สองฝ่ายคิดต่าง สองเจ้านายคนละขั้ว
สองฝ่ายคิดต่าง สองเจ้านายคนละขั้ว
            ขุนนางเริ่มแบ่งขั้วเป็นสองฝ่าย ต่างคิดสะระตะจะเลือกข้างใดดี มันหมายถึงอนาคต และชะตากรรม แรก ๆ ยังเจรจาหาข้อมูล ไม่เปิดเผยตัวตนให้ชัดเจน กลุ่มหนุ่มมักเอนเอียงไปทางจ้าวทัศน์
            “มันชักจะยังไงซะแล้วนะ” คนแรกเริ่มเปิดประเด็น พวกพ้องเขยิบชิดเข้ามาใกล้วงกว่าเดิม
            “เบา ๆ หน่อย รู้นะว่าจะพูดเรื่องอะไร” คนนี้มีแวววิตกกังวล ”เผื่อมีใครได้ยิน”
            “แต่มันน่าคุยกัน ไม่งั้นไม่รู้อะไรเป็นอะไร ตกข่าวอาจยิ่งแย่” พออีกคนเปิดทาง วงนี้เริ่มคึกคักขึ้น ด้วยแน่ใจว่ามีแต่พวกเราเท่านั้น
            “กลุ่มนั้นเปิดเต็มหน้าตักเลยนะ นายใหญ่สุด เห็นมั้ย ชัด ๆ พวกลิ่วล้อเสนอหน้าสลอน ไม่รู้คิดการณ์ใหญ่ใด ทำลับ ๆ ล่อ ๆ”
            “จะอะไรล่ะ รู้รู้กันอยู่ หมดหนทางอดได้นั่นแหละ เคยได้จนชิน ทำทำจะชวด ก็คราวนี้แหละ”
            “เขาไม่เรียกอดกินหรอก น่าจะเป็นสวาปามไม่ได้ต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้ว่า ถ้าหัวไม่ขยับ หางจะส่ายรึ ทุกวันนี้ มีใครบ้างไม่โดนรีดไถ กลัวจนหัวหด ยอม ๆ จ่ายไป ทั้งที่แทบจะไม่เหลือกันแล้ว”
           
            ศึกการแย่งชิงอำนาจเริ่มต้นแล้ว และจะยุติเมื่อไร ต้องใช้ฝีมือพละกำลังเหนือกว่าอีกฝ่าย ทั้งเปิดเผยและแทงข้างหลัง
            ศึกการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุด ระหว่างขั้วอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ จะเป็นไปแบบดุเดือดเลือดพล่าน เปิดหน้าตักให้เห็นซึ่งหน้า หรือจะซุ่มแยบยล ทำสงครามเย็น สาดสีใส่โคลน ให้ชาวประชามาเป็นพวก เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
ขั้วอำนาจเก่าทำทุกวิถีทาง ปกป้องตัวเองอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช เพื่อครองอำนาจให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าด้วยวิถีใด ทั้งสาดสีใส่โคลนพวกขั้วอำนาจใหม่ ยัดข้อหากบฏซะเลย
ทำไมต้องข้อหากบฏ
ทำไมต้องสาดสีใส่โคลน จนอำนาจใหม่เละตุ้มเป๊ะ
สมุหพระกลาโหมประกาศตนอย่างเปิดเผย ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง โดยมีลิ่วล้อรับกันเป็นทอด ๆ เพื่อจัดการกับจ้าวทัศน์ให้หลุดจากวงโคจรอำนาจใหม่ อีกคนที่โดนตั้งข้อสงสัยคือออกพระนายไวยคนสนิทของเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์
 
จ้าวทัศน์รู้สึกว่า โดนรุกไล่มากเกิน จะมัวแต่ตั้งรับ ไม่ได้แล้วมั้ง
วงสนทนาที่มีแต่คนใกล้ชิด ทหารสนิท คนรู้ใจ
“พระองค์จะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้กระมังขอรับ
“อุเหม่ มันจะปล่อยเลยตามเลยได้ยังไง กลุ่มนั้นเน่าเหม็นฟอนเฟะเกินกำลัง มีแต่ฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ข่มเหงราษฎร ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมซะขนาดนั้น”
“แต่มันยังไม่ถึงเวลารึเปล่า พวกเรายังมีกำลังไม่กล้าแข็ง จะไปสู้กับพญาเหยี่ยวได้ไง”
“เฮ้ย แต่พวกเราน่ะ พญาอินทรีเหมือนกันนะ” ทุกคนหรี่ตามอง “จริงรึ พวกเราเป็นพญาอินทรีแล้วจริงรึ กำลังทหารในเมืองน่ะ น่ากลัว พวกเรามีแค่ทหารรักษาพระราชวัง”
“นอกจากทหาร ชาวบ้านน่ะเทิดทูนทีเดียว พวกนั้นเกาะกุมอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ คงยากที่
จะปล่อยไปจากมือง่าย ๆ แล้วใครหน้าไหนจะกล้ามาแหยมต่อกรด้วย ยกเว้นแต่พวกเรากระมัง”
“จะสู้ ให้ชนะ ต้องมีฝีมือเก่งกาจและฉลาดหลักแหลมกว่ามาก ไม่เช่นนั้น อย่าไปคิดต่อกรด้วย เป็นอันขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
“พูดแบบนี้ ก็เกินไป พวกเราไม่กระจอกนัก ต้องตั้งหลักกันให้ดี โอกาสชนะ มองเห็น ๆ”
วงนี้คุยกันแบบเคร่งเครียด เพื่อหาทางต่อสู้กับกลุ่มนั้น
 
ผู้นำขั้วอำนาจใหม่ได้แก่จ้าวทัศน์ พระโอรสในเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ผู้หวังจะพัฒนาบ้านเมืองตามแนวสมัยใหม่อย่างคนต่างชาติต่างภาษาที่ได้ชื่อว่ามีอารยธรรม
จ้าวทัศน์ ผู้ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าเหนือหัวลำดับต่อไป ยังไม่มีสมัครพรรคพวกที่จงรักภักดี และประชาชีที่หนุนด้วยใจที่จงรัก มากเท่ากลุ่มนั้น
            การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
ระหว่างขั้วอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่
มีเสมอมาทุกยุคทุกสมัย
            อำนาจเก่าเป็นทหารที่ร่วมกอบกู้เอกราช มีแต่ชาวบ้านที่เทิดทูนว่าเก่งกล้าสามารถ มีทหารหาญอยู่ในกำมือ พร้อมสั่งลุย ให้ตายในสนามรบได้ทันที
ถ้ารู้ว่ามีหนุ่มหน้ามนคนหน้าใหม่มาลองเชิง ยะโสโอหังเข้าใส่ อาจโดนดี ด้วยอำนาจที่มีสามารถทำให้ผู้ท้าชิงโดนโทษทัณฑ์ได้เกือบทุกคดี ปิดปากเงียบ ๆ หรือตั้งข้อหาให้ติดคุกหัวโต ความผิดน่ะหาง่าย ยัดข้อหาให้ จากถูกเป็นผิดได้ไม่ยากนัก
           ส่วนฝ่ายตน ผิดเป็นถูก ไม่มีวันเสียล่ะ ที่จะเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด เป็นพวกเดียวกัน ที่พร้อมใจจะทำตาม แม้แต่เรื่องใหญ่เช่นโค่นบัลลังก์ยังทำได้
ใครจะชนะ ใครจะเพลี่ยงพล้ำ
           
            หลังพิธีแต่งตั้งจ้าวทัศน์เป็นพระมหาอุปราช บรรยากาศทางการเมืองเริ่มอึมครึม และหม่น หมองมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า จ้าวทัศน์คิดก่อกบฏ หวังจะเป็นเจ้าเหนือหัวเสียโดยเร็ว ไม่คิดจะรอให้สิ้นพระบิดาเสียก่อน
“อย่างนี้เป็นลูกอกตัญญูนะ ใจบาปหยาบช้า” เสียงก่นด่ารุนแรงตามมาติด ๆ เมื่อเสียงกระซิบนินทาว่าร้าย แผ่ขยายไปยิ่งกว่าไฟไหม้ฟาง ลามทุ่งรวดเร็ว
เหตุการณ์บานปลายที่เกิดจากการสร้างความรู้สึกเกลียดชัง จากคำยุแยงของบรรดาบ่างช่างยุได้ก่อตัวอย่างรุนแรงราวพายุบ้าคลั่ง แผนแรกดูสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ปากต่อปาก ช่วยกันโพนทะนา จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสิบ จากกลุ่มเล็กเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วทั้งบ้านทั้งเมือง ทุกครัวเรือน รู้กันไปทั่วว่า ลูกคิดล้มพ่อ ไม่ยอมรอให้พ่อสิ้น หวังเป็นใหญ่ในเร็ววัน
ไม่มีใครแก้ข้อกล่าวหานี้ได้เลย ได้แต่เออออห่อหมก เห็นจริงเห็นจัง แล้วเล่าต่ออย่างเมามันในอารมณ์ ราวกับรู้เห็นด้วยตา แจ้งแก่ใจแล้วฉะนั้น
วิธีการนี้อาจสกปรกในสายตาบางคน แต่ใช้ได้เกือบทุกยุคทุกสมัย
การสร้างความเกลียดชังอย่างฝังจิตฝังใจ แล้วเกิดอคติ พร้อมจะเข้าร่วมกับพัวพันพวกที่คิดเห็นเหมือนตน เข้าโรมรันด่าทอฝ่ายตรงข้าม อย่างปากไม่มีหูรูด
 
ขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ใช้กลยุทธ์เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ และดึงฐานอำนาจทางทหารมาฝ่ายตนให้มากที่สุด
ต่างฝ่ายต่างหาวิธีช่วงชิงอำนาจมาเป็นของตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จ้าวทัศน์ตกเป็นเป้าสังหาร คิดหาวิธีแก้เกม
ศัตรูทางการเมือง กลุ่มอำนาจเดิม มีกองทหารพร้อมลุย แล้วเขาล่ะ ไม่มีฐานอำนาจทางการทหารเลย นอกจากกรมทหารรักษาพระองค์เท่านั้น คงยากที่จะต่อกรกับทหารของแผ่นดิน ภายใต้อำนาจของสมุหพระกลาโหม
เมื่อจ้าวทัศน์ได้มีรับสั่งให้คนสนิทกลุ่มเดิมมาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อปรึกษาหารือวางแผนรับมือ ได้รับคำแนะนำที่อาจต่อกรได้
“อย่าลืมว่า การยอมอ่อนข้อต่อขั้วอำนาจเก่า อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ตอนนี้น่าจะเลยเวลาของการอ่อนข้อแล้ว มีหนทางเดียวคือสู้และสู้ อย่างมีชั้นเชิงเท่านั้น” สิงห์เอ่ยปากก่อน
“มันเล่นสกปรก กล่าวหาว่า ข้าคิดกบฏ จะทำเช่นนั้นทำไม ในเมื่ออีกไม่นาน ข้าจะได้ในสิ่งที่ควรได้อยู่แล้ว ใครกันนะที่หลงเชื่อ” จ้าวทัศน์บ่นขึ้นมา
“คนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อและเชื่อมากแล้ว ข้อหาเช่นนี้ปัดออกไปเถอะ มันเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในเกมจัดการคู่ต่อสู้ อย่าหวั่นไหว มาลองคิดวิธีต่อสู้กันดีกว่า เช่น ถึงพวกเราจะมีกำลังน้อยนิด แต่ถ้าพวกนี้มีฝีมือเต็มที่ อาจรับมือได้บ้าง ดีกว่ายอมแพ้แล้วเลิกรา การยอมทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นเท่ากับเราแพ้ไปแล้วนะขอรับ”
สิงห์พูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อหวังให้จ้าวทัศน์สงบลง จะได้คิดหาวิธีแก้เกมได้บ้าง
“ถ้าข้าสามารถสับเปลี่ยนกองกำลังที่แข็งแกร่งและเก่งกาจให้มาอยู่ฝ่ายเรา ตัดกองกำลังที่เก่งออกมา และย้ายพวกเก่งน้อยกว่าให้ไปเป็นมือขวาของพวกนั้นแทนจะดีไหม” จ้าวทัศน์หยั่งเชิง
“ตอนนี้พวกนั้นยังคิดว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยังอยู่ฝ่ายพวกเขาอยู่ เพราะเสียงลือใส่ไคล้ว่าพระองค์จะก่อกบฏ อาจทำให้ไขว้เขวได้ ถ้าเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยอมใช้อำนาจสับเปลี่ยนกองกำลังตามที่พวกเราต้องการ จะเกิดปฏิกริยาแน่นอน พวกนั้นอาจคิดว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์อยู่ฝ่ายพวกเรา ซึ่งไม่ดีต่อพวกเราเท่าใดนัก เหมือนหักด้ามพร้าด้วยเข่า พวกนั้นอาจรุกคืบต่อสู้อย่างเปิดเผย เกิดสงครามกลางเมืองได้ เท่าที่ผ่านมา เราแอบสับเปลี่ยนกองกำลังได้มาส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าขืนบุ่มบ่าม ทำอย่างเปิดเผยตอบโต้อย่างรุนแรงก่อน ไม่แน่ว่า ผลจะลงเอยเช่นไร”
สิงห์ค่อย ๆ พูด ให้เห็นว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดผลเช่นไรบ้าง
“ใช่ การปล่อยให้พวกนั้นชะล่าใจว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยังไม่ได้เข้าข้างพวกเราอย่างเปิดเผย อาจเป็นผลดีต่อพวกเราก็เป็นได้” สิงห์กล่าวตอบ “แต่พระองค์ควรพูดคุยเป็นการส่วนพระองค์กับพระราชบิดา โดยไม่ให้ใครได้รู้เห็นหรือแอบได้ยินเป็นอันขาด เราไว้ใจใครไม่ได้แม้สักคน”
“ไม่ได้แม้สักคนเลยรึ แม้แต่ออกพระนายไวยคนสนิทที่แทบจะเฝ้าพระราชบิดาตลอดเวลาอย่างนั้นรึ” จ้าวทัศน์เอ่ยปากถาม เพื่อความแน่ใจ
“กระผมคิดว่า ออกพระนายไวยอาจจะเป็นหนึ่งในพวกของสมุหพระกลาโหมก็เป็นได้ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจนัก” แก้วกล่าวเสริม ด้วยรู้ระแคะระคายมาบ้างนิดหน่อย
“พวกเราคงต้องฝึกกองกำลังที่มีอยู่ให้เก่งที่สุด อย่างน้อยเพื่อปกป้องตัวเองจากกองกำลังของพวกสมุหพระกลาโหม แต่ต้องทำในทางลับ อย่าเปิดเผยให้มากความ อาจเสียแผนได้”
ขวัญเสนอความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ด้วยเสียงเบา ๆ แบบไม่ค่อยแน่ใจนัก แล้วเสริมต่อว่า
“เพราะถ้าเราไว้ใจใครไม่ได้ เราต้องพยายามหาคนใหม่ที่เราคิดว่าไว้ใจได้ ให้อยู่ใกล้ตัวของเราให้มากที่สุดด้วย อย่าไว้ใจออกพระนายไวยให้อยู่ใกล้ และอย่าให้พวกของออกพระนายไวยได้ใกล้ตัวและรู้ความทั้งหมดที่พวกเราวางแผนเจรจาความกันด้วยนะขอรับ”
“ข้าจะลองหาเวลาไปพูดคุย เสนอข้อคิดเห็น ถวายรายงานต่อพระราชบิดาเป็นการส่วนพระองค์ให้ได้ อย่างน้อยจะได้เปิดใจเรื่องเสียงลือเหล่านั้น ให้หายคลางแคลงพระทัย”
จ้าวทัศน์กล่าวสรุป “และจะหยั่งท่าทีของพระองค์ที่มีต่อข้าด้วย ว่าเชื่อในข่าวลือ และไม่ไว้ใจ หรืออาจได้รับคำแนะนำที่ดี ๆ ที่จะรับมือฝ่ายนั้นด้วย”
ทั้งหมดพูดคุยกันในที่ลับ ที่ที่ไม่มีพวกของสมุหพระกลาโหมหรือออกพระนายไวยได้ยิน แต่ทว่าคงไม่พ้นสายตาสอดแนมของพวกนั้น ที่รู้ว่า ทั้งสาม สิงห์ ขวัญ แก้ว และข้าหลวงคนสนิทได้เข้าพบกับจ้าวทัศน์และพูดคุยกันเป็นนานสองนาน แต่ไม่รู้ความที่พูดคุยกัน
พวกนั้น คงได้แต่คาดเดาว่า พูดคุยปรึกษาหารือเรื่องใดกัน เพราะมองไกล ๆ เห็นแต่สีหน้าที่เคร่งเครียด ไม่มีเสียงหัวเราะเฮฮา และไม่ได้ยินเสียงที่พูดคุยกันแม้สักนิด
 
ด้วยตำแหน่งของพระมหาอุปราชแห่งกรุงราฐมัณฑ์มีอำนาจรองจากเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์เท่านั้น เรียกว่า รองเพียงหนึ่งแต่เหนือกว่าคนทั่วหล้า จึงมีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์กระทำการสิ่งใดก็ได้
ในความเป็นจริงมิอาจเป็นเช่นนั้นเต็มร้อย ด้วยสมุหพระกลาโหมผู้กุมอำนาจทางทหารทั่วราชอาณาจักรไม่ค่อยเป็นมิตรและสนับสนุนจ้าวทัศน์สักเท่าใดนัก
ด้วยเห็นว่าอ่อนเยาว์กว่าตนมาก แถมยังไม่กริ่งเกรงต่อตนเท่าที่ควรจะเป็น ออกจะกระด้างกระเดื่องเสียด้วยซ้ำ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่เกิดนี้เริ่มต้นจากคนใกล้ชิดที่คอยเติมเชื้อไฟแห่งความเกลียดชังสุมขึ้นมาวันละเล็กวันละน้อย จนเพลิงสามารถเผาผลาญสิ่งใหญ่ ๆ ให้วอดวายไปจนหมดสิ้นได้ แล้วรอยร้าวทั้งหมด เกิดจากจุดเล็ก ๆ ภายในใจที่เต็มไปจิตริษยาของตนเท่านั้น
ฝ่ายหนึ่งคิดว่าตนใหญ่โตเป็นถึงพระมหาอุปราช เมื่อชี้นกเป็นไม้ ทั่วทั้งหล้าย่อมต้องคล้อยตามเห็นนกเป็นไม้เช่นกัน จะมาอ้างเหตุผลความถูกต้องใด ๆ ไม่ได้ แล้วสิ่งที่ตนคิดนี้ดีต่อชาติยิ่งนัก จะปล่อยให้ล้าหลังไม่ทันสมัย คงโดนต่างชาติมาฮุบเมืองเสียได้
อีกฝ่ายคิดว่าตนเป็นถึงสมุหพระกลาโหม ใหญ่โตคับฟ้า เป็นรองเพียงเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์เท่านั้น เมื่อสิ้นเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช ตนเท่านั้นที่มีอำนาจทางทหารดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งในกรุงและป้องกันต่างชาติมารุกราน เหตุไฉน เด็กน้อยเมื่อวานซืนจึงมาทำอหังการ์ได้
ต่างฝ่ายต่างคิดว่า ตนเป็นรองเพียงหนึ่งเท่านั้น คือ เจ้าเหนือหัว เมื่อมีผู้มาแข่งอำนาจ มีหรือจะยอมกันได้ง่าย ๆ
เมื่อเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จำต้องหาทางริดรอนอำนาจของอีกฝ่ายให้น้อยลง
 
 



Create Date : 10 กรกฎาคม 2566
Last Update : 10 กรกฎาคม 2566 5:18:54 น.
Counter : 211 Pageviews.

0 comment
ไม่เป็นตามคาดสมุหพระกลาโหม
ไม่เป็นตามคาดสมุหพระกลาโหม
นอกเหนือจากความจงรักภักดีที่มีต่อเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช และปรารถนาให้จ้าวธรรมาพระโอรสในเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชได้ครองราชย์ กอปรกับไม่แน่ชัดในอนาคตว่า จ้าวทัศน์ในตำแหน่งของพระมหาอุปราชจะเคารพยกย่องพวกตนเหมือนดังเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์หรือไม่
ความรู้สึกอิจฉาริษยาแข่งขันชิงดีชิงเด่นต่อกันย่อมไม่ก่อประโยชน์แก่ผู้ใด
ไม่ว่าเจ้าตัวผู้ริษยาหรือผู้ที่โดนริษยา มีแต่หนทางแห่งหายนะรออยู่เบื้องหน้า
ด้วยความร้อนรนที่เผาผลาญอยู่ในใจย่อมทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้
เมื่ออิจฉาริษยารุนแรงมากขึ้นผนวกรวมกับอำนาจทางการเมืองด้วยแล้ว หายนะที่เกิดขึ้นคงยิ่งใหญ่ตามไปด้วย ไม่ใช่ส่งผลโดยตรงต่อตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากหมายรวมถึงชาติและราชบัลลังก์ย่อมสั่นคลอนตามไปด้วย ไม่รู้ว่าพรรคพวกของสมุหพระกลาโหมจะคิดบ้างหรือไม่ คงมัวแต่ห่วงผลที่พึงมีพึงได้เท่านั้น
            น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน หัวใจของสมุหพระกลาโหมย่อมหวั่นไหวตามคำยุแยงเหล่านี้ และเริ่มสังเกตสังกาทีท่าของจ้าวทัศน์ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
 
            พรรคพวกของสมุหพระกลาโหมมองเห็นแต่มหันตภัยที่จะเกิดตามมา ถ้าไม่คิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม ปล่อยให้ทุกอย่างบานปลาย เป็นไปตามพระประสงค์แห่งเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ที่จะให้จ้าวทัศน์ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์
            ความหวังที่รอคอยมานานว่า จ้าวธรรมาจะได้ขึ้นครองราชย์ หลังจากสิ้นเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ ดูจะเลือนหายและจางลงไปเรื่อย ๆ
            สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เงินทองทรัพย์สินที่เคยได้มาอย่างสบายมือ จะหายวับไปกับตาด้วย
            มีวิธีใดบ้างนะ ที่จะหยุดยั้งไม่ให้ทุกอย่างเดินไปตามรอยที่ควรจะเป็น
            ทุกคนที่เป็นลิ่วล้อช่วยกันระดมความคิด หาทางสะกัดกั้น
            หนทางหนึ่งคือยัดข้อหากบฏแก่จ้าวทัศน์ให้ได้ จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ เริ่มด้วยการปล่อยข่าวให้เกิดไฟไหม้ฟาง กระพือให้ลือกระฉ่อนในทุกหย่อมหญ้า
 
            แต่แรกประกาศให้จ้าวทัศน์เป็นพระมหาอุปราชนั้น สมุหพระกลาโหมยังไม่วิตกจริตจนเกินเหตุ แต่เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไปหาสมุนและสมัครพรรคพวกคราใด ให้รู้ว่า พวกนี้มิปรารถนาให้จ้าวทัศน์ได้ครองราชย์สืบต่อ
            พอนานวันเข้า ความไม่พึงพอใจของบรรดาสมุนและสมัครพรรคพวกยิ่งรุนแรงขึ้น ด้วยสืบรู้มาว่า จ้าวทัศน์นั้นมีทหารแลมหาดเล็กคู่ใจที่มีฝีมือทางทหารเด็ดขาดนัก และกองกำลังเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
 
           กลุ่มอำนาจเก่าได้นัดประชุมลับเพื่อหาทางวางแผนจัดการขั้นเด็ดขาด
            ด้วยอคติที่เริ่มเกาะกุมในใจของสมุหพระกลาโหมว่า จ้าวทัศน์จะมาลดทอนอำนาจของตน และไม่เคารพต่ออำนาจศักดิ์สิงห์ที่ตนมี ย่อมเกิดการจ้องจับผิดและมีทีท่าที่ไม่เป็นมิตรต่อจ้าวทัศน์มากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้สึกแต่ผู้คนรอบข้างเริ่มรับรู้ถึงความผิดแปลกไปจากเดิมบ้างแล้ว
            ฝ่ายจ้าวทัศน์นั้นด้วยความที่เป็นพระราชโอรสองค์โตและมีความฉลาดเฉลียวติดตัวมาแต่กำเนิด ได้เรียนรู้ศิลปวิทยาการอย่างคนสมัยใหม่ จากคนต่างชาติต่างภาษาที่เข้ามาค้าขายและรับราชการ จึงมีความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นในสมอง พร้อมจะทดลองทำตามสิ่งที่ตนเชื่อว่าจะได้ผลดีจริง
 
           จ้าวทัศน์ได้ปรารภกับสหายสนิท
            สิงห์เอ่ยว่า ”ที่จริงพระองค์เคารพนบนอบต่อสมุหพระกลาโหมเฉกเช่นเดียวกันกับพระราชบิดา แต่ทำไมท่าทีของสมุหพระกลาโหมเปลี่ยนไป”
            จ้าวทัศน์เออออทันที ”ใช่ หลังจากที่ได้รับพระราชโองการให้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช”
            “ไม่อยากทูลเลยว่า ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของสมุหพระกลาโหมมากจนเห็นชัด” สิงห์ทูลต่อ “พวกลิ่วล้อยิ่งเห็นชัด และได้ข่าวมาอีกว่า พวกเขาได้รวมตัว เจรจาความกันบ่อยขึ้น ซุบซิบนินทา ปล่อยข่าวไปตามตลาดร้านถิ่น กำลังให้สืบข่าวว่า พวกเขากำลังปล่อยข่าวอะไรกัน ที่พอได้ยิน มันร้ายแรงเกินกว่าที่จะมาพูดพล่อย ๆ”
            “ใช่เรื่องเดียวกันรึเปล่า ที่พวกมันกล่าวหาว่า ข้าจะก่อการกบฏรึ” จ้าวทัศน์กระซิบเสียงเบา
            “พระองค์ทราบเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ด้วยรึ”
            ทั้งสองเจรจากันหน้าดำคร่ำเครียด
            ความรู้สึกใดที่เกิดในใจ
ย่อมส่งให้ผู้อื่นรับรู้ได้
และผู้นั้นย่อมเกิดความรู้สึก
ดุจเดียวกันตอบสนอง
 
           อย่าคิดว่า สิ่งที่ตนคิดนั้น มันจะแอบซ่อนอยู่แต่ภายใน ถึงจะเป็นแค่ความคิด แต่มันจะส่งต่อออกมายังความรู้สึกและทำให้เกิดการกระทำตามมา ไม่อาจซ่อนเร้น จะฉายแววออกทางสายตา กิริยาท่าที อาการฮึดฮัดขัดใจ การถอนหายใจแรง ๆ
            เมื่อสมุหพระกลาโหมไม่ชอบใจในจ้าวทัศน์ มีหรือจะแสดงท่าทีนบนอบดังเดิม ยิ่งเห็นเป็นเด็กที่จะมาแย่งทุกสิ่งไปจากตน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจราชศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทองจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่จะหดหาย ท่าทีที่แสดงออกคงประจักษ์ชัดแจ้ง
            จ้าวทัศน์คงหยิ่งทรนงตน จึงคิดตอบโต้ผู้ที่คิดร้ายต่อตนเช่นกัน ลิ้นกับฟันที่กระทบกัน จะลงท้ายเช่นไร ใครจะไปรู้
ไม่ใช่แต่บรรดาบ่างช่างยุจะยุแยงต่อสมุหพระกลาโหมเท่านั้น แต่ได้กระพือความเกลียดชังให้แก่พรรคพวกทั้งหลายทั้งปวง และคอยหาทางเพ็ดทูลเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง รวมทั้งกุข่าวว่า จ้าวทัศน์คิดก่อกบฏยึดอำนาจเสียอีก นับเป็นโทษอันรุนแรง
ข่าวนี้ค่อย ๆ กระพือจากซุบซิบวงในกลายเป็นรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
 
ต่างฝ่ายต่างใหญ่
จึงไม่เกรงกลัวกัน
หาทางห้ำหั่นให้แพ้
แต่ไม่รู้ใครจะแพ้
           
 
 
 
 
 
 
เสือเฒ่าใกล้สิ้นเขี้ยวเล็บ มิอาจสู้กันซึ่ง ๆ หน้าด้วยพละกำลัง  เลยเล่นกำลังภายใน
ด้วยวิธีการโสมม หวังล้มอำนาจใหม่ให้จมธรณีให้ด่าวดิ้นสิ้นใจไปต่อหน้าต่อหน้า
 



Create Date : 10 กรกฎาคม 2566
Last Update : 10 กรกฎาคม 2566 5:17:50 น.
Counter : 86 Pageviews.

0 comment
สิ้นแล้วเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช
ต่างขั้วย่อมยึดโยงอำนาจให้คงอยู่กับฝ่ายตนให้มากที่สุดและนานตราบเท่าที่นานได้
ยากนักที่จะแบ่งปันให้อีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ยกเว้นเสียแต่แบ่งปันผลที่ได้บ้าง
           
            สิ้นแล้วเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช
            เจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชเป็นกษัตริย์ที่นิยมออกรบ ขยายดินแดนให้กว้างใหญ่ไพศาล จึงมอบหมายให้พระอนุชาครองอำนาจและสั่งการในกรุงราฐมัณฑ์
            เหตุร้ายไม่คาดฝันบังเกิดดุจอสุนีบาตฟาด
           โดยธรรมเนียมราชสมบัติมักตกแก่พระโอรสมากกว่าพระอนุชา
            พระโอรสที่คาดหวังว่าจะได้สืบครองบัลลังก์ มักส่งไปยังหัวเมืองใหญ่
            ทว่าขณะนั้น ผู้ซึ่งสั่งการงานเมืองเช่นกษัตริย์ ได้ใช้ความชาญฉลาด ชิงไหวชิงพริบ ยึดอำนาจให้อยู่ในกำมือทันทีทันใด ที่ม้าเร็วส่งข่าวด่วน
           
            ทหารมีอำนาจยิ่งใหญ่สุดแล้วในกรุงราฐมัณฑ์ ทุกคนมุ่งหวังจะเป็นทหาร ไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดงที่เป็นชาย ต่างฝันจะเป็นทหาร เพราะทหารมีเกียรติและยิ่งใหญ่เหนือกว่าขุนนางอำมาตย์อื่น ๆ
            สมุหพระกลาโหมทหารเอกเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช
           มีใครบ้างไม่เกรงกลัวในกำลังทหารสังกัดสมุหพระกลาโหม แม้แต่เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์
            สมุนลิ่วล้อ สมัครพรรคพวกหลงเหลิงในอำนาจ คิดว่าพวกตนเท่านั้นที่ใหญ่ยิ่งบนผืนแผ่นดินนี้ ด้วยเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่และทำให้กรุงราฐมัณฑ์ได้เป็นเอกราชอีกครั้ง
           สมุหพระกลาโหมเก่งกาจในการรบ และมีกองกำลังทหารคุมอำนาจในเมือง
ทว่าจ้าวอิศเรศรังสรรค์ใช้ไหวพริบรีบประกาศต่อหน้าบรรดาขุนนางอำมาตย์ในท้อง
พระโรงว่า “พระองค์จะขึ้นครองบัลลังก์”
สมุหพระกลาโหมและพรรคพวกยังติดอยู่ในสนามรบ และจ้าวธรรมาพระโอรสในเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชยังอยู่ที่เมืองพิชญ์
ทุกคนรู้ว่าสมุหพระกลาโหมหนุนจ้าวธรรมาให้ครองเมือง
สงสัยไหมว่า ทันทีที่สมุหพระกลาโหมกลับเข้าเมือง ได้ทูลทัดทานทันที มิกริ่งเกรงต่อพระอาญา แต่หลังจากเจรจาความกันสองต่อสองกับเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ ทีท่าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ใครต่อใครต่างรับรู้ว่า สมุหพระกลาโหมนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ทำไมไม่นาน กลับเปลี่ยนใจยอมรับ มันต้องมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน
กุศโลบายยกย่องให้เกียรติสมุหพระกลาโหมและพรรคพวก เพราะทรงแน่พระทัยว่า ช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้ หากไม่ทำเช่นนี้ พวกนี้คงก่อกบฏและหาทางให้จ้าวธรรมา โอรสในเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชได้ครองบัลลังก์แทนที่พระองค์เป็นแน่แท้
 
เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ครองเมืองต่อ
จ้าวธรรมาเป็นพระโอรสในเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช ได้รับตำแหน่งให้ปกครองเมืองพิชญ์
ทุกคนต่างรู้กันว่า พระโอรสที่ปกครองเมืองพิชญ์ จะได้ครองกรุงราฐมัณฑ์
เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนาน เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิราช พระบิดาของเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช และจ้าวลักษมันตราธิราชครองเมืองพิชญ์ ก่อนมาครองกรุงราฐมัณฑ์
ทำไมจ้าวธรรมาไม่ได้ครองราชย์ต่อจากเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชทั้งที่เป็นพระโอรสองค์โตและได้ครองเมืองพิชญ์
เมื่อสิ้นเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชในสงครามต่างบ้านต่างเมือง ม้าเร็วส่งข่าวการสวรรคต โดยทัพใหญ่ยังรั้งรออยู่ ณ สนามรบ ม้าเร็วได้แจ้งสาส์นให้เตรียมการจัดพระราชพิธีพระบรมศพเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชให้สมพระเกียรติ
ทันทีทันใดที่ได้รับข่าวการสวรรคตของเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช นับเป็นโอกาสทองของเจ้าอิศเรศรังสรรค์พระอนุชาในตำแหน่งผู้รักษาราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณในขณะนั้น ได้รีบประกาศแต่งตั้งพระองค์เองเป็นเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ทันที
ด้วยข้ออ้างว่า แผ่นดินไม่อาจร้างเจ้าผู้ครองนครได้ อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศชาติบ้านเมือง ทำให้บรรดาขุนนางอำมาตย์ในท้องพระโรง ไม่กล้าทูลคัดค้าน ด้วยไม่แน่ใจว่าหัวอาจหลุดจากบ่าในนาทีนั้นก็เป็นได้
ในขณะนั้น ผู้มีอำนาจสูงสุดในกรุงราฐมัณฑ์คือจ้าวนรสิงห์อยู่แล้ว ด้วยเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชมอบอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้แก่พระอนุชาหรือจ้าวนรสิงห์ ด้วยพระองค์ประสงค์ขยายดินแดนให้กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าจะนั่งปกครองบ้านเมือง
ถ้าอ้างถึงความชอบธรรมในการสืบต่อราชสมบัติ ก็พอจะมีอยู่บ้าง ด้วยเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชมิเคยประกาศแต่งตั้งจ้าวธรรมาเป็นพระมหาอุปราชอย่างเป็นทางการ ถึงแม้โดยนัยยะ พระมหาอุปราชหรือผู้ที่จะได้ครองนครองค์ต่อไปจะได้ครองเมืองพิชญ์ก่อน เพื่อฝึกหัดการเป็นผู้ครองกรุงราฐมัณฑ์
เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์มิได้รั้งรอเวลาให้ทัพใหญ่ที่มีสมุหพระกลาโหมและพรรคพวกกลับมาก่อน
ในสาส์นแจ้งแต่เพียงว่า “ให้เตรียมการจัดพระราชพิธีพระบรมศพเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชให้สมพระเกียรติ” ไม่ได้สั่งการให้จ้าวธรรมากลับมากรุงราฐมัณฑ์ด้วย
เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์รีบคว้าโอกาสทองนี้ทันทีอย่างฉับพลันทันด่วน ทั้งสมุหพระกลาโหมและจ้าวธรรมามิมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดที่จะมีโอกาสได้คัดค้านท่าทีอันมิชอบมาพากลนี้
 
เมื่อผ่านพิธีการประกาศเป็นเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์แล้ว ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดคัดค้าน ไม่ว่าจะเป็นสมุหพระกลาโหมหรือจ้าวธรรมา คงโดนข้อหาคิดก่อการกบฏเป็นแน่แท้
เอาล่ะ รอไปก่อน รอให้สิ้นเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ก่อน องค์ท่านคงจะทรงคืนบัลลังก์ให้แก่จ้าวธรรมาเป็นแน่แท้ เพราะด้วยสิทธิ์ที่เสมอกันแต่เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ได้ยึดอำนาจไปก่อน เมื่อสิ้นแล้วน่าจะคืนให้แก่ผู้มีสิทธิ์เสมอกัน
ครั้นนานวันเข้า อำนาจอยู่ในกำมือของเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์เต็มที่ มีหรือที่ยอมคืนหรือถ่ายโอนอำนาจนั้นกลับไป แม้นว่าสมุหพระกลาโหมและจ้าวธรรมาจะคิดเช่นนั้นก็ตามทีว่า โอกาสทองน่าหวนกลับคืนมายังฝ่ายตนบ้าง
ทว่า ในความเป็นจริง มิเป็นเช่นนั้น
คงเป็นเพียงฝันค้าง ฝันกลางวันที่เป็นไปไม่ได้ ที่เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์จะยกบัลลังก์คืน มีแต่ยกสิทธิ์อันชอบธรรมนี้ให้แก่พระโอรสของพระองค์เท่านั้น
คงยากที่จะให้สมบัติพัสถานประดามีทั้งหมดทั้งมวลแก่หลาน สู้ยกให้แก่ลูกมิดีกว่าฤา จึงยากนักที่การสืบสายสันตติวงษ์จะผ่านสลับไปสลับมา ยกเว้นเสียแต่เกิดเหตุอันจำเป็นเท่านั้น
เหตุการณ์ที่จะพลิกกลับไปกลับมา มักร่วมด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้าม หรือเกิดสงครามกลางเมือง ยากนักจะยอมคืนให้อีกฝ่ายอย่างสงบราบคาบแก้ว  ถึงจะนับเกี่ยวดองเป็นเครือญาติที่สนิทชิดเชื้อมากเพียงใด คงสู้สายตรงของตนมิได้เป็นแน่แท้
 
จ้าวทัศน์พระโอรสเป็นพระมหาอุปราช
เมื่อเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ประกาศแต่งตั้งจ้าวทัศน์พระโอรสองค์โตเป็นพระมหาอุปราชนั้น บรรดาพรรคพวกของสมุหพระกลาโหมย่อมรู้สึกตะหงิด ๆ ในใจ ด้วยจ้าวทัศน์เป็นคนเก่งมีฝีมือฉลาดเฉลียวทั้งบุ๋นและบู๊ สมควรได้ครองอำนาจสืบต่อจากพระราชบิดา
เหตุใดกลุ่มก้อนอำนาจเก่าจึงขัดใจ คงด้วยพระอุปนิสัยซื่อตรงเจ้าระเบียบอาจขัดขวางเส้นทางทำมาหากินได้
 
            เสือสองตัวย่อมไม่อยากอยู่ถ้ำเดียวกันอยู่แล้ว เพราะเริ่มมองเห็นลายเสือหนุ่มจะเข้ามาแทนที่ลายเสือเฒ่าอย่างพวกเขา
แต่จะทำเช่นไรได้ มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชประเพณี แม้ว่าเคยว่างเว้นในรัชสมัยเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราชที่ไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นพระมหาอุปราช แต่ทุกผู้คนใต้หล้าต่างประจักษ์ชัดแจ้งในใจ
            พรรคพวกของสมุหพระกลาโหมเริ่มเดือดเนื้อร้อนใจ ต่างสุมหัวพูดกัน
“ช่องทางรายได้พิเศษที่เคยผ่านเข้ามือมาอย่างสะดวกโยธินจะโดนขัดขวางหรือไม่”
“พระมหาอุปราชจะมีปฏิกิริยาต่อพวกเขาเช่นไร”
“จะยกย่องเหมือนเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ หรือจะคิดว่าคนแก่ย่อมไร้ฝีมือไปแล้ว อาจจะไม่ยอมปล่อยให้มีช่องทางฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นเคย”
 
จ้าวทัศน์มีฝีมือโดดเด่นและชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ เก่งการทหารและการรบเหนือกว่าพระราชบิดา คงไม่จำต้องพึ่งทหารเก่าที่เริ่มจะแก่แล้วก็เป็นได้ ในการขยายอาณาเขตและปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากภัยสงคราม หนำซ้ำอาจระแคะระคายว่าทหารเฒ่ากลุ่มนี้แอบฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่บ่อย ๆ แถมเอาทีละมาก ๆ เสียด้วย
ทั้งความรู้สึกว่า ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่เคยมีมาอาจหดหายไป ทำให้ขาดผลประโยชน์ที่เคยพึงมีพึงได้ ทั้งความคิดว่า สิทธิ์ในการครองบัลลังก์ควรเป็นของจ้าวธรรมา ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อความคิดหวาดระแวงต่อภัยที่อาจคืบคลานเข้ามาเมื่อจ้าวทัศน์คนเก่งได้ตำแหน่งพระมหาอุปราช พรรคพวกของสมุหพระกลาโหมจึงคิดจะยุแยงตะแคงรั่วเสียให้เกิดสิ่งมิดีมิร้ายก่อน
ทั้งหมดต่างพากันคอยใส่ไฟเติมเชื้อแห่งความหวาดระแวงแคลงใจว่า จ้าวทัศน์นั้นคิดก่อการใหญ่และหวังจะล้มล้างอำนาจเก่าให้หมดสิ้นไป
 



Create Date : 10 กรกฎาคม 2566
Last Update : 10 กรกฎาคม 2566 5:16:55 น.
Counter : 168 Pageviews.

0 comment
2.2
“ใช่ อย่างที่แก้วพูดนั่นแหละ ถ้าฮ่องเต้เดิมเก่ง ชาวบ้านอยู่ดีกินดีมีสุข คงไม่มีใครอยากลุกมาต่อต้านให้เสียเลือดเนื้อและไพร่พลหรอก อยู่ดี ๆ ลุกมาต่อต้าน ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ล่ะ ต้องทนไม่ไหวกันจริง ๆ และอย่างเหลืออดเหลือทนด้วย เลยมีแรงฮึดสู้กับอำนาจเก่า”
ขวัญพูดเพิ่มเติม อย่างนักวิชาการอภิปรายกัน
“มันต้องคิดอย่างละเอียดลออ และรอบด้าน มันต้องเกิดจากเหตุหลายเหตุจริง ทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันจริง ๆ ทั้งผู้นำเก่าที่แย่ ผู้นำใหม่ที่เก่งกาจ และชาวบ้านที่ลำบากจำนวนมาก ชนิดที่คิดว่า ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วมารวมตัวกันด้วยความรู้สึกที่แรงกล้า จนยอมเสี่ยงตาย ตายเป็นตาย อะไรทำนองนั้น”
สิงห์เอ่ยขึ้นมาบ้าง “มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ที่ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้”
ทั้งหมดได้พูดคุยเสวนาราวกับผู้มีความรู้ แต่กระทำภายในห้องหอมิดชิด
 
ถึงจะเป็นมหาดเล็กใหญ่โต แต่เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครเขาพูดกัน เป็นเรื่องสูงที่มิบังควรพูดถึงในที่แจ้ง นอกจากแอบซุบซิบ ป้องปากกันเงียบ ๆ ให้รู้กันเฉพาะพวกตน
จมื่นสิงห์และคุณหลวงขวัญ คุณหลวงแก้ว เข้าใจดี
ถ้ามีบางคนแอบมาได้ยิน แค่บางบทบางตอน ฟังไม่ศัพท์จับมากระเดียด ใส่สีใส่ไข่ แล้วพวกนั้นหาเรื่องไปรายงาน ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดใส่ร้ายป้ายสี ในข้อหากบฏคิดล้มล้างอำนาจล่ะ คอขาดบาดตายเชียวนะ
โดยเฉพาะพวกที่ไม่ชอบขี้หน้า เห็นว่า พวกนี้ชักก้าวกระโดดเร็วเกินไปเสียแล้ว ขัดแข้งขัดขามันบ้าง เผื่อมันจะล้ม หกล้มหกลุก หกขะม่ำคว่ำคะเมน
“อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน ไม่ว่าใครเมื่อมีโอกาสย่อมปรารถนาด้วยกันแทบทั้งหมดทั้งสิ้น คงยากที่จะยอมปล่อยหรือวางมือง่าย ๆ เมื่อรู้ว่ามีผู้คิดจะมาแย่งชิงอำนาจ สู้เป็นสู้ ไม่ยอมถอยง่าย ๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นรึ ถ้าไม่ใช่การต่อสู้อย่างโรมรัน”
สิงห์ทำเสียงต่ำ ๆ แล้วกล่าวต่อ “ผู้มีอำนาจตัวจริง ได้แต่ชี้นิ้วสั่งการ ใครล่ะตายก่อน ถ้าไม่ใช่พวกทหารชั้นผู้น้อย กับชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสา พี่ล่ะเวทนาจริง ๆ กับเรื่องราวแบบนี้ และตั้งใจไว้เลยจะไม่ทำ หรือหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด จะไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง แย่งชิงอำนาจกันเป็นแน่”
“พี่ท่านกล่าวราวกับจะให้สัตย์สาบาน ปฏิญาณ อย่างไรอย่างนั้นเลยนะ พอถึงเวลา ความจำเป็น มันอาจจำต้องทำ แม้นไม่อยากทำ แม้นไม่เต็มใจทำ อย่างไรก็ตาม กระผมรู้สึกดีเมื่อได้ยินพี่ท่านกล่าวเช่นนี้ และหวังว่า พวกเราคงจะไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้”
แก้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยินดีอย่างจริงใจ
“ถึงมาดพี่ท่านจะเข้มสักนิด วาจาแรงสักหน่อย แต่น้ำใจนี่สิช่างตรงข้าม ใจดี ใจอ่อนเป็นที่สุด ใช่ไหมขอรับ”
ขวัญทำเสียงเล็กเสียงน้อย เหมือนจะแหย่สิงห์กับแก้วให้หายจริงจังเกินเหตุ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยค่อยเย็นลง ทั้งสิงห์และแก้วเลยหัวเราะออกมาดังลั่น
“ระวังตัวให้ดีเถอะ มาล้อเลียนพี่ท่านได้เยี่ยงไร”
แก้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบ “ระวังนะ หัวจะหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว”
“เอาล่ะ ๆ ถึงข้าจะพูดจริงจังไปบ้าง แต่ทุกอย่างมาจากใจ และตั้งใจทำจริง ๆ ไม่ได้มาพูดหาเสียงให้ผู้คนเยินยอ เพราะพวกเรากันเองแท้ ๆ สิ่งที่เรียนรู้ในวันนี้คือการเป็นผู้นำต้องเก่งกาจ ฉลาดเฉลียว มีสติปัญญาเป็นเลิศ ข้อสำคัญต้องรักชาวบ้านด้วยใจจริง หวังให้ทุกผู้คนใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข สบายใจ แค่นี้คงไม่มีใครบังอาจมาแย่งแผ่นดินไปได้ดอก จริงไหม น้องเรา แต่ไอ้ที่พูดกันมาตั้งนานนี่ ยังไม่มีใครได้อำนาจมาครอบครองจริง ๆ สักคน”
สิงห์กล่าวสรุปสุดท้าย ก่อนจะแยกย้ายจากกัน
 
อำนาจที่หมายปอง
อาจได้มาโดยยากหรือง่าย
เมื่อได้มาครอบครอง
ชาวประชาต้องมาก่อน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ความทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดี หมายปองในอำนาจสูงสุด ย่อมเป็นแรงจูงใจและแรงผลักดันให้ชีวิตมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมีทิศทางมากขึ้น
 
สิงห์ตำแหน่งจมื่นใหญ่โตมิเบา คิดการณ์ใหญ่ แต่มันแค่สุมอยู่ในอก แม้แต่แก้วกับขวัญผู้ระแคะระคายบ้าง ยังมิกล้าฟันธง ด้วยเป็นเรื่องใหญ่และไกลเกินตัว
ถึงจะรู้ว่า ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ในเมืองจีนได้ แต่มันจะเป็นไปได้ในเมืองนี้รึ
ทั้งสามต่างเติบโตมาด้วยกัน เล่นและเรียนรู้คล้าย ๆ กัน แต่กำพืดและปมในใจย่อมต่างกัน
ขวัญและแก้วไม่บังอาจหมายปองของสูงก็จริง แต่พร้อมจะก้าวเคียงบ่าเคียงไหล่กับสิงห์
ในใจสิงห์ ขบคิดอย่างจริงจัง ถ้านะ ถ้ามันมีโอกาสแวบผ่านเข้ามา ตนคงคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ทัน แต่ถ้าโอกาสไม่มี และมาไม่ถึงล่ะ จะทำเยี่ยงไรต่อ
จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ตนคือลูกขององค์เจ้าเหนือหัวที่ปกปิดไม่เปิดเผย เพราะพระสนมนั้นดุมาก ไม่ยอมให้น้องเป็นสนมและมีลูก เสียงอื่น ๆ ส่วนใหญ่พอสรุปได้ว่า ตนนั้นเป็นพระโอรสลับในองค์เจ้าเหนือหัวแน่ ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์พี่หรือองค์น้อง และไม่แน่ชัดว่า ใครคือแม่ที่แท้จริง”
เรื่องปมแห่งชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัดนี้ เกาะกุมกัดกร่อนในหลืบซอกของหัวใจมาเนิ่นนานตั้งแต่พอจำความได้ และมีเสียงซุบซิบพูดถึงในทำนองนี้เรื่อยมา
แต่กระไรเลย หามีแม้ผู้หนึ่งผู้ใดกล้ายืนยันในความจริงแห่งถ้อยคำเหล่านี้ไม่ แม้แต่เพียงผู้เดียว ทำให้ใจดวงน้อย ๆ นี้ทะเยอทะยานอยากตามประสาปุถุชนคนธรรมดาเรื่อยมา
ใครล่ะจะไม่ดีใจ ไม่ภาคภูมิใจ ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง
ตนนั้นมีสายเลือดสีน้ำเงินแห่งกษัตริย์ผู้สูงส่งและมีอำนาจเต็มเปี่ยมบนผืนแผ่นดิน
ไม่ใช่เป็นแค่ลูกขุนนาง
น่าสงสัยไหมล่ะ ทำไม เหตุใดตนจึงมีอภิสิทธิ์มากถึงเพียงนี้ เหตุไรกันแน่นะ
ไม่รู้ว่า ด้วยสายเลือดแห่งกษัตริย์ที่มีอยู่ในกายจริง หรือด้วยความคิดอ่านที่ก่อร่างสร้างตัวจากคำซุบซิบทำให้เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะแอบคิดในใจเสมอมาว่า ตนนั้นคือส่วนหนึ่งแห่งราชวงศ์สุริเยนทร์
ฝันเฟื่องนี้ทำให้อดละเมอเพ้อพกไม่ได้
สักวันหนึ่งเถอะ ตนจะนั่งบัลลังก์และถือครองอำนาจสูงสุด
“แค่ชาวนาธรรมดาคนหนึ่งยังมีโอกาสเป็นฮ่องเต้ แล้วเขาล่ะมีสายเลือดขององค์เจ้าเหนือหัวอยู่แท้ ๆ เหตุไฉนจะขึ้นครองราชย์บ้างไม่ได้”
คำรำพึงรำพันอย่างน้อยใจ ในคนที่คิดว่าเป็นพ่อแต่ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ก่อให้เกิดแรงทะยานอยากอย่างแรงกล้าขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจทุกครั้งที่นึกถึง แต่ไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้
ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ทั้งน้อยใจในโชคชะตา ทั้งลังเลสงสัยว่าเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ทั้งความทะยานอยากได้ใคร่ดีให้เสมอทัดเทียมกับพระโอรสองค์อื่น ทำให้สิงห์มีพลังในใจสูงล้นเต็มเปี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป แล้วมันจะระเบิดออกมาอย่างรุนแรงเพียงใด หรือแค่สุมอยู่ในอกตราบชั่วนิจนิรันดร์
“มันคงไม่ยากเย็นเข็ญใจสักเท่าใดกระมังกับการก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งกรุงราฐมัณฑ์ จังหวะมี โอกาสมา คงจะได้สมใจปรารถนา ใครจะไปรู้ล่ะกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เมื่อมีสายเลือดของเจ้าเหนือหัว แม้นจะไม่แน่ชัด แต่ย่อมไม่ใช่ชนชั้นไพร่หรือพวกขุนนางแน่นอน เป็นลูกขุนนางที่มีโอกาสอันดีใกล้ชิดเจ้านาย อย่างน้อยจะต้องได้ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
สิงห์คิดเรื่อยเปื่อยตามลำพังคนเดียวถึงชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัด และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ใช่ อย่างน้อยต้องทะยานไปให้สุดแรงเกิด สูงที่สุดเท่าที่จะมีแรงบิน ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ไม่ย่ำต๊อกอยู่กับที่อย่างไร้จุดหมายเป็นแม่นมั่น
ทุกครั้งที่น้อยใจ ทุกครั้งที่คิดคำนึงถึง ย่อมเกิดพลังที่เพิ่มพูนมากขึ้น แล้วพลังนี้ระเบิดออกมา ด้วยการฝึกปรือฝีมือให้โดดเด่นเหนือใคร ๆ
แรงผลักดันในใจที่สูงล้น ก่อเกิดแรงจูงใจที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จเสร็จสิ้น
 
แรงผลักดันให้ขยันหมั่นฝึกซ้อมวิทยายุทธ์และอ่านเขียนเรียนหนังสือ เพื่อเตรียมพร้อมว่า สักวันเมื่อโอกาสมีจังหวะมา ตนพร้อมจะคว้าโชคชัยเหล่านั้น อย่างไม่อายฟ้าอายดินทีเดียว และได้ดีเด่นเหนือกว่าผู้ใดด้วยซ้ำ
บางคนได้แต่นอนรอคอยโชคชะตา
เมื่อโชคจรพัดผ่าน กลับคว้าโชคนั้นไม่ทัน
ด้วยไม่พร้อมที่จะรับโชคที่บังเอิญพัดผ่านมา
สิงห์พร้อมรับจังหวะและโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามา ถึงแม้โชคชะตาดี ๆ จะผ่านเข้ามาเพียงชั่วแค่กระพริบตา เชื่อแน่ว่า เขาย่อมคว้าไว้ได้ทันท่วงทีเป็นแน่ ไม่ขอนอนรอคอยโชคชะตา แต่จะสร้างโอกาสให้แก่ตัวเอง
 
สิ่งดีงามที่จะสร้างโอกาสก้าวหน้าในชีวิต
เกิดขึ้นได้ ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง ฝีมือที่ฝึกปรือ
รอจังหวะดี ๆ มาหนุนส่งอีกนิดหน่อย ก็เท่านั้นเอง
ทุกสิ่งจะได้ดังใจฝัน แน่นอน
 
ความน้อยใจที่เคยมีในวัยเด็ก ความไม่แน่ชัดกำกวมถึงชาติกำเนิด
เป็นแรงผลักดันให้สิงห์พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด
การฝึกฝนวิทยายุทธให้เก่งกาจเหนือกว่าใคร ๆ
การใฝ่รู้ใฝ่เรียนให้รู้รอบมากกว่าใคร ๆ
เป็นสิ่งที่บอกกับตัวเองว่า เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลายครั้งยามอยู่คนเดียว สิงห์มักฝันเตลิดไปไกลว่า ถ้าเขาได้มีโอกาสเป็นเจ้าเหนือหัว เขาจะทำอะไรบ้าง แผนการนี้เป็นไปอย่างละเอียดลออ ราวกับว่า โอกาสการเป็นเจ้าเหนือหัวนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม อยู่แค่ลัดนิ้วมือเดียวก็ถึง
ฝันกลางวันว่าการเป็นเจ้าเหนือหัวนี้ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้แก่สิงห์มากที่สุด แต่เป็นเรื่องที่แอบปกปิด ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้
ถึงแม้นเขาผู้นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงใดก็ตาม เพราะหัวอาจหลุดจากบ่าโดยไม่รู้ตัว
ถ้ามีแม้นเพียงหนึ่งที่ล่วงรู้ความคิดที่อยู่ในใจนี้ แล้วเที่ยวเอาไปโพนทะนา ตายชัด ๆ เห็นอยู่
แต่หารู้ไม่ว่า เพื่อนทั้งสองรู้อยู่แก่ใจถึงจะไม่ได้พูดออกมาโต้ง ๆ เหมือนตอนเป็นเด็กเล็กก็ตาม แต่สีหน้าแววตามันฉายแววออกมาทุกครั้งที่พูดกันถึงเรื่องของอำนาจ
รู้อยู่เต็มอกว่า สิงห์ผู้พี่นี้ คิดอ่านเช่นไร แรงทะยานอยากมีมากเพียงใด
 
ฝ่ายแก้วนั้นได้แอบพูดคุยกับขวัญถึงเรื่องนี้เช่นกัน
“พี่ขวัญรู้หรือไม่ว่า พี่สิงห์นั้นคิดอ่านเช่นไรกับเรื่องที่พวกเราเพิ่งอ่านกันมา”
แก้วถอนหายใจดัง “เฮ้อ” เฮือกใหญ่ ด้วยความห่วงใยในพี่สิงห์ ด้วยคิดว่าพี่ท่านต้องหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องนี้ต่อแน่ ๆ และอย่างจริงจังเสียด้วย ซึ่งไม่รู้ว่า ผลลัพท์ต่อไปจะเกิดสิ่งใดในภายภาคหน้า
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกเราไม่ต้องไปย้ำหรือพูดเรื่องนี้ให้บ่อยนัก เราต้องเข้าใจหัวอกของพี่ท่านว่าน้อยใจในชาติกำเนิด ถ้าเป็นพระโอรสในเจ้าเหนือหัวจริง ทำไมจึงต้องปกปิด ปล่อยให้อึมครึมเช่นนี้เล่า เป็นใครก็ต้องน้อยใจกันทั้งนั้นแหละ อย่าไปกระตุกหนวดเสือเลย ปล่อยให้นอนสงบเช่นนี้ดีแล้ว” ขวัญกล่าวตอบ
“ยังดีหน่อยนะ ที่พี่ท่านคงไม่ใช้วิธีรุนแรงก้าวร้าว หรือทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต”
แก้วรำพึงอย่างค่อนข้างมั่นใจในตัวของสิงห์ว่า ถึงแม้นความหวังในอำนาจมีมากเพียงใด แต่ในใจที่ไม่ต้องการให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตายตกด้วยเรื่องเช่นนี้ คงไม่มีวันยอมทำเป็นแน่
“ใช่ พี่ท่านเป็นคนฉลาดล้ำลึก คงไม่โต้ง ๆ ทำอะไรผลีผลามหรอก ต้องสู้แบบคนมีชั้นเชิง และต้องได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย เพียงแต่ต้องทำอย่างสุขุมและเล็งผลเลิศ” ขวัญตอบอย่างมั่นใจ
ทั้งสองคุยเรื่องนี้ต่ออีกสักครู่ แล้วลาจาก พร้อมย้ำแก่กันว่า ไม่จำเป็นอย่าพูดเรื่องเช่นนี้อีก รังแต่จะทำให้สิงห์วิตกกังวลและเครียดมากเกิน
 
            ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถ้าคุยเรื่องการเมือง ต้องเลือกคุยกับคนคอเดียวกันเท่านั้น ถ้าคุยกับคนคิดต่าง มีหวังวงแตกก่อนจะคุยจบ ยิ่งอยากคุยเพื่อเอาชนะหรือเปลี่ยนใจ ดีไม่ดีอาจโดนรุมตึ๊บจนตัวน่วมไปก่อน จึงต้องเลือกว่าคุยเอามันส์กับคนคิดเหมือน หรือจะคุยเอาชนะกับคนคิดต่าง มันต่างกันเยอะ
           ใช่ว่าคนสนิทชิดชอบ ญาติสนิทมิตรสหายจะคอเดียวกันเสมอไป ช่วงแรกอาจคุยเอาใจ เสมือนคอเดียวกัน สักพักความในใจจะพรั่งพรู ตอนนั้นแหละวิวาทะจะเกิดขึ้น ความบาดหมางจะเกิดตามมา กลายเป็นรอยร้าวที่ยากจะสมานคืนเป็นเนื้อเดียว
            การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเป็นเรื่องของเหตุผล
การเมืองเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เปลี่ยนผืนแผ่นดิน พลิกชีวิตผืนน้ำได้อย่างง่าย ๆ แต่กลับไปใช้คำว่า เล่นการเมือง เพื่อแย่งชิงอำนาจสู่ความเป็นใหญ่ ยิ่งอำนาจสูงเท่าใด การช่วงชิงเพื่อให้อำนาจมาเป็นของตน ยิ่งดุเดือดเลือดพล่านเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
            คนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นพวกลิ่วล้อ แม้แต่แค่พวกที่นิยมชมชอบแต่ไม่ได้ผลประโยชน์อันน้อยนิดด้วยแม้สักน้อยหน่อยนึง ก็ยังร่วมพลอยฟ้าพลอยฝนสนุกสนานกับการช่วงชิงอำนาจ กับกลุ่มเจ้าของอำนาจฝ่ายตนไปกับเขาด้วย โดยเข้าร่วมขบวนการทั้งทางตรงและทางอ้อม   
            การชื่นชมพวกของตน และด่าทอฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในสังคม และรอยร้าวนี้ลึกและขยายวงกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนจะไร้ขอบเขต แล้วในที่สุด สิ่งที่ทุกผู้คนไม่ได้ตั้งตัวอาจถึงขั้นไม่มีแม้แผ่นดินให้อยู่อาศัยอย่างคนเจ้าของแผ่นดิน
            นี่กระมัง เขาถึงห้ามคุยการเมืองกับคนคิดต่าง เพราะรังแต่จะเกิดเรื่อง ไม่ยอมตั้งใจฟังว่า เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ไม่อาศัยข้อเท็จจริง หรือข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามมาแทรกกลางหว่างหัวใจแม้แต่น้อยนิดไม่       
 
            ใช่ว่าทั้งสามจะใช้ชีวิตไปวัน ๆ เช่นคนทั่วไป ที่กินเที่ยวเล่นอย่างไร้จุดหมายในชีวิต
พวกเขามุมานะฝึกปรือฝีมือทางการรบและศึกษาตำราพิชัยสงครามอย่างขมักเขม้นอย่างคนที่มีจุดหมายปลายทางของชีวิตชัดเจน พร้อมจะก้าวไปสู่ความฝันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ ก็ตาม แต่เป็นก้าวที่มั่นคงยิ่งนัก
            คนเก่งที่มีอุดมการณ์ มีจิตใจอันแน่วแน่ มีความเพียรพยายามอันแรงกล้า ย่อมนำพาตนไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตที่ต้องการได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใด
 
            ยุคนี้เป็นช่วงที่กรุงราฐมัณฑ์เจริญรุ่งเรือง มีชาวต่างชาติมาค้าขายและรับราชการจำนวนมาก การใช้เวลาพบปะกับคนต่างชาติต่างภาษาเพื่อเรียนรู้วิทยาการในโลกอีกฝั่งหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองกว่า
เป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งนัก
            เพราะความมุ่งมั่นที่จะเจริญก้าวหน้า ณ กรมทหารมหาดเล็กวังหลวง กรุงราฐมัณฑ์
จากสิงห์มหาดเล็กวิเศษ ได้ก้าวหน้าเป็นถึงสิงห์หัวหมื่นมหาดเล็ก เมื่ออายุเพียง 17 ปี ก้าวข้ามมาเคียงคู่ตำแหน่งจมื่นสรรเพชญภักดี จมื่นเสมอใจราช จมื่นไวยวรนารถมาโดยไม่ยาก
            สมัยนั้นผู้คนมีอายุไม่ยืนยาวนัก อายุเพียงน้อยนิดได้เริ่มทำงานกันแล้ว เป็นหนุ่มเป็นสาวกันเร็วขึ้น เพราะอายุแค่ห้าสิบลาจากไปสวรรค์กันเกือบหมดสิ้น ใครอยู่ยงมาได้หกสิบนับว่าอายุยืนมากแล้ว
            สมัยนี้น่ะเหรอ กว่าจะแต่งงาน กว่าจะมีลูก แทบจะหมดน้ำยากันแล้ว กว่าจะลาจากโลก บางคนปาเข้าไปเกือบร้อย เมื่อเทียบอายุจึงไม่ต้องตั้งข้อสงสัย ด้วยต่างกันเรื่องกาลเวลาของบริบท
 
            สิงห์หัวหมื่นมหาดเล็ก มีอำนาจทางทหารในกรมทหารรักษาพระองค์ ขวัญได้เป็นรองเจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ และแก้วได้เป็นรองเจ้ากรมพระตำรวจหลวง
 
            ด้วยความทะเยอทยานมักใหญ่ใฝ่สูง และรู้ว่า ไม่ใช่เฉพาะพระโอรสเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา แต่ด้วยการล้มล้างการปกครอง
            สิ่งที่ทั้งสามครุ่นคิดสงสัย มันเป็นไปได้ในพงศาวดารจีน แต่ที่กรุงราฐมัณฑ์ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เพราะอัธยาศัยชาวราฐมัณฑ์จงรักภักดีต่อสถาบันเจ้าเหนือหัวยิ่งนัก คงไม่มีผู้ใดบังอาจหรืออาจหาญมาล้มล้าง
            เมื่อสิงห์ได้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กนั้น นับว่าใหญ่โตมาก เพราะจมื่นเป็นใหญ่สุดที่คุมกรมทหารรักษาพระองค์ หรือเป็นนายทหารใหญ่คุมกองกำลังรักษาพระราชวังคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่พระราชวงศ์ทุกพระองค์ โดยมีขวัญ และแก้วเป็นกองกำลังสนับสนุน เรียกว่า เป็นพวกเดียวกัน เออออ
ห่อหมกตามกันไปในทุกเรื่องราว
 
มุ่งมั่นตั้งใจแรงกล้า
เพียรพยายามแน่วแน่
มีหรือจะไปไม่ถึง
จุดหมายปลายทางที่หวัง
 



Create Date : 06 กรกฎาคม 2566
Last Update : 6 กรกฎาคม 2566 9:11:12 น.
Counter : 140 Pageviews.

0 comment
2.1 กระโดดเข้าไขว่คว้าหาอำนาจ


มัวแต่ฝันหวาน ฝันเฟื่อง มันคงลอยตามลมไปไหนต่อไหนแล้ว
 
ชนชั้นสูง ตระกูลผู้ดีเก่า ที่สืบทอดต่ออำนาจในราชสำนักมาเนิ่นนาน นับเป็นอภิสิทธิ์ชนแต่เก่าก่อน และคงจะทะยานต่อ สูงขึ้น และสูงไปเรื่อย ๆ
อย่างว่า เงินต่อเงิน อำนาจต่ออำนาจ
ชาวบ้านเดินดิน กินข้าวแกง คงยากนักที่จะก้าวมาเทียมบ่าเทียมไหล่
แต่ละก้าว ที่จะตะกายขึ้นไปให้สูงเท่าฐานเดิมของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ก็ยากเกิน
ถ้าหวังให้เทียมบ่าเทียมไหล่ คงยากเย็นแสนเข็ญ ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
 
สิงห์ไม่ใช่ลูกเจ้านาย แต่ปมปริศนาที่ฝังรากลึกในใจ ทำให้เขาต้องเพียรพยายามให้มากกว่าพระโอรส เพื่อจะมีโอกาสก้าวไปทัดเทียม
ถ้ามีความอยาก ความปรารถนาอันแรงกล้า มีหรือจะพ้นความพยายามไปได้
อย่างไรเสีย คงดีกว่างอมืองอเท้าหรอกน่า
 
            การก้าวกระโดดให้เด่น ไม่หมู ไม่เพ้อเจ้อ
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นลิขิตฟ้า
บางคนได้มาง่ายง่าย
บางคนตะเกียกตะกายแทบตาย
ยังคว้าไม่ได้แม้สักนิด
 
สิงห์ผู้ชาญฉลาดด้วยเป็นคนชอบอ่าน จนรอบรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เด็กวัยเดียวกันไม่สนใจใฝ่รู้
ครั้งหนึ่ง เขาได้อ่านประวัติศาสตร์จีน
ตื่นตาตื่นใจที่ได้รู้ว่า ชาวนาปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้ และสถาปนาราชวงศ์ใหม่
เรื่องนี้ฝังใจมาก อะไรกันนี่ ชาวนาได้เป็นฮ่องเต้
หลิวปังลูกชาวนาที่ยากไร้ ได้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น พระนามฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ สิงห์สนใจอ่านต่อ จนรู้เพิ่มว่า
หลี่หยวนเป็นขุนนาง เมื่อราชวงศ์สุยล่มสลายลง ได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมา จนเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ถัง พระนามถังเกาจู่ฮ่องเต้
เจ้ากวงอิ้น เมื่อพ่อสิ้นอำนาจ ท้อถอยสิ้นหวัง จนมาเจอนักพรตเต๋า ได้ทำนายว่าจะเป็นฮ่องเต้ต่อมาเป็นซ่งไท่จู่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ซ่ง
จูหยวนจางชาวนาที่แสนจะยากจนข้นแค้น ปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง พระนามหมิงไท่จู่ฮ่องเต้
ความรู้ที่ได้ ยิ่งย้ำชัด ทุกสิ่งที่ฝันเป็นไปได้แน่นอน
 
สิงห์เป็นมหาดเล็กหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับตำแหน่งมหาดเล็กหุ้มแพรเมื่ออายุ 14 และได้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็ก ตำแหน่งจมื่นสิงห์อายุเพียง 17 ปี
สมัยนั้นผู้คนอายุไม่ยืนยาว อายุสิบกว่านับว่าโตเต็มที่ ได้รับราชการเป็นขุนนาง
ทำไมสิงห์ก้าวกระโดดรวดเร็ว
อย่าลืม ถึงเขาจะไม่ได้เป็นพระโอรส แต่เพราะเส้นสายที่ใหญ่โต เป็นหลานชายของพระสนมที่รักยิ่งของเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร ด้วยเกิดในปีเดียวกัน
ที่สำคัญที่หลายคนแอบซุบซิบคือเพราะเป็นพระโอรสลับในเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์นั่นเอง
เรื่องซุบซิบมักเป็นเรื่องจริง เรื่องนินทาเป็นเรื่องที่ไม่อยากบอก แต่เชื่อเถอะ กลับเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองทีเดียวเชียวแหละ
เพราะเส้นสายและเส้นสนกลในที่แสนจะใหญ่โต ทำให้ได้โอกาสใกล้ชิดเจ้านาย และได้เรียนพร้อมพระโอรส
ใครบ้างจะได้เกียรติยศยิ่งใหญ่เช่นนี้
มันต้องมีอะไรในกอไผ่บ้างแหละน่า
 
สิงห์ฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบสูงมาก ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ชอบอ่านชอบค้นคว้าในหอบรรณาลัยที่เก็บตำราหลวง ทุกเวลาที่ว่างจากงาน
ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมสิงห์จึงขยันมากมายเช่นนี้
คงไม่ใช่อื่นใด นอกจากแรงทะเยอทะยาน อยากได้ใคร่ดีที่อยู่ภายในใจสูงกว่าใคร ๆ
นอกจากทำตัวให้ฉลาดรอบรู้ ยังได้หาโอกาสทำงานรับใช้เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ และตีสนิทใกล้ชิดจ้าวทัศน์และจ้าวอินทรอย่างมาก
ด้วยเหตุใด คงมีแต่สิงห์ที่รู้ว่า ในใจตนคิดอะไร
พูดออกไป คนคงด่า เหาจะกินหัว
แต่ตนมั่นใจว่า ตนคือพระโอรส สมควรได้รับสิ่งนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อได้เรียนรู้กับพระอาจารย์ พร้อมกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร มักเรียนได้รวดเร็วกว่า  
ยิ่งกว่านั้นยังใส่ใจการฝึกวิทยายุทธ เรียกว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ทีเดียว
การณ์ทั้งนี้เป็นที่พึงพอใจของพระอาจารย์ทั้งหลาย จนกราบทูลต่อเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ให้ทรงรับทราบเสมอ ๆ ทำให้เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ทรงพอพระทัยในสิงห์มากยิ่งขึ้น
ทว่าในความพึงพอพระทัยว่า สิงห์มีฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งบุ๋นและบู๊นั้น อาจมีบางครั้งที่เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์แอบถอนหายใจลึก ๆ ด้วยเหตุใดไม่มีใครรู้และตั้งข้อสงสัย
 
บางคนคิดว่า เป็นเพราะสิงห์ ไม่ใช่เจ้าชาย หรืออาจเป็นแต่เพียงในข่าวซุบซิบ
เป็นแค่จมื่น มิสมควรจะเก่งกาจกระมัง
คนที่ควรจะเก่งกล้าเหนือกว่าผู้ใดในหล้าน่าจะเป็นจ้าวทัศน์เสียมากกว่าใคร ๆ เพราะจะเป็นเจ้าเหนือหัวองค์ต่อไป
หากมีคนเก่งที่ทัดเทียมหรือเก่งกว่า มันมิน่าสงสัยหรอกรึ มันน่ากลัวเหมือนกันนิ
หรือสหายสนิทที่เป็นทหารเอกคู่ใจควรมีฝีมือ เพื่อปกป้องเจ้านาย
ส่วนใหญ่ ไม่ใคร่มีใครอยากชุบเลี้ยงคนที่เก่งกว่าไว้ใกล้ตัว ให้คนอื่นประเมินค่าและแอบติฉินนินทาว่า เก่งสู้สมุนไม่ได้ ลูกน้องเก่งกาจกว่า
 
จ้าวทัศน์ตำแหน่งรัชทายาท พระมหาอุปราช จะเคยคิดบ้างไหม ในใจน่ะ
การแย่งชิงอำนาจสูงสุด ที่อาจเคยคิดว่าเป็นของตาย ได้มาแน่ ๆ อาจลอยไปตามลมก็เป็นได้ ของแบบนี้มันบ่แน่หรอกนาย จริงไหม
ในใจของใครมิต่อใคร อาจกริ่งเกรง คิดประหวัดหวั่นเกรงไปต่าง ๆ นานา
หลายต่อหลายครั้งที่สิงห์แสดงความเด่นเหนือกว่าพระโอรส
เป็นเหตุให้บางคนแอบกระซิบกระซาบ แต่หามีใครหาญกล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
มันมิบังควรที่จะวิจารณ์ถึงความสามารถของพระโอรสกับพระสหายร่วมเรียน
นอกจากสิงห์จะมีมาดของผู้นำแต่เล็กแต่น้อยแล้ว ด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนทำให้สนใจอ่านหนังสือและไปพูดคุยกับผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นบิดา เพื่อนบิดา คนต่างชาติที่มารับราชการ รวมทั้งอ่านหนังสือมากมาย แทนการไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้สิงห์ดูโดดเด่นเหนือกว่าเพื่อน ๆ
 
บางคนอ่านประวัติศาสตร์พงศาวดารแล้วก็อย่างงั้น ๆ คืออ่านไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรติดค้างเข้ามาในสมองให้ขบคิดต่อ แต่คงไม่ใช่กับสิงห์ ขวัญ แก้ว
บางคนกลับคิดว่า อดีตเป็นเรื่องล้าหลังไม่ทันสมัย โดยไม่ทันคิดว่า ทุกอย่างอาจย่ำรอยเดิมวนกลับมาใหม่ได้ การรู้อดีตเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิม และทำให้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาของคนรุ่นเก่าที่เอาชนะปัญหาอุปสรรคได้
 
เมื่อทั้งสามอ่านหนังสือเล่มใด มักหาโอกาสเสวนาเปิดประเด็นต่อกันเสมอ
บางครั้งอาจนำไปพูดคุยบอกเล่าต่อจ้าวทัศน์กับจ้าวอินทร
ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่ชาวนาหรือขุนนางสถาปนาราชวงศ์ใหม่และปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ในประเทศจีน
สิงห์ไม่กล้าเปิดประเด็นนี้ กริ่งเกรงไปว่า คนอื่นจะรู้ว่า ตนมีเรื่องก่อกบฎอยู่ในสมอง
เมื่ออ่านมากย่อมรู้มากเป็นธรรมดา ขยายขอบเขตแห่งความรู้ให้มากขึ้น
ที่น่าแปลกเมื่อรู้มากขึ้น กลับคิดว่าสิ่งที่ตนไม่รู้นั้นมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เปรียบประดุจดังแสงเทียนจากเทียนแท่งใหญ่ย่อมมีรัศมีกว้างกว่ารัศมีของเทียนแท่งเล็ก แล้วความมืดรอบรัศมีนั้นเปรียบประดุจความไม่รู้
“พี่ท่าน มันเป็นไปได้นะที่เมืองจีน ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ชาวนาบ้านเราคงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอกนะ” แก้วเอ่ยขึ้น น้ำเสียงค่อนไปทางวิตกกังวลว่า ความคิดนี้จะไปกวนใจของพี่สิงห์ ด้วยรู้มาตลอดว่า พี่สิงห์เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง
การรู้เรื่องเช่นนี้น่าจะไปเพิ่มต่อมกิเลสแห่งความอยากได้ใคร่ดีให้ถ่างขยายกว้างขึ้น แก้วจึงทำเสียงเบา ๆ แทบกระซิบ แต่หาได้ทำให้อีกสองไม่ใส่ใจ เพราะทั้งสองฟังชัดและเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันเพิ่มขึ้น
“นั่นสินะ มันน่าแปลกจริง ๆ แปลว่า เขาต้องเก่งกล้าสามารถหรือมีคุณลักษณะพิเศษอะไรที่ดึงดูดคนมาร่วมงานได้ขนาดนี้ จนตั้งตัวเป็นใหญ่ได้” ขวัญเอ่ยขึ้นบ้าง อย่างพินิจพิจารณาถึงสาเหตุแห่งความเป็นไปได้
“เราต้องพิจารณาว่า เขาทำอะไร เขาจึงได้เป็นฮ่องเต้ มีฝีไม้ลายมืออย่างไรด้วย ไม่ใช่เอาแต่ชื่นชมยินดีหรือมัวแต่พิศวงงงงวย ทำไมคนธรรมดาคนหนึ่งจึงก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดได้” สิงห์เอ่ยต่อ พลางช่วยกันสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
ความคิดความอ่านที่แยบยลลึกซึ้ง หาสาเหตุที่ทำให้มี ทำให้เกิดนี้ ช่วยทำให้เข้าใจลำดับขั้นตอนชองความเป็นไปได้
ใช่ว่าจะทึกทัก อยากมีอยากได้ โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนว่า ลงทุนแรงกายแรงใจไปมากเพียงใด จึงได้สิ่งนั้นตอบแทน
“ใช่ ขอรับ พอเรารู้ว่าชาวนาได้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ แล้วพากันตื่นเต้นยกใหญ่ แต่ถ้าลองค้นคว้าไปเรื่อย ๆ อาจจะรู้ว่า มันไม่ได้ง่ายเลย ที่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะปราบดาภิเษกแล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่คนกิ๊กก๊อก แค่เพ้อฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่แล้วจะได้เป็นเสียเมื่อไหร่กันเล่า”
คราวนี้ขวัญอธิบายเสียยกใหญ่ “คงไม่ใช่แค่โชคช่วยอย่างเดียวหรอก”
“กระผมคิดว่า มันต้องมีหลายเหตุ แล้วแต่ละเหตุมาเกิดพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะ ทุกอย่างเลยลงตัวกันเป๊ะ” แก้วพูดเสริม ทั้งที่ตอนแรก ไม่ได้อยากให้เกิดเป็นประเด็นให้ถกเถียง
“อะไรบ้างล่ะ ไอ้ที่ว่าเหตุหลายเหตุน่ะ” ขวัญรุกต่อ อย่างอยากรู้ความคิดเห็น
“คนที่เป็นฮ่องเต้เดิมคงไม่ได้เรื่อง คนเลยอยากเปลี่ยนแปลง อาจอ่อนแอ อาจไม่ได้เรื่อง เสเพลสำมะเลเทเมา ไม่รู้อำนาจหน้าที่ ปล่อยให้ชาวบ้านลำบากลำบนเดือดร้อน เลยอดรนทนกันไม่ไหว พอมีผู้นำใหม่ขึ้นมา ที่พอจะมีฝีมือ มีอุดมการณ์ที่อยากช่วยชาวนาจริงจัง เลยลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน”
แก้วพยายามอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกในรูปแบบที่น่าจะเข้าใจได้
“เมื่อมีคู่แข่งที่ฝีมือดีกว่า ใคร ๆ คงมองเห็นแล้วว่า เข้าข้างคนใหม่ มีโอกาสชนะ จึงเฮโลไปฝักใฝ่หานายใหม่ ยิ่งทำให้นายใหม่มีกำลังกล้าแข็ง โดดเด่นขึ้นมาแข่งทาบรัศมีได้”
 



Create Date : 06 กรกฎาคม 2566
Last Update : 6 กรกฎาคม 2566 9:10:08 น.
Counter : 67 Pageviews.

0 comment
1  2  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments