All Blog
670314 พิธีทำบุญล้างป่าช้า

670314 พิธีทำบุญล้างป่าช้า #พิธีทำบุญล้างป่าช้า #พรรณีเกษกมล
            ตอนเป็นเด็กประถม จำได้ว่า แม่เคยไปร่วมพิธีทำบุญล้างป่าช้า
            แม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน จึงเชื่อแบบคนจีน เช่น กินเจ แต่ไปร่วมพิธีทำบุญล้างป่าช้านี่น่าจะครั้งเดียวมั้ง
            ทำไมถึงนึกถึงพิธีนี้ วันที่ 13 มีนาคม 2567 มีข่าวน่าสลด อดีตครูสตรีวิทยา นอนเสียชีวิตในบ้านเป็นปี สภาพศพเหลือแต่โครงกระดูก เลยเปิดเนต ไม่รู้จะเกี่ยวข้องกันมั้ย ตอนตายไม่มีใครทำพิธีส่งวิญญาณไปยังภพภูมิใหม่
            พิธีทำบุญล้างป่าช้า ชาวจีนคิดว่าเป็นการสร้างกุศล สร้างบารมีให้ชีวิตดีขึ้น ได้ร่วมกันส่งวิญญาณศพไร้ญาติ ในป่าช้าหรือในสุสานให้ไปสู่สุคติ วิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ได้รับการปลดปล่อยและได้รับบุญจากพิธีกรรมนี้
            เมื่อเสร็จแล้ว จะทำพิธีขอบคุณเทวดา และเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ผู้ที่เข้าร่วมงานล้างป่าช้านี้ โดยเฉพาะคนทรง เจ้าภาพ และคนร่วมงาน ต้องถือศีล 8 กินเจ เพื่อทำให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ
ในระหว่างงานทางนั้นทางเจ้าภาพจะเปิดโรงทานจัดการดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารเจให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกคนด้วย ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะต้องสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ เพื่อให้ได้ช่วยกันทำงานด้วยจิตบริสุทธิ์
            ตอนนั้นยังถามแม่ว่า ไม่น่ากลัวเหรอ แม่คงตอบในฐานะแม่ว่า ไม่น่ากลัวหรอก เพราะไปทำบุญ ส่วนใหญ่เห็นแต่กระดูก ไม่ได้เห็นคนตายที่สยดสยอง แล้วไปกันเยอะ ๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือเท่านั้น
            เรื่องความตาย การจากโลกนี้ไปยังโลกใหม่ที่ไม่รู้ว่าคือที่ใดแน่ และจะเป็นเช่นใด ทำให้ส่วนมากหวาดผวา ลูกหลานคนรู้จักจึงต้องทำพิธีแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้จิตวิญญาณจากร่างไปด้วยใจสงบ ถ้ายังมีจิตหยั่งรู้ พร้อมไปภพภูมิใหม่ ไม่ห่วงพะวงกับโลกที่จำต้องจากไป
 



Create Date : 14 มีนาคม 2567
Last Update : 14 มีนาคม 2567 3:48:09 น.
Counter : 130 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
เรื่อง  โอกาสจะร่ำรวยจากหวย
เรื่อง  โอกาสจะร่ำรวยจากหวย
การทำนายจากโอกาสความน่าจะเป็นหรือใช้การวิเคราะห์แนวโน้มทางสถิติ
เอื้องฟ้า เราอยากรวย ทำอย่างไรนะจึงจะรวย เล่นหวยดีไหม
เอื้อมพร ตอนนี้หวยบนดินไม่มีแล้ว มีแต่หวยใต้ดินกับลอตเตอรี่หรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่บอกก่อนนะ อยากรวยด้วยหวยน่ะ เลิกคิดดีกว่า  ค่อย ๆ เก็บออมวันละน้อย ไม่นานก็รวยได้ เขาบอกว่าเริ่มออมเร็วเท่าไรจะรวยเร็วขึ้นเท่านั้น
เอื้องฟ้า ไม่เอา ไม่อยากฟัง อยากเล่นหวยมากกว่า รวยเร็วดี
เอื้อมพร ตั้งใจฟังให้ดีนะ  ถ้าเธอเล่นลอตเตอรี่ การทำนายว่าจะได้รางวัลต่าง ๆ จากโอกาสความน่าจะเป็น  เช่น
•            ถ้าซื้อสลากที่มีเลข 6 ตัว โอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลจากเลข 6 ตัว ในกรณีที่ซื้อ 1 ใบ จะมีค่าเท่ากับ 1/1000000 =0.000001
•            ถ้าซื้อสลากที่มีเลข 6 ตัว โอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลจากเลขท้าย 4 ตัว ในกรณีที่ซื้อ 1 ใบ จะมีค่าเท่ากับ 1/10000 = 0.0001
•            ถ้าซื้อสลากที่มีเลข 6 ตัว โอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลจากเลขท้าย 3 ตัว ในกรณีที่ซื้อ 1 ใบ จะมีค่าเท่ากับ 1/1000 = 0.001
•            ถ้าซื้อสลากที่มีเลข 6 ตัว โอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลจากเลขท้าย 2 ตัว ในกรณีที่ซื้อ 1 ใบ จะมีค่าเท่ากับ 1/100 = 0.01
เอื้องฟ้า ตัวเลขอะไรเยอะแยะแล้วจะรู้เรื่องไหมนี่ ยังไงฉันจะเริ่มเล่นหวย จะได้รวย ๆ
เอื้อมพร  มานี่ ตั้งใจดูให้ดี ถ้าพูดว่าหนึ่งในร้อยนี่ยากไหม ตัวอย่างถ้าเธอไปสอบแข่งขัน มีคู่แข่ง 100 คน เขาเอาคนเดียว
เอื้องฟ้า  ตายพอดี
เอื้อมพร  ถ้าหวังแค่เลขท้ายมีโอกาสหนึ่งในร้อย ถ้าหวังเลขท้ายสามตัวโอกาสได้แค่หนึ่งในพัน
ถ้าหวังเลขท้ายสี่ตัวโอกาสได้แค่หนึ่งในหมื่น ถ้าหวังรางวัลที่หนึ่งโอกาสได้จริง ๆ หนึ่งในล้านเชียวนะ
เอื้องฟ้า ตายอย่างเขียด
เอื้อมพร  โอกาสในการถูกรางวัลประเภทใดจะมีค่าสูงสุดจะดูจากตัวเลขที่มีค่าสูงสุด การ
ทำนายโอกาสในการได้รับรางวัลจึงควรรู้โอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลแต่ละประเภทด้วย
เอื้องฟ้า ไม่เล่นหวยก็ได้ เล่นหุ้นดีกว่า เหมือนคำพูดที่ว่า คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น เราก็รวยพอตัว เล่นหุ้นน่าจะดีกว่าเล่นหวยนะ ฟังแล้วดูโก้ดีด้วย ใช้เวลาว่างเล่นหุ้น
เอื้อมพร  ถ้าจะเล่นหุ้นต้องมีความรู้ทางสถิติด้วย เช่น ในกรณีที่ใช้การวิเคราะห์แนวโน้มทางสถิติอาจใช้สถิติต่าง ๆ ในระดับที่ง่ายจะใช้กราฟเส้นในการทำนาย เช่น การดูแนวโน้มของหุ้นใน 5 วัน นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่าย ๆ นะ ถ้าจะเล่นหุ้นจริงจังต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้เยอะ ต้องคอยเงี่ยหูฟังข่าวสารบ้านเมือง ฟังนักวิเคราะห์หุ้นอีก
กรณีที่ 1 ถ้าราคาหุ้นมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกวัน เหมาะแก่การเทขาย เพื่อให้ได้กำไร
กรณีที่ 2 ถ้าราคาหุ้นมีแนวโน้มต่ำ ลงทุกวัน เหมาะแก่การช้อนซื้อหุ้น เพื่อให้ได้กำไรเมื่ออนาคตมีราคาสูงขึ้น
เอื้องฟ้า  อะไร ๆ ดูยุ่งวุ่นวาย กว่าจะรวยได้ทำไมต้องรู้อะไรมากมายเช่นนี้
เอื้อมพร แน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้น ทุกคนจะรวยได้ในพริบตาถ้าไม่จำเป็นต้องมีความรู้ เช่น จะเล่นหุ้นให้รวยต้องรู้วิธีการทำนายราคาหุ้น ต้องมีความรู้ในราคาหุ้นในช่วงระยะเวลา
ที่ผ่านมา จำไว้เลยนะ ไม่มีใครรวยได้โดยโง่เขลาเบาปัญญา เขาต้องมีความรู้ความสามารถกันทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และเขาต้องศึกษาจนเข้าใจถ่องแท้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และมั่นใจว่าสิ่งที่รู้กับความสามารถที่เขามีจะนำพาเขาไปสู่ความมั่งมีได้
เอื้องฟ้า ถ้าไม่รู้และคร้านที่จะเรียนรู้ ขยันเก็บออมวันละน้อย ดังคำของออมสินที่ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาทดีกว่านะ
เอื้อมพร แต่ต้องไม่ใช่ต่อท้ายว่า ไปตลาดฟาดให้เกลี้ยงอย่าให้เหลือ มิเช่นนั้น ไม่ว่าชาติไหน ๆ คงไม่มีโอกาสที่จะรวยได้แน่นอน
 
การทำนายแนวโน้มของเหตุการณ์ในอนาคตได้
จะช่วยให้มองเห็นวิสัยทัศน์ในการพัฒนา
ทั้งนี้ต้องมีหลักวิชาในการคาดการณ์
สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นให้ใกล้เคียงมากที่สุด
ผู้ใดที่สามารถฝึกทักษะการทำนายได้ดี
ผู้นั้นย่อมมีอนาคตที่ดี



Create Date : 01 ธันวาคม 2566
Last Update : 1 ธันวาคม 2566 9:12:04 น.
Counter : 226 Pageviews.

0 comment
วิธีการฝึกทักษะการสร้างสรรค์
วิธีการฝึกทักษะการสร้างสรรค์
q           การสร้างสรรค์หรือ Creativity แปลว่า สร้างหรือทำให้เกิด สมองจะคิดและสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างหลากหลายและแปลกใหม่จนเกิดเป็นนวตกรรม เช่น งานเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี สิ่งประดิษฐ์ วรรณกรรม สถาปัตยกรรม โดยสิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อน ผู้คิดจะคิดขึ้นมาได้เองโดยตัวของเขาในรูปแบบวิธีดำเนินการหรือผลผลิตที่เกิดขึ้น อาจแตกต่างจากของเดิมบ้างเล็กน้อยเป็นการพัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่เดิม หรือคิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
ปัจจุบันผลงานด้านเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าแบบก้าวกระโดดชนิดที่คนรุ่นก่อนคาดไม่ถึง ความรู้พื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ พัฒนาจนเกิดเป็นคอมพิวเตอร์ และอีเล็กทรอนิคส์ เกิดการเปลี่ยนแปลงนวตกรรมในรูปของบริษัทข้ามชาติเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ผู้คนทั่วโลกได้ใช้ติดต่อสื่อสารกันและนำความมั่งคั่งมาสู่เจ้าของบริษัทและผู้เกี่ยวข้องอย่างมหาศาล
 
q           การสร้างสรรค์จะต้องทำให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติ การมองปัญหา วิธีการแก้ไข การรู้จักตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยว่าทำไมเราจึงคิดไม่เหมือนคนอื่น และพยายามหาคำตอบว่า สิ่งที่เราคิดนั้นสามารถเป็นจริงได้จริง ๆ  จะช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ ถ้ามองผลงานคนอื่นแล้วได้แต่ชื่นชมโดยไม่คิดว่าตนน่าจะทำได้ดีกว่าแล้วคงจะยากที่จะเกิดผลงานใหม่ที่ดีกว่าเดิม นักคิดแนวนี้คงต้องเป็นคนช่างติที่รู้ว่าควรจะติส่วนใดและจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไรด้วย
บางคนสร้างสรรค์ผลงานจากการอ่านสิ่งที่คนอื่นเขียน จากการฟังคนอื่นสิ่งที่คนอื่นพูด แล้วคิดว่าตนน่าจะทำได้ดีกว่า เพราะมุมมองต่อปัญหาต่างกัน เพราะประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เริ่มเขียนและพูดในรูปแบบของตนจากเค้าความคิดเดิมของผู้อื่น ทำให้เกิดผลงานใหม่ได้ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง
 
q           การสร้างสรรค์จะเกิดได้ด้วยการระดมความคิดจากคนหลายคนและพูดคุยกันอย่างเปิดอกถึงแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้ จากความคิดแรกส่งต่อให้เกิดความคิดของคนต่อไป การจุดประกายความคิดเกิดขึ้นได้ด้วยกระบวนการกลุ่ม ที่ทำให้ทุกคนอยากเข้ามามีส่วนร่วมและนำเสนอความคิดที่
การหาโอกาสเข้าร่วมประชุมสัมมนาที่มีผู้จัดในวาระต่าง ๆ ในหัวข้อใด ๆ ก็ตามทั้งที่สนใจหรืออยู่นอกเรื่องที่เคยเรียนรู้ก็ดี ทั้งที่ฟังฟรีหรือเสียเงินก็ตามจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น ได้รับฟังมุมมองของคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเขาจึงมีโอกาสมาพูดให้เราฟัง แต่ถ้าไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมสัมมนา อย่างน้อยหาโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นบ้างทั้งที่สนิทสนมกันมาเป็นอย่างดีหรือไม่เคยคุ้นหน้าคุ้นตาเลย เข้าไปพูดคุยกับเขาแล้วเราจะอัศจรรย์ว่าทำไมร้อยพ่อพันแม่ในความคิดได้มากมายเช่นนี้ จะได้เป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้คิดสร้างสรรค์ในมุมมองที่แปลกแตกต่างไปจากเดิมบ้าง
 
q           การสร้างสรรค์อาจเกิดได้โดยบังเอิญที่ผุดขึ้นมากลางใจอย่างกะทันหัน จากการครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่เพื่อค้นหาคำตอบที่ยังค้างคาใจ ในยามสมองปลอดโปร่งคำตอบนี้จะเกิดขึ้นได้เอง เช่น ในยามเช้าตรู่ก่อนลุกจากที่นอน หรือในยามค่ำช่วงที่ใกล้จะผล็อยหลับ เป็นช่วงที่สมองได้หยุดพักผ่อนสบาย ๆ สิ่งที่คิดค้างอยู่จะโผล่ขึ้นมาเอง
เวลาที่ดีที่สุดที่สมองปลอดโปร่งและแก้ปัญหาให้เราได้ สมองจะสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ ๆ ระหว่าง 2 ซีก สมองจะแยกประเภทและเก็บประสบการณ์ที่ได้ในแต่ละวัน การผ่อนคลายด้วยการเคลื่อนไหวในท่าบริหารสมอง (Brain Gym) ฟังเพลงจังหวะเบา ๆ ช้า ๆ ออกกำลังกายเบา ๆ การพูดคุย ร้องเพลง ยิ้ม นั่งสมาธิ การเรียนรู้จากภาพ และการพักช่วงสั้น ๆ ระหว่างการทำกิจกรรม จะช่วยให้สมองจัดระบบได้เรียบร้อยดียิ่งขึ้น
 
q           การสร้างสรรค์ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนในเรื่องของการมีอิสระที่จะคิดและทำงาน มีความเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิและอำนาจที่จะปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นหรือก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ และสำคัญต้องมีความตั้งใจจริงที่จะสร้างสรรค์ผลงานของตน ต้องเข้าใจว่า ความสามารถในการจินตนาการหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้เริ่มต้นจากสุญญากาศ แต่จากการผสมผสาน เปลี่ยนแปลง หรือการนำกลับมาใช้ใหม่
ความคิดสร้างสรรค์บางเรื่องอาจน่าทึ่งและยอดเยี่ยมมาก บางเรื่องอาจจะธรรมดาจนคนส่วนใหญ่มองข้าม ความจริงทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่วัยเด็ก แต่เมื่ออายุมากขึ้น มักถูกครอบงำด้วยกระบวนการศึกษาและผู้คนรอบข้าง แต่สามารถปลุกให้ตื่นได้ เพียงแต่ต้องตั้งใจที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่และให้เวลา การฝึกมองและคิดสิ่งรอบตัวว่าน่าจะลองเปลี่ยนอะไรดูบ้าง เช่น ชอคโกแลตไม่จำเป็นต้องเคลือบด้วยสตอร์เบอรี่เสมอไป อาจจะเคลือบด้วยถั่วลิสงหรือผลไม้ชนิดอื่นได้
 
q           ความคิดสร้างสรรค์ที่เยี่ยมยอดไม่ใช่ว่าเกิดจากการคิดเพียงครั้งเดียวหรือจากกิจกรรมเดียว แต่คิดตลอดเวลาว่าจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น อาจจะค่อย ๆ เรียนรู้ความคิดใหม่ ๆ ฝึกคิดให้หลากหลาย หาแนวทางแก้ปัญหาใหม่ ๆ รู้จักการผสมผสาน การสังเคราะห์แนวคิดให้กลายเป็นความคิดใหม่ ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ ปรับมุมมองเรื่องเก่า ด้วยมุมมองใหม่หรือมองแบบนอกกรอบ ปรับเปลี่ยนทิศทางการมองปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลาย
 



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2566 15:24:34 น.
Counter : 176 Pageviews.

0 comment
คนต่างรุ่น generation
เรื่อง ฉันมันคนรุ่นเบบี้บูม
การวิพากษ์วิจารณ์จะหยิบยกปัญหาที่สำคัญเพื่อทำให้เกิดมุมมองอย่างมีวิจารณญาณ
ในครอบครัวไทยหลายครอบครัวยังอยู่อาศัยแบบรวมกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา รุ่นลูกหลานและเหลน ความแตกต่างที่เรียกว่าช่องว่างระหว่างวัยจึงมักเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันบ้างระหว่างเครือญาติที่มีความคิดเห็นต่างกัน
ทั้งนี้ถ้าเข้าใจคำว่า ช่องว่างระหว่างวัย อาจทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ระหองระแหงกันมากจนเกินไป พ่อแม่ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างปู่ย่าตายายกับลูกและหลาน อาจต้องรับภาระหนักสุดเหมือนไส้แซนวิชที่มีขนมปังขนาบล่างและบน พอจะเอาใจปู่ย่าตายายต้องคอยพูดอธิบายให้ลูกและหลานฟัง พอจะตามใจลูกและหลานต้องทนฟังเสียงบ่นจากปู่ย่าตายายบ้าง แม้บางทีสิ่งที่พ่อแม่ทำยังขัดหูขัดตาปู่ย่าตายายเลย
มีคำตอบเรื่องลักษณะของคนแต่ละวัยมาอธิบายว่า แต่ละบริบทของสังคมทำให้คนที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน นี่เป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจคนแต่ละรุ่นวัยได้ดีขึ้น
ทำไมเราต้องยอมตามใจหลาน ๆ ให้ซื้อมือถือราคาแพงลิบลิ่วในสายตาของปู่ย่าตายาย ทำไมพ่อแม่จึงซื้อรถหรูราคาหลักล้านมาขับเพื่อประดับบารมีนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ทำไมปู่ย่าตายายจึงขี้เหนียวขี้งกนักในสายตาของลูกและหลาน ทำไมปู่ย่าตายายทนทำงานในที่เดิมตลอดชีวิตการทำงาน และพ่อแม่เปลี่ยนงานบ่อยเป็นว่าเล่น ส่วนลูกและหลานต้องวิ่งเต้นเสียเงินเข้าโรงเรียนอินเตอร์ หรือไม่ต้องส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาจะได้มีงานมีการดี ๆ ทำ
 
Generation หรือที่เรียกสั้นๆว่า Gen คือ การแบ่งกลุ่มประชากรตามหลักประชากรศาสตร์ (Demography) โดยมีการแบ่ง Gen ตามช่วงปีเกิด โดยจะแบ่งเป็น 5 Gen คือ Gen B, Gen X, Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha ซึ่งแต่ละรุ่นมีข้อดีและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ฉะนั่นเรามาดูข้อมูลของคนแต่ละ Gen กันค่ะ ว่ามีข้อเด่น อย่างไรบ้าง แต่ละ Gen อยู่ในกลุ่มอายุเท่าไร แล้วคุณละเป็น Gen อะไร
การแบ่งกลุ่มคนตาม generation นั้น มักใช้เพื่ออธิบายลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่ม Baby Boomer มักถูกมองว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ให้ความสำคัญกับครอบครัว กลุ่ม Generation X มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ดี ให้ความสำคัญกับอิสระเสรี กลุ่ม Generation Y มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความเป็นปัจเจกนิยมสูง ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ กลุ่ม Generation Z มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความคล่องแคล่วด้านเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการมีส่วนร่วม
 
การจัดแบ่งคนในแต่ละยุค เริ่มตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งบัดนี้คงไม่มีใครหลงเหลือชีวิตในยุคนี้อีกแล้ว เรียกคนในยุคนี้ว่า
Lost generation พ.ศ. 2426-2443 บ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัติจากสงคราม มีแต่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก การต่อสู้เต็มไปหมดเกือบทั่วทุกมุมโลก เต็มไปด้วยภยันตราย การออกรบและต่อสู้ การมีชีวิตที่รอคอยสามีกลับมา หญิงหม้ายและเด็กเล็กอยู่อย่างยากลำบาก
 
ยุคที่ 2 เป็นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2444-2467 เป็นยุคของการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากประเทศย่อยยับจากภัยสงคราม ทุกคนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม การแต่งกายจะมีความเป็นทางการสูง ทำทุกอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนชัดเจน ซึ่งคงไม่เหลือมากน้อยสักเท่าไรแล้ว เรียกยุคนี้ว่า Greatest generation
 
ยุคที่ 3 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2468-2488 เรียกยุคนี้ว่า Silent generation ผู้คนถูกอบรมมาให้จงรักและภักดีต่อนายจ้างและประเทศชาติสูง ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครยอมออกรบเพื่อผู้นำ สงครามโลกครั้งที่สองนี้นับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ล้านคน ชาวบ้านคงได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสงครามเสียที ยุคนี้เป็นรุ่นทวด ปู่ย่าตายาย ที่ยังพอจดจำความทรงจำที่ทุกข์ทรมานจากภัยสงครามได้บ้างและบอกเล่าให้ลูกหลานได้ฟัง แต่คงไม่มีใครอยากฟังหรือฟังแต่ไม่ซาบซึ้ง ความจงรักและภักดีของคนรุ่นนี้จะเข้มข้นมากถึงขั้นตำหนิคนรุ่นลูกหลานที่เปลี่ยนงานบ่อยหรือแสดงสิ่งที่ไม่จงรักภักดีต่อหน่วยงานที่ตนทำ
 
ยุคที่ 4 เรียก Baby boomer generation ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2489 -2507 สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก หลายประเทศมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมมีสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลสนับสนุนการมีลูกหลายคน จึงเป็นยุคที่มีจำนวนคนสูงสุดของโลก มีชีวิตเพื่อการทำงาน ประหยัดอดทน รอบคอบ ปัจจุบันคนรุ่นนี้เข้าสู่วัยปลดเกษียณพลอยทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเพราะรายได้ที่ลดลง รัฐต้องจ่ายสวัสดิการมากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่จะทำงานแทนมีจำนวนไม่เพียงพอ หรือขาดประสบการณ์
บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด
 
คนเจนบี เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน
 
ข้อดี Gen B เป็นยุคสิ้นสุดสงคราม คนเจนนี้จะมีชีวิตเพื่อการทำงาน สุขุม รอบคอบ ประหยัดอดออม สู้งาน เคารพกฎเกณฑ์ อดทนสูง มีประสบการณ์สูง มีความสามารถทางด้านการเข้าสังคม จงรักภักดีต่อนายจ้าง ให้ความสำคัญกับผลงาน ยินดีทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เคร่งครัดในจารีตประเพณี
 
 
ยุคที่ 5 เรียกยุค generation X โลกมั่งคั่งจากยุคก่อน วีดิโอเกมพัฒนาขึ้น เด็ก ๆ จะสนุกกับการเล่นเกม เมื่อโตขึ้นจะชอบความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์
ขณะที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โลกประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานทดแทน หนุ่มสาวรุ่นใหม่ต้องการความเป็นอิสระจึงเลือกครองตัวเป็นโสดหรือแต่งงานช้าลง และจะมีลูกน้อยลง
Gen X คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 (ค.ศ.1965-1981) คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม)
 
บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)
 
ข้อดี Gen X เป็นรุ่นที่มีความเข้มแข็งและปรับตัวได้ง่าย พวกเขามีความคิดเป็นระบบ และมีความรับผิดชอบสูงในการทำงาน พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ในองค์กรมากกว่ารุ่นอื่น จึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำและสามารถให้คำปรึกษาแก่รุ่นอื่นได้
 
 
ยุคที่ 6 เรียกยุคนี้ว่า generation Y เป็นยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เจริญรุดหน้ามาก คนยุคนี้จึงชอบงานไอที มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ มองโลกในแง่ดี แต่ไม่มีความอดทนทำงานในหน่วยงานที่คิดว่าไม่ก้าวหน้า
Gen Y หรือ Millennials คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2540 (ค.ศ.1982 - 2000) เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร
 
เจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน
 
ข้อดี Gen Y เป็นรุ่นที่เก่งในเทคโนโลยีและการใช้สื่อสังคมออนไลน์ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นทีมงานที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เขามักมีความสามารถในการทำงานแบบแฟล็กซิเบิ้ลและต้องการการตอบรับและการพัฒนาอยู่เสมอ
 
ยุคที่ 7 เรียกยุคนี้ว่า generation Z คนรุ่นนี้โตมาในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแล้วจึงเรียนรู้เร็วตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ
Gen Z คือ คนที่เกิด พ.ศ. 2541 - 2555 (ค.ศ. 2001 - 2014) กลุ่ม Gen Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน
 
สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง
 
ข้อดี Gen Z เป็นรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและมีความคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พวกเขามีมุมมองที่หลากหลายและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
 
Gen A หรือ Gen Alpha คือ กลุ่มคนนี้จะเกิดในช่วงปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป หรือง่ายๆ คือคน เจนอัลฟ่านั้นจะเกิดในช่วง ศตวรรษที่ 21 นั่นเอง จึ่งเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่
เด็กกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีโดยสมบูรณ์แบบ คือ มีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและมองเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนกับเจนก่อน ๆ ที่อยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยี จึงต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงพอสมควร แต่เด็กเจนนี้สามารถค้นหาหรือเข้าถึงข้อมูลใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่
เจนอัลฟ่าเรียกว่าเกิดในสภาพแวดล้อมใหม่ การติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
 
คนอีกกลุ่มหนึ่งเรียก generation C จะมีนิสัยได้ตามคนในยุคต่าง ๆ โดยไม่ได้กำหนดว่าเขาเหล่านั้นจะอายุเท่าใดแน่
 
การให้เหตุผลว่า ช่องว่างระหว่างวัยทำให้ความคิดอ่านของคนในครอบครัวหรือสังคมเดียวกันแตกแยกเป็นเพราะเขาเหล่านั้นเติบโตมาในบริบททางสังคมที่ต่างกัน
แม้แต่ในบ้านหนึ่งที่มีลูก 2 คน เกิดคนละรุ่น คนโต generation X พ.ศ. 2520 อีกคน generation Y พ.ศ. 2525 ลูก 2 คนคิดแตกต่างกันทั้งที่เกิดและเติบโตในบ้านเดียวกัน
คนโตเกิดมาตอนที่พ่อแม่เริ่มตั้งตัวเพิ่งจะมีงานทำ คนที่ 2 พ่อแม่ทำงานที่มั่นคง คนโตต้องการความเป็นอิสระ จึงแต่งงานช้าเพื่อความมั่นคงในครอบครัว เลือกทำงานที่คิดว่ามั่นคงและจะทำตลอดไป คนที่ 2 จะเลือกและเปลี่ยนงานบ่อยตามที่ต้องการ
ความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งช่องว่างระหว่างวัยทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความพยายามที่จะเข้าใจกันย่อมเป็นเหตุให้เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น ซึ่งคนแก่มักจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านของตน คนแก่คือคนรุ่นเบบี้บูมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในขณะนี้ ทำให้คนรุ่นหลังต้องยอมคล้อยตามเสียหลายเรื่องทั้งที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
 
 
ความต่างอาจทำให้เกิดความแตกแยก
แต่ความต่างทำให้สมานฉันท์ได้
ถ้าเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 14:46:23 น.
Counter : 115 Pageviews.

0 comment
การประยุกต์ด้วยวิธีการคิดของ Edward De Bono ใช้หลัก To Lo Po So Go 

Y         การประยุกต์ด้วยวิธีการคิดของ Edward De Bono ใช้หลัก To Lo Po So Go 
•            To (Where am I going to) กำหนดจุดมุ่งหมายของการคิด ว่ากำลังคิดอะไร เป้าหมายของการคิดอยู่ที่ใด ต้องให้คำจำกัดความของจุดมุ่งหมายใหญ่และจุดมุ่งหมายย่อยที่สามารถหาแนวคิดใหม่หรือคำตอบให้ชัดเจน
•            Lo (What should I look for) ค้นหาข้อมูลในสิ่งที่คิด ใช้คำถามกว้าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบ แล้วจึงเจาะจงคำตอบลงไปในส่วนที่ต้องการรายละเอียด
•            Po (What are possibilities) ขั้นตอนของการสร้างสรรค์ การผลิต   การทำให้เกิดการคิดเชื่อมโยงกับคำตอบที่ต้องการ ใช้วิธีคิดต่อไปนี้
i.            วิธีการดั้งเดิม ระบุสถานการณ์ที่คุ้นเคย กำหนดวิธีการแก้ปัญหาธรรมดาที่คุ้นเคย
ii.           วิธีการแนวความคิดทั่วไป ให้เชื่อมโยงจุดเริ่มต้นกับผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยความคิดกว้าง ๆ แล้วจึงเจาะจงความคิดลงไปในส่วนที่ต้องการรายละเอียด
iii.          วิธีการที่สร้างสรรค์ ความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นต้องขยายขอบเขตของความคิดเดิมในรูปแบบใหม่
iv.          การออกแบบและการรวบรวม วางเค้าโครงความต้องการและองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วออกแบบวิธีการให้สนองตอบต่อเค้าโครง
•            So (So What is the outcome) นำความคิดที่ได้มาคิดพิจารณาว่าสิ่งใดสามารถทำได้จริง 
i.            ขั้นพัฒนาความคิด นำความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาขจัดจุดบกพร่อง
ii.           ขั้นประเมินค่า สำรวจผลที่จะเกิดจากแต่ละความคิดในส่วนที่เป็นประโยชน์และคุณค่า ปัญหาและอุปสรรค
iii.          ขั้นเลือกความคิด ใช้วิธีการเปรียบเทียบเลือกสิ่งที่ดีสุด
iv.          ขั้นตัดสินใจ ให้พิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
•            Go (Go to it) เป็นขั้นของการปฏิบัติ นำความคิดที่ผ่านการตัดสินใจแล้วนี้ไปปฏิบัติจริง เป็นการประยุกต์ใช้โดยผ่านกระบวนการคิดหลายขั้นตอน
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 12:33:47 น.
Counter : 94 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments