Group Blog All Blog
|
610610 เลี้ยงเด็กอย่างสร้างสรรค์
610610 เลี้ยงเด็กอย่างสร้างสรรค์
Initiative vs. Guilt in childhood by DrPK เมื่อเด็กเริ่มเข้าอนุบาล โรงเรียนจะมีบทบาทในการอบรมร่วมกับพ่อแม่ วัยนี้จะบ่มเพาะความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ Initiative ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งในสังคมสมัยใหม่ ด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่น ได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่ท้าทายความสามารถ พร้อมกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี การเรียนรู้เรื่องบทบาททางเพศ พ่อแม่จำต้องเป็นตัวแบบที่ดีที่ต้องการให้เกิดในตัวลูก และคอยบอกว่าสิ่งใดดีควรทำและสิ่งใดไม่ดีควรหลีกเลี่ยง ส่วนโรงเรียนฝึกให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งพ่อแม่ ครูต้องสร้างสัมพันธภาพและมีปฎิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กด้วยวิธีการที่ไม่โหดร้าย ดุหรือตวาดเสียงดังจนเด็กร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกผิด Guilt จนไม่กล้าจะทำสิ่งใดที่พ่อแม่หรือครูไม่อนุญาต ถ้าเด็กรู้สึกผิดจะทำให้ไม่กล้าคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพราะฝังใจว่าจะโดนดุ โดนลงโทษ อย่าลืม เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่เสริมสร้างการเรียนรู้ ให้เล่น ให้คิดประดิษฐ์ สร้างจินตนาการ ได้ใช้ร่างกายในการวิ่ง กระโดดโลดเต้น เคลื่อนไหวร่างกาย บางครั้งเด็กอาจดูกระด้างหรือก้าวร้าวไปบ้างด้วยกำลังทดสอบพละกำลังหรือความคิดของตน แต่โดนขัดขวาง การใช้คำพูดที่ดีจะช่วยลดสิ่งที่ไม่ควรทำให้น้อยลงได้ 610602 เด็กดื้อหรือกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่
610602 เด็กดื้อหรือกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่
Eager to know in childhood by DrPK เด็กเล็กเลียนแบบสังคม ในยุคที่มือถือเกลื่อนเมืองและทำได้ทุกสิ่งแค่ปลายนิ้ว เด็กเรียนรู้จากการสังเกตพ่อแม่ แล้วเด็กอยากทำตามบ้าง ไม่ใช่ความผิดสักหน่อยที่อยากทำในสิ่งที่คนรอบตัวทำกัน การห้ามไม่ให้เด็กเล่นมือถือด้วยข้ออ้างมากมาย เช่น เสียสายตา ติดเกม ถ้าอยากห้าม พ่อแม่คงต้องเลิกใช้มือถือต่อหน้าเด็ก ๆ ให้ได้เสียก่อน เด็กบางคนเรียนรู้ที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่ไม่เคยทำ แต่เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เมื่ออยากทำแต่โดนห้าม อาจโดนดุ ตี หรือข้อกล่าวหาว่า ดื้อ คงต้องนิยามคำว่าดื้อสักหน่อย ถ้าอยากทำแล้วไม่ได้ทำเพราะเด็กต้องการทดลองทำในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ไม่น่าจะเรียกว่าดื้อ ในทางตรงข้าม น่าจะกลายเป็นการห้ามทำในสิ่งแปลกใหม่ เป็นการห้ามที่จะทดลองของเด็กให้หมดไป ต่อไปเด็กจะไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และทดลองทำสิ่งแปลกใหม่อีกต่อไป ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะได้ผลหรือไม่ ผลดีหรือผลร้าย พ่อแม่คงต้องอดทน เด็กช่วยพ่อแม่ล้างจานแล้วทำแก้วแตก ถ้าพ่อแม่ดุและสั่งห้ามเด็ดขาด ต่อไปเด็กจะไม่กล้ามาช่วยทำงานบ้านเพราะกลัวเสียหาย กลายเป็นเด็กขี้เกียจไปเสียนี่ ถ้าพ่อแม่ให้เด็กล้างจานรือแก้วพลาสติคเป็นการฝึกฝนน่าจะดีกว่าไหม ต้องกำหนดว่า เด็กดื้อ ดื้อเรื่องอะไร เหตุใดจึงดื้อ แล้วหาสาเหตุที่เด็กดื้อจึงจะแก้ปัญหาเด็กดื้อได้ตรงจุด 610220 เติมเต็มศักยภาพของลูกหลาน
610220 เติมเต็มศักยภาพของลูกหลาน
Empower your Children by DrPK การสอนลูกให้เก่งกล้าตามแบบฉบับของลูกแต่ละคน เน้นความแตกต่างที่พ่อแม่รับรู้และส่งเสริมให้ลูกได้พัฒนาเต็มกำลังความสามารถ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูแบบเดียวกันและฝันว่าเขาจะต้องเก่งเหมือนกันในเรื่องเดียวกันที่พ่อแม่ต้องการ นี่คือปรัชญาของนักจิตวิทยาสมัยใหม่ที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลที่แต่ละคนมี ด้วยการพัฒนาเด็กทุกคนให้เขาเติบโตในแบบฉบับที่แตกต่างกันนี้ให้เต็มที่ เรียกว่า เติมเต็มศักยภาพให้สูงสุดตามแต่ที่แต่ละคนจะพัฒนาได้ ซึ่งหลักการนี้อาจใช้ไม่ได้กับระบบห้องเรียนปัจจุบัน แม้ว่าครูบางคนจะพยายาม เช่น แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก แล้วคิดวิธีสอนแบบแปลก ๆ ที่จะเอาไปเสนอผลงานวิชาการได้ เคยมีบางคนบอกว่า อยากให้ลูกเก่งวิทย์คณิต ให้หาครูเก่งมาสอนแบบตัวต่อตัว รับรองเก่งทุกคน เพราะจะรู้ว่า ขาดความรู้พื้นฐานตรงไหน จะได้เติมเต็มส่วนนั้น สอนหลักการให้คิดแทนการท่องจำเพื่อจะได้ประยุกต์ใช้กับโจทย์ทุกข้อ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย หลักการนี้ใช้ได้กับการเก่งทุกเรื่องทุกด้าน ถ้ามีติวเตอร์ประจำตัว รู้จุดเด่นจุดด้อย สิ่งที่มีอยู่และสิ่งที่ขาดหายไป เติมเต็มศักยภาพในแต่ละคนได้อย่างเต็มที่ แต่เปลืองเงินมากหน่อยนะ นักจิตวิทยาชื่อการ์ดเนอร์ บอกว่า ทุกคนมีความเก่งที่ซ่อนเร้นติดตัวและแตกต่างกัน ปัญญาอาจแบ่งได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่เก่งแบบนักวิทยาศาสตร์ เพราะอดีตเราจะจดจำได้แต่ผู้คิดค้นสิ่งแปลกใหม่และนวตกรรม แต่ปัจจุบันคนที่เก่งแตกต่างกันสามารถเอาตัวรอดได้เท่ากัน อยากให้ลูกหลานเก่งสมความคาดหวัง สละเวลาพูดคุยเรื่องการเรียนเขียนอ่าน แล้วสอนเองตามความสามารถที่มี อาจจะดีกว่าส่งไปเรียนพิเศษห้องใหญ่ราคาแพงเกินเหตุ ค่อย ๆ คุย ค่อย ๆ สอน รับรองเขาจะได้พัฒนาเต็มตามขีดความสามารถที่เขามีอยู่แน่นอน อย่าไปหวังจะได้ความรู้จากครูในห้องเรียนอย่างเดียว เพราะความรู้มีได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วกด ลงทุนอุปกรณ์สักหน่อย อย่าหวาดกลัวความทันสมัย และคิดว่าเด็กจะเล่นแต่เกม ถ้าสอนให้รู้ว่ามีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า เขาจะสนใจสืบค้นด้วยตนเอง เมื่อนั้นเขาจะค้นพบความสนใจความถนัดและเติมเต็มศักยภาพของตนเองได้ ช่วยกันเลี้ยงลูกหลานยุคใหม่
ช่วยกันเลี้ยงลูกหลานยุคใหม่
Helping to raise new children by DrPK เมื่อคน 3 ยุค คือ ยุค gen B ที่เป็นปู่ย่าตายาย ยุค gen X ที่เป็นพ่อแม่ และลูกเล็กที่เป็นเด็กยุค gen Alpha โคจรมาพบกัน อะไรจะเกิดขึ้น พ่อแม่ต้องเข้าใจลูกน้อยว่าเกิดมาในช่วงที่โลกกำลังแข่งขันกันสูง เด็กต้องเรียนรู้สารพัดอย่างมากมายเพื่อที่จะก้าวยืนอยู่ในแถวหน้าได้อย่างมั่นคง ปู่ย่าตายายที่อยู่ในวัยเกษียณและค่อย ๆ เรียนรู้เทคโนโลยีพร้อมกับเด็กรุ่นใหม่ ความรู้เดิม ๆ ที่เคยมีแทบจะใช้ประโยชน์ไม่ได้ อำนาจตำแหน่งลาภยศที่ใหญ่โตหมดไปพร้อมกับการเรียนรู้วิธีที่จะยืนหยัดในโลกสมัยใหม่อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีต และช่วยประคับประคองบุตรหลานให้ยิ่งใหญ่เหมือนตนให้ได้ อย่างน้อยให้พวกเขาได้มีที่ยืนในสังคม คน 3 รุ่น 3 วัย ต่างต้องปรับตัวเข้าหากันและปรับให้ทันกับโลกที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ต่างต้องช่วยกันพยุงและก้าวให้ทัน ถ้ามัวแต่ยืนอยู่กับที่เท่ากับถอยหลังไปอีกก้าว ถ้าปฏิเสธไม่ยอมรับ อาจโดนเตะไปอยู่สุดขอบกลายเป็นคนล้าหลังและไม่มีที่ยืนอีกต่อไป คนแต่ละยุคต่างต้องปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ยุคปฏิวัติทางอุตสาหกรรมวุ่นวายมากแล้ว แต่ยุคเทคโนโลยีครองเมืองนี่สิรุนแรงมากกว่าหลายเท่า จากหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้า ทวดปู่ย่าตายายยังงมโข่งกับยุคเดิมของตน คงน่าสงสารลูกหลานที่จะก้าวไม่ทันสังคมแล้ว อยากให้ลูกหลานเจริญก้าวหน้าทันสังคม โปรดอ่านหนังสือชื่อ “เลี้ยงลูกยุคอัลฟ่าให้ฉลาดเฉลียว” ผู้เขียน ดร.พรรณี เกษกมล 580307 พหุปัญญา ฉลาดได้หลากหลาย
580307 พหุปัญญา ฉลาดได้หลากหลาย
Multiple Intelligence by DrPK นักจิตวิทยาที่ชื่อโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์เป็นคนทำให้โลกของเด็กและวัยรุ่นสดใสขึ้นเมื่อพ่อแม่ไม่เคี่ยวเข็ญให้ลูกหลานเก่งแต่วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เท่านั้น เขาบอกว่า ปัญญามีหลายด้าน แล้วแต่ใครจะถนัดหรือชอบด้านใด เป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาหรือได้รับมาจากครอบครัวจนคุ้นเคย บางคนพูดเก่ง เขียนเก่ง สื่อสารได้รู้เรื่อง ต่อไปเหมาะกับการเป็น กวี นักเขียน นักกฎหมาย นักพูด ถ้าเพิ่มหลักตรรกะมีเหตุผลประกอบ เก่งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คงได้เป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ในอนาคต สำหรับคนที่มีสุนทรีย์ อารมณ์อ่อนไหว ซาบซึ้งกับเสียงดนตรี เหมาะกับ นักดนตรี นักเต้น ถ้าผนวกกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เหมาะกับศิลปิน จิตรกร สถาปนิก นักออกแบบ อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นอาชีพยอดฮิตคือนักกีฬาอาชีพ นักแสดง จะมีทักษะทางการเคลื่อนไหวและร่างกายแข็งแรง คนที่เข้าใจคนอื่นได้ง่าย รู้สึกเห็นใจผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ เหมาะจะเป็น นักเขียน นักแนะแนว ผู้ให้คำปรึกษา จิตแพทย์ ถ้าเพิ่มภาวะผู้นำ มีโอกาสได้เป็นนักการเมือง ครู นักขาย นักโฆษณา ผู้นำในทุกระดับ กลุ่มที่ชื่นชมธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คงจะเหมาะกับอาชีพนักสิ่งแวดล้อม นักธรรมชาติวิทยา นักธรณีวิทยา และอีกกลุ่มชอบใคร่ครวญจมอยู่กับความคิด จะเหมาะเป็นนักวิชาการ นักปรัชญา นักคิด หน้าที่ของทุกคนจึงต้องค้นหาว่าเด็กของตนมีอัจฉริยะในด้านใด มีแววว่าจะเก่งถนัดหรือชำนาญในทางใดมากกว่ากัน ให้ส่งเสริมในด้านนั้นให้มากเป็นพิเศษจะได้เป็นทุนรอนในตัวของเขายามเติบใหญ่และจะได้เป็นช่องทางทำมาหาเลี้ยงชีพต่อไป เลิกได้แล้ว โลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเก่งหรือถนัดด้านใด โอกาสก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตย่อมมีได้ทั้งนั้น ต่างจากยุคของปู่ย่าตายายที่เคี่ยวเข็ญว่าต้องเรียนหนังสือให้เก่งเท่านั้น ขอให้ทุกคนมีความสุขกับสิ่งมีติดตัวมาและพัฒนาให้มีมากขึ้นและดีขึ้นเท่านั้นเป็นพอ |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |