิดนี้สิ้นสุดลงได้

จะไม่สามารถดับความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้

 มีเพียงการศึกษาและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น และไม่มีเวลาอันไหน

 จะดีเท่ากับเวลานี้ คือปัจจุบันนี้

 เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่พร้อมที่สุดแล้ว

 เป็นเวลาที่เรายังมีลมหายใจ เป็นเวลาที่เรายังมีกำลังวังชา

ที่จะศึกษาและจะปฏิบัติได้อย่างเต็มที่

อย่าถูกความหลงหลอกให้เราผัดวันประกันพรุ่ง

ให้เราทำภารกิจอันนั้นก่อนอันนี้ก่อน

โดยที่ไม่รู้เลยว่า พรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้

 ชีวิตของเรานี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่นี้ไม่มีใครรู้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘

“โอกาสหลุดพ้นจากวัฏฏะ”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 พฤษภาคม 2559
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 10:45:22 น.
Counter : 807 Pageviews.

0 comment
### ขอบคุณชีวิต ###









ขอบคุณชีวิต

ถ้าเราไม่ต้องตาย วันแต่ละวัน เวลาแต่ละวินาที

ก็จะดูไม่มีค่า เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่เห็นค่าของเวลา

ตรงกันข้ามกับคนป่วยหนักหรือเป็นมะเร็ง

ส่วนใหญ่จะเห็นค่าของวันเวลาที่เหลืออยู่

เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเช้าวันใหม่

แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้วที่วันนี้ยังไม่ตาย

 ยังมีเวลาที่จะได้ทำสิ่งที่อยากทำ

 ความรู้สึกแบบนี้จะไม่มีกับวัยรุ่นหรือแม้แต่คนทั่วไป

เพราะเขาคิดว่ายังมี เวลาเหลือเฟือในโลกนี้

ความสุขจะหาได้ง่ายขึ้นมาก ถ้าเราตระหนักว่า

เราต้องตายไม่ช้าก็เร็ว

มีบางคนที่ทุกเย็นเมื่อได้เห็นหน้าลูก หน้าสามีภรรยา

 แค่นี้เขาก็มีความสุข และขอบคุณชีวิต

ในขณะที่หลายคนกลับมีความสุขยากเหลือเกิน

ต้องการโน่น ต้องการนี่ ตัวเองมีอยู่แล้วก็ไม่พอ

 ก็เพราะเขาลืมว่าสักวันหนึ่งเขาต้องตาย

ไม่ว่าจะได้อะไรมาก สักวันหนึ่งก็ต้องสูญเสียมันไป.

พระไพศาล วิสาโล






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 พฤษภาคม 2559
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 10:15:14 น.
Counter : 670 Pageviews.

0 comment
### วิธีทดแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ###














“วิธีทดแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า”

การปฏิบัติสร้างที่พึ่งทางใจ เพื่อให้ใจปลอดภัย

จากความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย

 คือเกิดความแก่ เกิดความเจ็บ เกิดความตาย

ดังนั้นการปฏิบัติจึงต้องเริ่มที่การเจริญสติ

เมื่อเรามีศีลแล้ว เราอยู่ในสถานที่สงบสงัดวิเวกแล้ว

งานหลักของเราที่เราจะต้องทำก็คือ การเจริญสติ

คือการดึงใจให้ออกจากความคิดปรุงเเต่งต่างๆ

 ไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้ ให้รู้อยู่เฉยๆ

 ให้รู้อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่อยู่กับสิ่งที่ทำอยู่

ก็ต้องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นอยู่กับการบริกรรมพุทโธๆไป

 เพื่อที่จะได้ไม่ให้ใจไปคิดเรื่องราวต่างๆนั่นเอง

ถ้าปล่อยให้ใจคิดเรื่องราวต่างๆ

เวลานั่งสมาธิจะไม่มีวันที่จะสงบได้

เป้าหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะได้ทำใจ

ให้เข้าสู่ความสงบนั่นเอง

สตินี้เป็นเหตุที่จะทำให้จิตรวม เป็น “เอกัคคตารมณ์”

 รวมเป็นหนึ่งเป็นอุเบกขา สักแต่ว่ารู้

จิตที่รวมเป็นหนึ่งสักแต่ว่ารู้นี้ เป็นจิตที่ปราศจากความทุกข์ต่างๆ

 เป็นที่หลบภัยได้ แต่เป็นที่หลบภัยเพียงชั่วคราว

ชั่วขณะที่อยู่ในสมาธินั้น เวลาอยู่ในสมาธินั้น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายหรือเกิดขึ้นกับใครก็ตาม

 ใจจะไม่รับรู้เลย ใจจะปล่อยวางหมด

เรื่องราวของร่างกายก็ปล่อยวาง

เรื่องราวของคนอื่นก็ปล่อยวาง

เรื่องราวของบ้านของเมืองของอะไรต่างๆ ปล่อยหมด

 ไม่รับรู้ไม่สนใจ รู้อยู่อย่างเดียวก็คือความว่าง

 สักแต่ว่ารู้ อยู่กับอุเบกขา ใจเป็นกลาง

 ไม่รัก ไม่ชัง ไม่กลัว ไม่หลง

แต่จะอยู่ได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกมารับรู้ต่อไป

ถ้าอยากจะรักษาใจให้ตั้งอยู่ในอุเบกขาต่อไป

ถึงแม้จะรับรู้แต่ไม่มีปฏิกิริยาคือไม่มีความรัก

 ความชัง ความกลัว ความหลงกับสิ่งที่รับรู้

ตอนนั้นก็ต้องใช้ปัญญาเป็นผู้กำกับดูแลใจ

 สอนใจให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

จะไปอยากให้เขาเที่ยงไม่ได้

อยากให้เขาเป็นดังใจของเราไม่ได้ เพราะเขาเป็นอนัตตา

เขาไม่ได้เป็นของเรา เขาไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเรา

 เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ร่างกายของเราออกไปนี้

ตั้งแต่เวทนาความรู้สึก ของร่างกายมันเป็นสิ่งที่เราสั่งไม่ได้

ห้ามไม่ได้ เวทนาจะสุขหรือจะทุกข์หรือจะไม่สุขหรือไม่ทุกข์

ถึงเวลาเขาเกิดเขาก็ต้องเกิด เราจะไปห้ามไม่ให้เขาเกิดไม่ได้

 เวลาเขาเกิดแล้วเราจะไปสั่งให้เขาหายไปก็ไม่ได้

ถ้าไปอยากให้เขาหายอยากไม่ให้เขาเกิด

 เราก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมาที่รุนแรงกว่า

ทุกขเวทนาของทางร่างกาย

แต่ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงอันนี้

เราก็จะไม่ไปยุ่งกับทุกขเวทนา จะไม่ไปยุ่งกับร่างกาย

 จะไม่ไปยุ่งกับเหตุการณ์ต่างๆ ภายนอกทางร่างกาย

 ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองในขณะนี้

 หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องลาภยศ สรรเสริญ

เราจะไม่ไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 เราจะปล่อยวาง เขาเป็นอย่างไร เรารับได้ทุกรูปแบบ

เขาจะเจริญเราก็รับได้ เขาจะเสื่อมเราก็รับได้

เวทนาจะสุขก็รับได้ จะทุกข์ก็รับได้ จะไม่สุขไม่ทุกข์ก็รับได้

 ถ้ามีปัญญาคอยสอนใจ ใจก็จะไม่ออกไปอยาก

ให้เวทนาก็ดี ร่างกายก็ดีเหตุการณ์ต่างๆก็ดี

 ลาภยศ สรรเสริญสุขก็ดี ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

 เพราะเห็นว่าเขาเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปสั่ง

ให้เขาเป็นไปตามความต้องการของเราได้

 เพราะเขาเป็นอนิจจัง เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

 เขามีขึ้นมีลงมีมามีไปมีเกิดมีดับ

 นี่คือปัญญาที่จะต้องคอยสอนใจ

 ไม่ให้ใจสร้างความอยากขึ้นมา

เช่นเวลาแก่ก็อย่าไปอยากให้ไม่แก่

เวลาเจ็บก็อย่าไปอยากให้ไม่เจ็บ

เวลาตายก็อย่าไปอยากให้ไม่ตาย ให้ใจเป็นอุเบกขาวางเฉย

 แก่ก็แก่ไป เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป

 สิ่งที่แก่ สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ตายก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี

เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

แล้วก็มีธาตุรู้คือใจมาเป็นผู้กำกับดูแล เท่านั้นเอง

 แต่ใจผู้ที่มากำกับดูแลนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟ ไม่สามารถที่จะสั่งให้ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ที่มารวมกันอยู่นี้รวมกันไปอย่างถาวรได้ ไม่ช้าก็เร็ว

การรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟก็จะอ่อนกำลังลงไป

แล้วการแยกตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ก็จะมีกำลังมากขึ้น

 นี่แหละคือเป็นเหตุ ของความฉลาดของเจ็บไข้ได้ป่วย

ของความตาย ก็คือกำลังของการแยกออกของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟ มีมากกว่ากำลังของการรวมตัวของดินน้ำลมไฟ

เวลาเกิดนี้กำลังรวมตัวของดินน้ำลมไฟนี้

มีกำลังมากกว่าการแยกของธาตุ ๔

ธาตุถึงรวมตัวกันเจริญเติบโตขึ้นมาได้

 เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาได้อย่างเต็มที่

แต่พอกำลังที่รวมธาตุ ๔ เริ่มอ่อนกว่ากำลังที่จะแยกธาตุ ๔

ร่างกายก็เลยเกิดการเสื่อม เกิดการชราตามลำดับ

 เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยตามลำดับ และในที่สุดก็เกิดความตาย

 พอตายแล้วธาตุทั้ง ๔ ก็จะแยกออกจากกัน อย่างถาวร

ธาตุลมก็จะออกไป ธาตุไฟก็จะออกไป ธาตุน้ำก็จะออกไป

 เหลืออยู่แต่ธาตุดิน ธาตุดินก็ในที่สุด ก็จะเปื่อยจะผุ

จะกลายเป็นดินไป อวัยวะต่างๆ เช่นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ

เอ็น กระดูก พอไม่มีธาตุน้ำเหลืออยู่แล้วก็จะแห้งกรอบ

แล้วก็จะเปื่อยจะผุแล้วในที่สุดก็กลายเป็นดินไป

นี่คือธรรมชาติของร่างกาย

 เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 แล้วก็เป็นการแยกสลายของดินน้ำลมไฟ ตามวาระของเขา

ตามกฎของอนิจจัง ก็คือไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร

มีการรวมตัวแล้วก็มีการแยกตัวกัน

 อันนี้เป็นเรื่องปกติของดินน้ำลมไฟ

เขาแยกออกไปแล้ว เดี๋ยวเขาก็ไปรวมตัวกันใหม่

เอาขี้เถ้าไปโรยไว้ใต้โคนต้นไม้

เดี๋ยวมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ไป เป็นปุ๋ยเป็นอะไรไป

 มันก็ไปรวมตัวอีกอย่างหนึ่งไป

 จากร่างกายมันก็ไปรวมตัวเป็นต้นไม้

แล้วต้นไม้พอสัตว์มากินเข้าไป

มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสัตว์ไป

พอคนมากินสัตว์มันก็ไปเป็นอีกส่วนหนึ่งของคนไป

มันก็ไหลกันไปเปลี่ยนกันไป จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง

 จากร่างกายไปสู่ดิน จากดินไปสู่ต้นไม้

 จากต้นไม้ใบหญ้าไปสู่สัตว์ จากสัตว์ไปสู่สมนุษย์

มันก็วนกันไปเวียนกันมาอยู่อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องของธาตุ ๔

ส่วนใจคือธาตุรู้ก็เป็นผู้ที่มาครอบครองธาตุ ๔ คือร่างกายนี้

 ในขณะที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ของมารดาแล้ว

 พอออกจากครรภ์ก็เป็นผู้สั่งกำกับให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ

 ตามความอยากตามความหลงของตน

 แล้วก็ไปทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายอีก

 จนกว่าจะได้มากับพระพุทธเจ้าที่รู้ความจริงว่า

 ความทุกข์ของพวกเราเกิดจากความหลง

ที่ไปอยากให้ร่างกายที่ไม่ใช่เป็นของเรา

เป็นของเราไปอย่างถาวร เป็นของเราเพียงชั่วคราว

 แต่เราอยากจะให้เป็นของเราอย่างถาวร

พอเขาจะต้องจากเราไป เราก็เกิดความทุกข์ทรมานใจขึ้นมา

 แต่ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นสมบัติชั่วคราว

 เขาจะต้องจากเราไปในวันหนึ่งข้างหน้า

 แล้วเราเตรียมตัวเตรียมใจสอนใจว่าอย่าไปยึดอย่าไปติด

 อย่าไปหวงอย่าไปห่วง ถึงเวลาเขาจะไป ก็ต้องปล่อยให้เขาไป

 เวลาไปเราก็จะไม่ทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ได้เกิดจาก

การไปหรือการอยู่ของร่างกาย

ความทุกข์เกิดจากความอยากของใจ

อยากไม่ให้เขาไปก็จะทุกข์ อยากให้เขาอยู่ก็จะทุกข์

นี่คือความจริงที่พวกเราได้รับจากพระพุทธเจ้า

 พระคุณของพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ยิ่งใหญ่กว่าพระคุณของบิดามารดา

บิดามารดาให้เราเพียงแต่ร่างกายกับทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่บิดามารดาไม่สามารถให้ธรรมะ

ให้ที่พึ่งทางใจแก่เราได้ ให้แสงสว่างแห่งธรรมกับเราได้

นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้เดียวที่จะให้ธรรมะ

แก่สัตว์โลกได้ พระอรหันตสาวกก็เป็นผู้ที่รับธรรมะ

จากพระพุทธเจ้ามาให้กันอีกทอดหนึ่ง

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็จะไม่มีพระอรหันตสาวก

มาเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้ได้

ดังนั้นพระคุณทั้งหมดนี้ต้องตรงไปที่พระพุทธเจ้า

เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว

ก็จะไม่มีพระธรรมคำสอนจะไม่มีพระอรหันตสาวก

มาเอาพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ให้เป็นที่พึ่งของพวกเรากัน

 พวกเราจึงเป็นหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

 และวิธีที่เราจะทดแทนหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ให้ปฏิบัติบูชา

 “ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติบูชาผู้นั้นแลคือผู้บูชาเราตถาคต”

 ถ้าเราอยากจะทดแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้า

ขอให้เราทดแทนด้วยการปฏิบัติบูชา

การบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียนนี้

เป็นเพียงการแสดงความเคารพเท่านั้น

 แต่ยังไม่ใช่เป็นการบูชาที่แท้จริง

ถ้าอยากจะบูชาที่แท้จริงต้องปฏิบัติ

ต้องเอาธรรมของพระพุทธเจ้า เข้ามาให้เป็นสรณะ

 เป็นที่พึ่งของใจให้ได้เท่านั้น เพราะนี่คือความปรารถนา

ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ทรงประกาศพระธรรมคำสอนนี้

พระองค์ไม่มีความปรารถนาอะไรจากใครทั้งนั้น

 เพราะพระทัยของพระองค์นี้ทรงเปี่ยมไปด้วยปรมัง สุขังแล้ว

ถ้าเป็นเงินก็เต็มบ้านเต็มช่องไม่มีที่เก็บแล้ว

 ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจากใครทั้งนั้น

แต่การที่ทรงยอมสละชีวิตที่เหลืออยู่อีก ๔๕ ปี

 มาเผยแผ่สั่งสอน พระธรรมคำสอนนี้ให้แก่สัตว์โลก

ก็เพราะมีความกรุณาความสงสาร

ที่เห็นสัตว์โลกนี้ยังถูกความมืดบอด

ความหลงหลอกให้ไปแบกร่างกายหลอกให้ไปหลง

ไปยึดไปติดร่างกายว่า เป็นตัวเราของเรา

แล้วก็เกิดความอยากไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย

แล้วก็เกิดความทุกข์ตามมา อยู่ทุกภพทุกชาตินี้

 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงสอนความจริงอันนี้แล้ว

 สัตว์ทั้งหลายก็ยังจะต้องเวียนว่าย

ตายเกิด ต่อไปอีกไม่มีวันสิ้นสุด

 แต่ถ้ามีพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนแล้ว

สัตว์โลกสามารถนำเอาความจริงอันนี้ ไปสอนใจ

ไปปล่อยวางความหลง ความยึดติดความอยากในร่างกายได้

 สัตว์โลกก็จะหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลายได้

หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

ดังนั้นถ้าผู้ที่มีความรักมีความเคารพพระพุทธเจ้า

 อยากจะบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้าอยากจะทดแทนพระคุณ

 ของพระพุทธเจ้าก็ขอให้ทดแทนด้วยการปฏิบัติบูชา

 จะเป็นการทดแทนบุญคุณที่พระองค์ทรงปรารถนา

 จะได้ทำให้พระองค์รู้สึกไม่เสียเวลาต่อการเผยแผ่สั่งสอน

พระธรรมคำสอนให้แก่สัตว์โลก

ดังนั้นขอให้พวกเรา คิดถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

 คิดถึงหน้าที่ของพวกเรา คิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ

จากการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 แล้วเราจะได้ทดแทนบุญคุณ อันใหญ่หลวง

ของพระพุทธเจ้าไปพร้อมๆกันเลย

นี่คือเรื่องของการมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมกัน

เพื่อมาสร้างที่พึ่งทางใจเพื่อให้ใจได้หลุดพ้นจากภัยต่างๆ

ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย

 ความตาย ความสูญเสีย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ

ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ก็คือความแก่

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย ความสูญเสียความพลัดพราก

จากสิ่งที่รักที่ชอบ และความเผชิญกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ

 ใจจะไม่วุ่นวายจะไม่เดือดร้อนกับภัยต่างๆ

ถ้าได้สร้างธรรมะขึ้นมา เป็นที่พึ่งของใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“ที่หลบภัยของใจ”









ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 พฤษภาคม 2559
Last Update : 21 พฤษภาคม 2559 11:03:49 น.
Counter : 819 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ