All Blog
ทำไมจึงเป็นที่โหล่

580627 ทำไมจึงเป็นที่โหล่
Why is it the last by DrPK
ระดับห้องเรียน นักเรียน ครูสอนไม่รู้เรื่อง พูดอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจ หันหลังให้เด็กตลอด เห็นแต่ก้น พึมพำคนเดียวกับกระดานดำ ชวนแต่ไปเรียนพิเศษ ในห้องไม่ยอมสอน อยากจะเอาเงินเด็กท่าเดียว สอนแบบกั๊ก ๆ การบ้านไม่เคยตรวจ แต่ให้ทำการบ้านทำรายงานมาก หยุด 2 วัน ให้เหมือนหยุดสามเดือน ครูไม่ค่อยว่าง บอกโรงเรียนมีงานเยอะ ครูไม่ได้มีหน้าที่สอนอย่างเดียวนะ มีอย่างอื่นให้ทำอีกมากมาย ครูไม่ค่อยเข้าห้องสอน ครูต้องไปช่วยหัวหน้ากับรองผู้อำนวยการทำงาน ครูบอกงานยุ่งมาก ๆ
ครู นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่เล่นแต่คุยกับเพื่อน ๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้เล่นแต่มือถือ ไม่สนใจฟังครูหรอก นักเรียนบอกสิ่งที่ครูสอน กูเกิ้ลมีหมด อยากรู้ไปเปิดเอา ไม่ต้องฟังครูพูดก็รู้เรื่อง เวลาให้ทำรายงาน เปิดเนตเอาแต่ก๊อป พอให้เขียนโวยวายว่าเสียเวลา การบ้านเยอะทำไม่หมด ต้องนอนดึกเพราะการบ้านมากเสียเหลือเกินไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรอก ครูไม่กล้าไปดุด่าว่ากล่าวหรอก เดี๋ยวผู้ปกครองมาเอาเรื่อง ปล่อยไปเถอะ ตัวใครตัวมัน
              เพราะคิดกันเช่นนี้ทั้งครูและนักเรียน ต่างฝ่ายต่างโทษกัน นักเรียนที่ได้ที่โหล่ไม่เคยมองนักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งว่าเขาคิดและเขาทำตัวเช่นไร โทษแต่ครู ไม่เคยโทษตัวเอง ส่วนครูมีเหตุให้อ้างมากมาย ไม่ว่า นโยบายจากหน่วยเหนือ งานอื่นที่โรงเรียนมอบให้ แต่ไม่คิดจะปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้น่าสนใจตามกระแสโลกที่เปลี่ยนไป ดึงความสนใจมาที่การเรียน กิจกรรมที่ทำร่วมกับเพื่อนในห้องจนไม่มีโอกาสจะเล่นมือถือตามลำพัง
 



Create Date : 16 มิถุนายน 2567
Last Update : 16 มิถุนายน 2567 16:05:13 น.
Counter : 130 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
การใช้พลังสมองเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
การใช้พลังสมองเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
แนวคิดทางการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคม
เทคนิคและแนวคิดใหม่ในการจัดการเรียนรู้ คือ การใช้พลังสมองเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Brain – based learning)
ครอบครัวมีส่วนสร้างเสริมด้วยการทำให้บ้านอบอวลด้วยความรัก ความอบอุ่น บรรยากาศที่สบายใจด้วยเสียงเพลง สมองจะเกิดการเรียนรู้และมีวุฒิภาวะในพัฒนาการทางสติปัญญา
• อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ให้เคยชิน ให้รู้ว่าหนังสือคือเพื่อน คือสิ่งที่ต้องพบเห็นทุกวัน
• ให้เรียนรู้ในสิ่งที่เด็กสนใจ ไม่ใช่แม่สนใจ เช่น เลือกอาหารเองจากเมนู เลือกที่จะทำและเล่นเอง
• ฝึกทักษะการคิด จากการสังเกต การระบุ สำรวจ จำแนก ตั้งคำถาม จัดลำดับ รวบรวม เปรียบเทียบ จัดหมวดหมู่ แปลความ เชื่อมโยง ขยายความ ใช้เหตุผล อ่านหนังสือซ้ำ ๆ ด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ จนเด็กจำเสียงกับตัวหนังสือได้
พัฒนาการทางอารมณ์ สร้างความสุขง่าย ๆ
• เปิดเพลงคลาสิคที่สนุกสนานร่าเริงตั้งแต่ตั้งท้อง
• เมื่อเด็กร้องไห้ ให้รู้สาเหตุ อึ ฉี่ หิว ง่วง แล้วสนองความต้องการให้ตรงจุด
• พูดคุยกับลูกด้วยท่าทีที่อบอุ่น
• ร้องเพลงหรือเปิดเพลงให้สบายใจมีความสุข
• ให้เด็กทำในสิ่งที่อยากทำภายใต้ความรู้สึกที่ปลอดภัย
• อย่าสร้างความหวาดกลัวจากทีวี เนตที่น่ากลัว
• เลือกคนเลี้ยงที่ใจดีมีเมตตา
• การพูดคุยให้สบตา ตั้งใจฟังสิ่งที่พูด ดูในสิ่งที่ทำ
พัฒนาการทางสังคม ฝึกระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ
• วินัย ใช้คำสั่งสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ลงโทษรุนแรง ตี เขย่าตัวแรง ๆ ให้ออกมาจากเหตุการณ์นั้น
• การรื้อของเล่น ให้เก็บเมื่อเลิกเล่น แม่ทำเป็นตัวอย่าง
• การเล่นคนเดียวตามลำพัง ฝึกการพึ่งพาตนเอง ความเป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจ อิสรภาพ
• การเล่นกับเพื่อนฝึกการแบ่งปัน การเข้ากลุ่มเพื่อน ลดการขี้อาย
• สิ่งของที่ให้เล่นมีความมหัศจรรย์ในตัวของมัน เช่น น้ำ ทราย ดิน ดินน้ำมัน
• ของเล่นส่งเสริมพัฒนาการคิดตามลำดับ
• การชมเชยเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จจริง ๆ เท่านั้น ไม่ชมพร่ำเพรื่อ
• การตามใจให้ถูกที่ถูกเวลา รู้การควรไม่ควรด้วย
พัฒนาการทางร่างกาย การเคลื่อนไหว รูปร่าง
• ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม วิตามินตั้งแต่ตั้งครรภ์
• เด็กเล็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กที่จะให้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า
• ให้คว่ำ คลาน ตั้งไข่ ยืน เดิน โดยช่วยให้เกิดตามใจเด็กและในเวลาที่เหมาะสม
• ฝึกกิจวัตรประจำวันให้เป็นเวลา ช่วยสร้างวินัย อาบน้ำ กิน นอน อึ
• ปล่อยให้เด็กทำในสิ่งที่ต้องการ เช่น สำรวจ รื้อ หยิบ จับสิ่งของเพื่อพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ อย่าใช้คำสั่งห้ามหรือดุบ่อย ๆ หรือด้วยเสียงอันดัง เพราะจะไปหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็น
• พัฒนาเครือข่ายเส้นใยสมอง รอยหยักในสมอง จุดเชื่อมต่อ สารเคมีในสมอง
 



Create Date : 14 พฤษภาคม 2567
Last Update : 14 พฤษภาคม 2567 14:35:48 น.
Counter : 117 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
ทุกคนเป็นอัจฉริยะได้

ทุกคนเป็นอัจฉริยะได้
#พรรณีเกษกมล
            สมัยก่อนเมื่อพูดถึงอัจฉริยะ เรามักจะนึกถึงแต่นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังมีชื่อเสียง เช่น อัลวา เอดิสัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ ทั้งสองชื่อเล่นว่าอัล บางคนบอกเราน่าจะให้ลูกหลานชื่ออัลบ้างเผื่อจะฉลาดเหมือนกัน แต่เป็นความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
            ปัจจุบันมีการนิยามคำว่าอัจฉริยะเสียใหม่ ใคร ๆ จึงเป็นอัจฉริยะได้โดยไม่ยาก ไม่ว่าใครเก่งอะไรนับเนื่องว่าเป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น จึงมีคำว่าอัจฉริยะสร้างได้
            นักจิตวิทยาที่ชื่อโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์เป็นคนทำให้โลกของเด็กและวัยรุ่นสดใสขึ้นเมื่อพ่อแม่ไม่เคี่ยวเข็ญให้ลูกหลานเก่งแต่วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เท่านั้น เขาบอกว่า ปัญญามีหลายด้าน แล้วแต่ใครจะถนัดหรือชอบด้านใด เป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาหรือได้รับมาจากครอบครัวจนคุ้นเคย
            บางคนพูดเก่ง เขียนเก่ง สื่อสารได้รู้เรื่อง ต่อไปเหมาะกับการเป็น กวี นักเขียน นักกฎหมาย นักพูด ถ้าเพิ่มหลักตรรกะมีเหตุผลประกอบ เก่งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คงได้เป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ในอนาคต
            สำหรับคนที่มีสุนทรีย์ อารมณ์อ่อนไหว ซาบซึ้งกับเสียงดนตรี เหมาะกับ นักดนตรี นักเต้น ถ้าผนวกกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เหมาะกับศิลปิน จิตรกร สถาปนิก นักออกแบบ
            อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นอาชีพยอดฮิตคือนักกีฬาอาชีพ นักแสดง จะมีทักษะทางการเคลื่อนไหวและร่างกายแข็งแรง
            ผู้ที่เข้าใจคนอื่นได้ง่าย รู้สึกเห็นใจผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ เหมาะจะเป็น นักเขียน นักแนะแนว ผู้ให้คำปรึกษา จิตแพทย์ ถ้าเพิ่มภาวะผู้นำ มีโอกาสได้เป็นนักการเมือง ครู นักขาย นักโฆษณา ผู้นำในทุกระดับ
            กลุ่มที่ชื่นชมธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คงจะเหมาะกับอาชีพนักสิ่งแวดล้อม นักธรรมชาติวิทยา นักธรณีวิทยา และอีกกลุ่มชอบใคร่ครวญจมอยู่กับความคิด จะเหมาะเป็นนักวิชาการ นักปรัชญา นักคิด
            หน้าที่ของทุกคนจึงต้องค้นหาว่าเด็กของตนมีอัจฉริยะในด้านใด มีแววว่าจะเก่งถนัดหรือชำนาญในทางใดมากกว่ากัน ให้ส่งเสริมในด้านนั้นให้มากเป็นพิเศษจะได้เป็นทุนรอนในตัวของเขายามเติบใหญ่และจะได้เป็นช่องทางทำมาหาเลี้ยงชีพต่อไป
            สมองจัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่จะบ่งบอกได้ว่า ใครฉลาดกว่าใคร เราจึงมุ่งเน้นในการพัฒนาศักยภาพสมองซึ่งสามารถทำได้ด้วยหลายหลักการหลายทฤษฎี เช่น Brain-based Learning
            คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นพลังสมองของลูกน้อยได้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ในครรภ์ และทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ลูกน้อยสามารถพัฒนาศักยภาพให้ถึงขีดสุด และใช้ความสามารถของตนเองได้เต็มที่ โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้การเล่นและการให้ความสำคัญด้านโภชนาการ ซึ่งลูกควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลายชนิด เพื่อเพิ่มพัฒนาการ เพิ่มพลังการเรียนรู้ และร่างกายแข็งแรง
            พอเข้าสู่วัยรุ่น เขาสามารถพัฒนาสมองได้ด้วยตนเองโดยมีพ่อแม่ และครูคอยอบรมบ่มเพาะและประคับประคองให้มีนิสัยที่ดี เช่น นอนหัวค่ำ วัยรุ่นชอบนอนดึกด้วยกิจกรรมไร้สาระ ไม่ว่าจะแชทกับเพื่อน เล่นเกม การนอนให้เพียงพอควรมากกว่าคืนละ 6 ชั่วโมง
            รูปร่างสมส่วนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ากลัวอ้วนจนไม่กินไม่นอน อดอาหาร และกินยาลดความอ้วน เป็นความเข้าใจที่ผิด การเลือกอาหารพวกปลา น้ำมันปลา นมถั่วเหลือง ดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งจำเป็น การออกกำลังจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสมส่วนได้ดีกว่าอดอาหาร
            การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปเรียนวิชาดนตรี ทำอาหาร คอมพิวเตอร์ หรืออื่นใดที่ลูกสนใจช่วยเปิดโลกกว้างและได้สำรวจสิ่งที่สนใจและถนัดได้กว้างขึ้น การฝึกจดจำเส้นทางที่ไปมา สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เพื่อฝึกใช้เหตุผลและฝึกคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการฝึกสมาธิซึ่งช่วยให้สมองสงบนิ่งจะทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น
            อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความรักความอบอุ่นในครอบครัว การทะเลาะเบาะแว้งของพ่อแม่หรือคนในครอบครัวไม่เป็นสิ่งที่ดี ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยทั้งที่บ้านและโรงเรียนช่วยให้เด็กสงบและสมองพัฒนาได้เร็วขึ้น
            การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การออกกำลังสมองช่วยให้สมองแข็งแรงขึ้นเช่นกัน ความรู้สึกกล้าเสี่ยงมีมากขึ้น ชอบโลดโผนและไม่กลัวอันตรายซึ่งจะดีถ้าอยู่ในกรอบที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเล่นกีฬาเป็นทีมช่วยให้การปรับตัวเข้ากับเพื่อนทำได้ง่ายขึ้น
            เมื่อต้องการพัฒนาสมองคงต้องรู้จักสมองให้มากขึ้น เช่นว่า เราสามารถเรียนรู้และทำหลายเรื่องได้ในเวลาเดียวกัน ความสนใจและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ช่วยให้เซลล์ปลายประสาทสมองแผ่ขยายกิ่งก้านได้รวดเร็วขึ้น
            อารมณ์ความรู้สึกจะสัมพันธ์กับสมอง คนที่อารมณ์ดีมักจะฉลาดและแก้ปัญหาได้ดีกว่าคนขี้โมโหหงุดหงิดง่าย การนั่งสมาธิจึงช่วยให้สงบและเรียนรู้ได้ดีขึ้น
            เขาว่าสมองมี 2 ซีกคือซ้ายและขวา แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ลึก ขอให้เข้าใจว่า เราควรทำหลายสิ่งที่ตรงข้ามกันให้ได้และให้มันประสานกันอย่างอัตโนมัติ
            การเรียนได้ดีต้องหมั่นทบทวนรื้อฟื้นสิ่งที่เคยเรียนรู้ไปแล้วให้มันคงทนอยู่ในสมอง ใช่ว่าผ่านมาแล้วให้ผ่านเลยไป
            หลังจากทนอ่านจนจบ สมองคงจะรับรู้ว่า เราสามารถเป็นอัจฉริยะได้ในแบบฉบับของเรา เราเป็นหนึ่งและหนึ่งเดียวในโลก ไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนใครแต่ต้องเก่งให้ได้ในแบบที่เราต้องการ
 



Create Date : 14 พฤษภาคม 2567
Last Update : 14 พฤษภาคม 2567 12:28:27 น.
Counter : 138 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
ทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกัน
ทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกัน
คำพูดนี้อาจเกินเลยไปในสายตาของคนหลายคน คำคัดค้านคงมีมากมาย แต่ลองพิจารณาประเด็นย่อย ๆ ต่อไปนี้ก่อนว่า มันอาจจะเป็นจริงได้
คนที่เรียนเรื่อง การวิจัย จะรู้ว่า ตัวแปรเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
คนส่วนใหญ่สนใจแต่ตัวแปรต้นและตัวแปรตาม แต่แท้ที่จริงตัวแปรแทรกซ้อนนี่สำคัญกว่า
ทำไมในการทดลองภาคสนาม ผลการทดลองจึงต่างกันทั้งที่ใส่ตัวแปรต้นเหมือนกัน เพราะควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนไม่ได้
คนเป็นครูจะรู้ว่า เด็กทุกคนมีความแตกต่างกัน การเรียนการสอนในชั้นเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ที่ครูใช้วิธีการสอนแบบเดียวกับเด็กที่ต่างกัน ผลย่อมไม่เท่ากันอยู่แล้ว
เด็กที่ชอบเรียนเขียนอ่านจะเรียนรู้เรื่อง แต่เด็กที่มีปัญญาในรูปแบบที่ต่างกันออกไปจะเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง
ครูจึงควรมีความรู้เรื่องพหุปัญญา
เด็กแต่ละคนจะเก่งแต่ละด้านต่างกัน
เด็กแต่ละคนจะเรียนด้วยวิธีการที่ต่างกันหรือมีลีลาการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน
วิธีการสอนในแต่ละเรื่อง แต่ละบริบทของครู จึงควรต่างกัน ด้วยขึ้นอยู่กับเนื้อหาและเด็กที่เรียน ไม่ใช่สอนแบบบรรยายตลอดปีตลอดชาติ
ถ้าครูไม่ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้เหมาะกับเด็กแต่ละคนแล้ว เด็กที่ได้ที่ 1 ย่อมได้ที่ 1 และเด็กที่ได้ที่โหล่ย่อมได้ที่โหล่ตลอดไป
การสอนพิเศษจึงเกิดขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่มีความรู้และมีเงินมากพอจะจ้างครูมาสอนแบบตัวต่อตัว ซึ่งจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะครูจะค้นหาสาเหตุว่า พื้นฐานตรงไหนที่เด็กไม่เข้าใจ และเสริมแต่ละจุดจนรู้เรื่อง และเข้าใจดี
เมื่อพื้นฐานแม่นการต่อยอดจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
 
ทุกคนจะเรียนรู้ได้เท่ากัน
แต่อาจใช้เวลาที่ต่างกัน
และวิธีการที่แตกต่างกันออกไป
 
เมื่อต้องการให้เด็กเป็นคนเก่งในทุกด้าน เช่น สอบได้ที่ดี ๆ ในห้อง ลองค้นหาจุดอ่อนที่มีอยู่ในตัวเขา เสริมเพิ่มเติมให้รู้เท่ากับเกณฑ์มาตรฐานที่โรงเรียนกำหนดและอาจจะมากกว่า หรือจะให้มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านที่ติดตัวเขามาแต่เล็กแต่น้อยให้ใส่ในสิ่งที่เขาต้องการจนเต็มอิ่ม
การเรียนรู้ที่จะรู้จักเด็กแต่ละคนเป็นอย่างดี และให้ในสิ่งเด็กขาด รวมทั้งเพิ่มเติมในสิ่งที่เด็กต้องการ ย่อมสร้างศักยภาพให้มีอย่างเต็มที่ได้
เชื่อเถอะ เริ่มต้นเสียแต่วันนี้แล้วลูกของคุณจะเป็นที่ 1 ได้อย่างแน่นอน
 



Create Date : 13 พฤษภาคม 2567
Last Update : 13 พฤษภาคม 2567 15:19:16 น.
Counter : 137 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
การสอนให้เด็กคิดสร้างสรรค์

การสอนให้เด็กคิดสร้างสรรค์
การสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการเรียนรู้ขั้นสุดท้ายที่ Anderson and Krathwohl ได้ต่อยอดทฤษฎีการเรียนรู้ของเบนจามิน บลูม ซึ่งเป็นทักษะที่ ทันสมัยและจำเป็นต่อโลกปัจจุบัน
แล้วจะสร้างลูกหลานให้มีทักษะการคิดสร้างสรรค์ได้หรือไม่ ตั้งแต่เมื่อใด
 
ทฤษฎีจิตสังคมของอีริค อีริคสัน (Erik Erikson) แบ่งพัฒนาการเป็น 8 ระยะ แต่ละระยะ แต่ละคนจะพบกับวิกฤตทางจิตสังคมซึ่งส่งผลลัพธ์ในทางบวกหรือลบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพภาพ
ระยะที่3 ความคิดริเริ่ม กับ ความรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt)
ระยะที่เด็กแสดงตัวตนมากขึ้น มีชีวิตชีวาและมีการพัฒนาชีวิตที่รวดเร็ว ซึ่งผู้ปกครองอาจมองว่าดื้อด้านได้
ช่วงนี้เด็กเริ่มเข้าโรงเรียน จะเล่นกับเพื่อน มีทักษะการสื่อสาร การสร้างกิจกรรม สร้างเกมต่าง ๆ ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและ ตั้งคำถามและหาความรู้มากขึ้น
ถ้าได้รับโอกาส เด็กจะพัฒนาทักษะความคิดริเริ่ม และมั่นใจในทักษะความเป็นผู้นำและตัดสินใจ
ในทางกลับกันหากถูกจำกัด ด้วยการถูกต่อว่าหรือถูกควบคุม ผู้ปกครองลงโทษ หรือทำท่ารำคาญคำถาม หรือข่มขู่ บอกอย่าพูด เด็กจะรู้สึกผิด ไม่กล้า ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลง และจำกัดความคิดสร้างสรรค์
ความสมดุลของความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิดจึงสำคัญ
 
เมื่อเด็กเริ่มเข้าอนุบาล โรงเรียนจะมีบทบาทในการอบรมร่วมกับพ่อแม่
วัยนี้จะบ่มเพาะความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ Initiative ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งในสังคมสมัยใหม่
การเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่น ได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่ท้าทายความ
สามารถ พร้อมกับมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และได้เรียนรู้เรื่องบทบาททางเพศ
พ่อแม่จำต้องเป็นตัวแบบที่ดี ที่ต้องการให้เกิดในตัวลูก และคอยบอกว่าสิ่งใดดีควรทำและสิ่งใดไม่ดีควรหลีกเลี่ยง
ส่วนโรงเรียนฝึกให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ทั้งพ่อแม่ ครูต้องสร้างสัมพันธภาพและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กด้วยวิธีการที่ไม่โหดร้าย ดุหรือตวาดเสียงดังจนเด็กร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกผิด Guilt จนไม่กล้าจะทำสิ่งใดที่พ่อแม่หรือครูไม่อนุญาต
ถ้าเด็กรู้สึกผิดจะทำให้ไม่กล้าคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพราะฝังใจว่าจะโดนดุ โดนลงโทษ
อย่าลืม เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่เสริมสร้างการเรียนรู้ ให้เล่น ให้คิดประดิษฐ์ สร้างจินตนาการ ได้ใช้ร่างกายในการวิ่ง กระโดดโลดเต้น เคลื่อนไหวร่างกาย
บางครั้งเด็กอาจดูกระด้างหรือก้าวร้าวไปบ้างด้วยกำลังทดสอบพละกำลังหรือความคิดของตน แต่โดนขัดขวาง การใช้คำพูดที่ดีจะช่วยลดสิ่งที่ไม่ควรทำให้น้อยลงได้
 



Create Date : 13 พฤษภาคม 2567
Last Update : 13 พฤษภาคม 2567 11:05:16 น.
Counter : 117 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
1  2  3  4  5  6  7  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments