Group Blog All Blog
|
เรื่อง ขอนอกใจบ้างนะ
เรื่อง ขอนอกใจบ้างนะ
ผัวอยากรู้ว่า ถ้าเขาเกิดนอกใจ จะเกิดอะไรตามมา จึงเอ่ยถามตอนเมียอารมณ์ดี ผัว เอ่อ ถ้าผมเกิดเผลอใจ ไปนอกใจคุณ จะเป็นยังไงนะ (เสียงออดอ้อนสุด ๆ ) เมีย ง่าย ๆ เลยนะ ฉันจะหลับตาข้าง ลืมตาข้าง ผัวดีใจสุด ๆ คิดเองว่า เมียเรานี่ใจกว้างมากเลย ผ่านไปหลายวัน บังเอิญเขาเห็นรูปภาพที่โต๊ะหนังสือของเมีย เป็นรูปหญิงสาวหลับตาข้างหนึ่ง เล็งปืนไปยังเป้า โอ๊ยแย่ ๆ เมื่อเมียคุยกับผัว
เมื่อเมียคุยกับผัว
เมีย อยากฟังกลอนมั้ย ผัว รู้สึกรำคาญ แต่ตอบไปว่า เอาซิ เมีย เลิกเหล้า เลิกเบียร์ เมียก็รัก เลิกกิ๊ก เลิกกั๊ก เมียรักใหญ่ เลิกพนัน หวย ม้า เมียพอใจ ผัว แต่ถ้าวันไหน เมียเลิกหายใจ ผัวไชโย สิ้นคำผัวปุ๊บ เสียงดังฉาดใหญ่ อ้าว ใครกันนี่หงายหลังผึ่ง ตกเก้าอี้ไปเลย เครียด ฉันก็เครียดคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับใคร
เครียด ฉันก็เครียดคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับใคร
ดร.พรรณี เกษกมล สมมติมีเส้น 2 เส้น แทนเส้นความสามารถที่มีอยู่จริงของคนหนึ่ง กับอีกเส้นแทนเส้นงานที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเส้นความสามารถสูงกว่าเส้นงานที่ต้องรับผิดชอบ เขาจะหงอยเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาทำได้ ถ้าเส้นความสามารถต่ำกว่าเส้นงานที่ต้องรับผิดชอบ เขาจะเครียดเพราะไม่อาจทำให้งานสำเร็จได้ ถ้าเส้นความสามารถเท่ากับเส้นงานที่ต้องรับผิดชอบ เขาจะมีความสุขในงานที่ต้องทำ นี่คือ หลักการสำคัญของหัวหน้าในการมอบหมายงานให้ลูกน้อง ถ้าลูกน้องเครียด ให้เปลี่ยนงานที่ต้องทำให้ง่ายขึ้น ถ้าลูกน้องหงอย ให้เปลี่ยนงานที่ต้องทำให้ยากขึ้น ถ้าลูกน้องมีความสุขกับงานที่ทำ ให้เขาทำต่อไป คนเป็นหัวหน้าอยากให้งานของตนเจริญก้าวหน้าต้องรู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน สำหรับมนุษย์ทำงานทั้งหลาย เคยตรวจสอบตนเองไหมว่า เรารู้สึกเช่นไร หรือมีอารมณ์อะไรบ้าง เครียดกับงาน มีความสุขที่ได้ทำงาน เบื่อเซ็งกับงานซ้ำซาก วิธีตรวจสอบที่ง่ายที่สุด ลองทำตารางหรือโน้ตย่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านมาด้วย แทนอารมณ์ดี แทนไม่มีอารมณ์หรือเฉย ๆ แทนอารมณ์ไม่ดี สิ้นสุดวัน /สัปดาห์ /เดือน ลองนับดูสิว่า มีหน้าใดมากที่สุด คนที่มีความสุขที่ได้ทำงาน ขอให้ทำงานนั้นต่อไป ถึงแม้ว่า งานนั้นอาจให้เงินน้อยไปหน่อย หรืออยากเปลี่ยนงาน ขอให้เลือกเอาที่คล้าย ๆ เดิม คนรุ่นใหม่ที่รู้ว่าตนเบื่อเซ็งกับงานที่ซ้ำซาก ไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินหรือตำแหน่งที่ต้องการ พวกเขาจะลาออกทันที หาซื้อหนังสือปลุกปลอบให้กำลังใจและกล้าลุกมาสู้กับชีวิตที่จะได้เป็นนายของตัวเอง ถ้าล้มก็พยายามลุก ๆ จนกว่าจะหมดแรงไปข้างหนึ่ง ส่วนคนที่น่าห่วงที่สุดคงเป็นพวกเครียดกับงาน เพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดแห่งโรคยอดฮิตในสังคมทุกวันนี้ เขาบอกถ้าไม่ใช่โรคติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดทั้งสิ้น โดยปกติเมื่อเราเครียดเราจะอารมณ์ไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน เช่น เกิดความกลัวว่าจะทำให้งานดีตามที่ตั้งใจไม่ได้ ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ จะเกิดความวิตกกังวล โกรธแค้นในทุกคนที่รายล้อมรอบตัวทั้งที่เขาเหล่านั้นไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แล้วจะพูดจาไม่เข้าหูใครสักคน อารมณ์ไม่ดีเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อมกับการไม่สบายทางกายและใจไปพร้อม ๆ กันและจะทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว นี่แหละคืออันตรายที่คืบคลานเข้ามา ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อนสนิทมิตรสหายพลอยห่างเหินไปเพราะไม่อยากรับอารมณ์ที่มาพร้อมคำผรุสวาทด่าทอผู้อื่นที่ทำไม่ได้ดั่งใจ ความเครียดในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน บางคนหัวใจเต้นเร็ว กรามขบกัน ท้องไส้ปั่นป่วน ร่างกายเราจะมีปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดขึ้นในสี่ด้าน คือ ความรู้สึกนึกคิด การเปลี่ยนแปลงทางกาย อารมณ์ และสติปัญญา การรู้จักผ่อนคลายความเครียด คือ ต้องรู้สาเหตุที่ทำให้เราเครียด ต้องบรรยายเงื่อนไขหรือบอกสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัวนี้ออกมาให้ได้เสียก่อน จึงจะหาทางขจัดความเครียดได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องทำงานที่เกินความสามารถของตนถึงแม้จะเงินเดือนมากมาย ตำแหน่งใหญ่โตสักแค่ไหน คงต้องยอมออกจากงานนั้นเถอะ รักชีวิตให้มากกว่า จะดีไหม ไม่ใช่ว่าคนที่เครียดจะต้องแสดงออกแย่ ๆ เสมอไป บางคนอาจตอบสนองในทางที่ดีได้ เช่น เราอาจเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาแบบใหม่ ๆ คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมบางคนเมื่อเจอความเครียดแล้วมีการแสดงออกในทางที่เหมาะสม แต่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะเมื่อคนเราเผชิญกับความเครียดจะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาแตกต่างกัน เมื่อเราเผชิญหน้ากับความเครียด จะมีการประเมินความเครียดในสามลักษณะคือ คิดว่าสิ่งที่เจอนั้นเป็นสถานการณ์ทางบวก ลบ หรือเป็นกลาง หรือคิดว่าสิ่งที่เรากำลังจะเผชิญนั้นเป็นอันตรายต่อเรา หรือข่มขู่เรา หรือคิดว่ามันกำลังท้าทายความสามารถของเรา ถ้าเราเจอสถานการณ์แล้วประเมินว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเรา มันจะทำร้ายเรา จะเกิดความสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง คิดว่าตนเองเป็นคนไร้ค่า แต่ถ้าเราคิดว่าเหตุการณ์หรือบุคคลอื่นจะมาข่มขู่เรา เราจะประเมินว่าเหตุการณ์นั้นอาจเลวร้าย อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ จะทำให้เราเกิดความซึมเศร้า หรือเราอาจคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะมีปัญหาแต่เราสามารถจัดการกับปัญหานั้นได้ เราอาจได้รับประโยชน์ บางทีอาจทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ขึ้นมา หรือทำให้เราได้อะไร ๆ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม การใช้ปัญญาหรือความรู้สึกนึกคิดที่จะแก้ปัญหาความเครียดของตน เราต้องเปลี่ยนความคิดจากการคิดว่ามันเป็นอันตราย มันข่มขู่เรา ให้เป็นสิ่งที่น่าท้าทาย เราสามารถใช้ความสามารถและทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถ้าเราคิดว่ามันอันตรายต่อเรามากหรือข่มขู่เราอย่างร้ายแรง เราจะยิ่งเครียดมาก แต่ถ้าเราคิดว่าเราสามารถจัดการกับมันได้จะทำให้ความเครียดลดลง ดังนั้นการแก้ปัญหาความเครียดหรือคิดไม่ให้เครียด เราต้องปรับเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของเราให้ได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะมีอันตรายต่อเรา ข่มขู่เรา เราก็สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ มันท้าทายความสามารถของเรา เราเป็นคนเก่งเราสามารถแก้ปัญหาได้ ถ้าเราคิดว่าเราทำได้เราจะทำได้ ถ้าเราคิดว่าเราจะชนะเราก็จะชนะมัน ความคิดที่ดี ความคิดที่สร้างสรรค์แปรเปลี่ยนสิ่งเลวร้ายให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ตัวเรา บางทีพระเจ้าต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เรา ให้เราได้เปลี่ยนวิถีชีวิต ความรู้สึกนึกคิด ถ้าเราคิดว่าสิ่งเลวร้ายในวันนี้จะทำให้เราได้สิ่งที่ดีกว่าเดิมในวันข้างหน้า เราก็จะมีกำลังใจต่อสู้ และไม่เครียด 640721 ความลับที่เปิดเผย
640721 ความลับที่เปิดเผย
ในช่วงโควิทพีคสุด ๆ ยอดคนติดเชื้อเกินหมื่น ตายนับร้อย 1 ผู้เป็นภรรยา เกิดอาการกลัวตายสุด ๆ เพราะเฝ้าข่าวโควิทเช้าสายบ่ายเย็น วันหนึ่ง 1 นั่งหน้าเศร้าเหงาหงอย เรียก 2 สามีสุดที่รัก ถึงจะรักมากเพียงใด แต่ 1 เก็บความลับเรื่องทรัพย์สมบัติอย่างดี 1 เรามีเรื่องจะบอก นี่คือสมบัติทั้งหมดและรหัสที่จำเป็น 2 งงเด้ ทำไม อะไรกันนี่ แต่ทำเฉย ปลอบใจไปตามเรื่อง ผ่านไปนานกิน โควิทสงบแล้ว 2 คิดในใจ ตอนนี้เรารู้ความลับแล้ว แล้ว 1 จะแอบเปลี่ยนรหัสลับหรือไม่ ต้องรอโควิทพีครอบต่อไปแล้วล่ะ แบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจด้านอาชีพ
แบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจด้านอาชีพ
การวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ พบว่า ความสามารถในการเรียนรู้ และทักษะทางอาชีพของบุคคลจะสัมพันธ์กับความถนัดและความสนใจของบุคคลนั้น คุณลักษณะของบุคคลจะสัมพันธ์กับความสำเร็จในการทำงาน นักจิตวิทยาจึงต้องการที่จะสร้างแบบสอบวัดเพื่อทำนายลักษณะของความถนัด ความสนใจที่มีต่อการตัดสินใจเลือกอาชีพหรือการประสบความสำเร็จในอาชีพ การสร้างแบบสอบวัดคุณลักษณะที่มีในตัวแต่ละคนเพื่อทำนายความสำเร็จในการทำงานในอนาคตจึงเป็นความคิดพื้นฐานในการสร้างแบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจด้านอาชีพ และแบบสอบวัดนี้ยังมีประโยชน์ สามารถใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ศึกษาต่อ และให้คำปรึกษาการตัดสินใจเลือกอาชีพได้ด้วย ในการแนะแนวเพื่อให้คำปรึกษาด้านอาชีพ จำเป็นต้องใช้แบบทดสอบหรือแบบสำรวจที่เราจะเรียกรวมว่าแบบสอบวัด เพื่อให้ได้ข้อมูลว่า ผู้รับคำปรึกษามีความถนัด ความสนใจ พัฒนาการและวุฒิภาวะทางอาชีพเช่นไร จึงจะช่วยให้การตัดสินใจด้านอาชีพถูกต้องเที่ยงตรงมากขึ้น การเลือกใช้แบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจด้านอาชีพจำเป็นต้องพิจารณาว่าจะเลือกใช้แบบสอบวัดประเภทใด ใช้ทฤษฎีหลักการของคนใดคนหนึ่งหรือจะผสมผสานหลายแนวความคิด เพื่อดูความสอดคล้องที่ได้จากแบบสอบวัดต่าง ๆ แล้วจึงให้คำปรึกษา โดยผู้รับคำปรึกษาควรผ่านกระบวนการตัดสินใจด้านอาชีพด้วย ผลจากแบบสอบวัดเป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ต้องคำนึงว่าควรใช้แบบสอบวัดอย่างระมัดระวัง และผู้ให้คำปรึกษาต้องชี้แจงถึงข้อจำกัดบางประการของแบบสอบวัดแต่ละฉบับ และต้องคำนึงถึงค่าความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรงและประโยชน์ที่จะได้จากแบบสอบวัดแต่ละฉบับด้วย ภายหลังจากที่ผู้รับคำปรึกษาทำแบบสอบวัดประเภทต่าง ๆ แล้ว ผู้ให้คำปรึกษา ควรนำผลของแบบสอบวัดมาพิจารณาเปรียบเทียบแบบแผนของกลุ่มอาชีพที่ได้และคะแนน (Profile) จากแบบสอบวัดแต่ละฉบับมาเปรียบเทียบเพื่อหาความสอดคล้องหรือความแตก ต่างของคะแนน เช่น พิจารณากลุ่มอาชีพที่ได้จากคะแนนแต่ละฉบับว่ามีลักษณะหน้าที่ การทำงานที่ต้องใช้ความสามารถ ความสนใจเหมือนกันหรือไม่ วิเคราะห์ว่ากลุ่มของอาชีพที่ได้เป็นเพียงโอกาสที่เป็นไปได้ที่เราจะเลือกเท่านั้น ควรคำนึงถึงทุกปัจจัยว่า อาชีพใดเหมาะสมกับตนมากที่สุดและมีความเป็นจริงมากที่สุด เช่น โอกาสการได้งานทำในอนาคต เงื่อนไขการทำงาน การจ้างงาน การฝึกงาน ผลตอบแทนและสวัสดิการที่จะได้รับ เป็นต้น และงานนั้นเหมาะสมกับคุณลักษณะ ของตนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การตัดสินใจเลือกอาชีพขั้นสุดท้ายควรเป็นการตัดสินใจของผู้รับคำปรึกษา แม้ว่าจะต้องผ่านขั้นตอนของการรับคำปรึกษาจากผู้ให้คำปรึกษา ผู้ปกครอง พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อน ผู้รับคำปรึกษาต้องคิดว่างานที่จะเลือกนี้ ตนจะประสบความสำเร็จและพึงพอใจที่จะทำงานนั้นมากที่สุด และเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ไม่ใช่ถามว่างานใดดีที่สุด การวัดความสนใจในอาชีพ อี เค สตรอง (E.K. Strong) ได้สร้างแบบสอบวัดความสนใจในอาชีพ ชื่อว่า Strong Vocational Interest Blank เรียกย่อว่า SVIB เพื่อวัดว่าบุคคลที่ทำงานในอาชีพที่แตกต่างกันชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยสตรองมีความเชื่อว่า ความพอใจสัมพันธ์กับความสามารถ การที่บุคคลจะทำกิจกรรมใดหมายความว่าเขามีความสามารถในการทำกิจกรรมนั้น ถ้าเขาประสบความสำเร็จในกิจกรรมใดเขาก็จะชอบกิจกรรมนั้นด้วย สตรองเรียกความชอบนี้ว่าความสนใจ หลักการของแบบทดสอบ คือ คนที่ทำงานอาชีพต่างกันจะมีความสามารถ ความถนัด ความสนใจ ทัศนคติ ลักษณะทางบุคลิกภาพแตกต่างกัน ต่อมาสตรองได้พัฒนาแบบทดสอบวัดความสนใจในอาชีพสำหรับการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ชื่อแบบทดสอบ The Strong Campbell Interest Inventory (SCII) ประกอบ ด้วยข้อคำถาม 325 ข้อ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 7 กลุ่ม คือ อาชีพ วิชาที่เรียนในโรงเรียน กิจกรรม ความบันเทิง ชนิดของคน ให้ผู้ตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ จอห์น แอล ฮอลแลนด์ (John L. Holland) ได้เสนอทฤษฎีการเลือกอาชีพว่า พฤติกรรมเป็นฟังก์ชั่นของความสนใจทางด้านบุคลิกภาพและสภาพแวดล้อมทางสังคม การเลือกอาชีพเกิดจากแรงจูงใจ ความรู้ในอาชีพ การรับรู้และการเข้าใจตนเอง ความสามารถของตน การที่บุคคลจะอยู่ในสภาพแวดล้อมทางอาชีพใดขึ้นอยู่กับความสนใจและบุคลิกภาพ ฮอลแลนด์ได้พัฒนาแบบสำรวจชื่อ Vocational Preference Inventory เพื่อวัดความสนใจในอาชีพ และแบบสำรวจชื่อ Self Directed Search เพื่อค้นหาอาชีพที่เหมาะสมกับตนด้วยตนเอง หลักการของแบบสำรวจนี้ คือ การเลือกอาชีพเป็นการแสดงออกทางบุคลิกภาพ ลักษณะทางอาชีพจะสัมพันธ์กับลักษณะทางจิตสังคมที่สำคัญของบุคคลนั้น ความพอใจในอาชีพ ความคงที่และความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสอดคล้องระหว่างบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมของคนนั้น ลักษณะของแบบสำรวจแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ การประเมินกิจกรรม ความสามารถ อาชีพที่ชอบ และการประมาณค่าตนเอง ผลจากแบบสำรวจความสนใจในอาชีพของสตรองและฮอลแลนด์จะสอดคล้องกัน คือ แบ่งคนเป็น 6 ประเภท ได้แก่ Realistic ความสนใจงานนอกบ้าน งานเทคนิค Investigative ความสนใจงานด้านวิทยาศาสตร์ งานสืบค้นหาข้อเท็จจริง Artistic ความสนใจงานละคร การแสดงออก Social ความสนใจการช่วยเหลือผู้คน งานที่ได้อยู่กับผู้คน Enterprising ความสนใจงานชักจูง การเมือง การมีอำนาจ Conventional ความสนใจงานองค์การ งานเสมียน วิธีการวัดความสนใจ การวัดความสนใจในอาชีพอาจทำได้ 4 แบบ คือ (Walsh & Betz. 1985: 232) 1. การวัดโดยการถามตรง ๆ ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบทำกิจกรรมใด ชอบหรือไม่ชอบ อาชีพใด 2. การวัดความสนใจจากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน เช่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรม สถานการณ์หรืออาชีพ สังเกตว่าเขาใช้เวลาทำอะไรบ้าง เช่น บางคนอาจบอกว่าสนใจวิชาเลขคณิต แต่ไม่เคยใช้เวลาในการนับหรือทำกิจกรรมเกี่ยวกับตัวเลข แต่ชอบใช้เวลาสะสมก้อนหิน แสดงว่าเขาสนใจวิชาธรณีวิทยามากกว่าเลขคณิต หลักการของวิธีนี้ คือ บุคคลมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่เขาชอบหรือสนองความพอใจของเขา 3. การวัดความสนใจโดยใช้แบบทดสอบประเมินความสนใจที่สัมพันธ์กับความรู้ในหัวข้อที่กำหนด หลักการของวิธีนี้ คือ บุคคลจะมีความสนใจก็ต่อเมื่อเขามีความรู้ในเรื่องนั้น เช่น ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มาตรฐาน คนที่เรียนรู้สาขาวิชาใดมากจะสนใจวิชานั้น เช่น ถ้าเขาเรียนวิชาฟิสิกส์ได้ดีและทำคะแนนได้ดีกว่าวิชาประวัติศาสตร์ ย่อมแสดงว่าเขาสนใจวิชาฟิสิกส์มากกว่าวิชาประวัติศาสตร์ 4. การวัดความสนใจโดยให้บุคคลรายงานว่าชอบหรือไม่ชอบทำกิจกรรมใดบ้าง แล้วให้เหตุผลที่ชอบทำกิจกรรมนั้น แล้ววิเคราะห์ว่ากิจกรรมที่ทำนั้นสัมพันธ์กับกิจกรรมที่ต้องทำงานร่วมกับคน สิ่งของ ข้อมูล หรือผลผลิต เช่น ชอบคุยกับเพื่อน ความสนใจนี้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนหรือต้องอยู่กับคน การวัดวุฒิภาวะทางอาชีพ วุฒิภาวะทางอาชีพ หมายถึง ความคงเส้นคงวา (Consistency) ของการเลือกอาชีพและเลือกได้ตรงกับความเป็นจริง บุคคลจะเลือกอาชีพหนึ่งคงที่ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งหรืออาจตลอดไป และสามารถเลือกอาชีพได้เหมาะสมกับลักษณะต่าง ๆ ของบุคคลนั้น ไคร้ทซ์ (Crites) ได้สร้างแบบสำรวจวัดพัฒนาการทางอาชีพ ชื่อ The Vocational Development Inventory (VDI) และต่อมาได้ปรับปรุงเป็นแบบสำรวจวัดวุฒิภาวะทางอาชีพ ชื่อ The Career Maturity Inventory (CMI) โดยมีแนวคิดว่า การที่บุคคลตัดสินใจเลือกอาชีพจะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดสินใจและการเลือกอาชีพ ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในการเลือกอาชีพและทัศนคติต่อการเลือกอาชีพ ดังนั้นความสามารถในการเลือกอาชีพและทัศนคติต่อการเลือกอาชีพจึงเป็นตัวชี้บอกคุณภาพหรือวุฒิภาวะของกระบวนการในการตัดสินใจเลือก ลักษณะของแบบสำรวจวัดวุฒิภาวะทางอาชีพ ชื่อ The Career Maturity Inventory (CMI) ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1) ความสามารถในการรู้จักตนเอง สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมในการประมาณค่าความสามารถของตน 2) ความรู้ในเรื่องอาชีพ ข้อมูลอาชีพ ลักษณะหน้าที่การทำงานและแนวโน้มของอาชีพต่าง ๆ โอกาสการจ้างงานในอนาคต 3) การเลือกอาชีพที่มีความเป็นจริงมากที่สุด และตรงกับความสามารถ ความถนัด ความสนใจ ลักษณะบุคลิกภาพของตน 4) การวางแผนเพื่อให้ได้อาชีพที่ต้องการ ต้องเรียงลำดับงานที่ต้องทำเป็นขั้นตอน และกำหนดแผนการได้ชัดเจน 5) ความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจด้านอาชีพ การวัดพัฒนาการทางอาชีพของซูเปอร์ (The Career Development Inventory -CDI) วัดความสามารถและทัศนคติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ 1) การวางแผนอาชีพ ชนิดของงานที่ต้องทำ 2) การสำรวจอาชีพ ประมาณค่าแหล่งข้อมูลอาชีพต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ 3) การตัดสินใจกับปัญหาที่ต้องวางแผน 4) ข้อมูลการทำงาน ความรู้ในอาชีพเฉพาะอย่าง 5) ความรู้ในกลุ่มอาชีพที่ชอบ จัดกลุ่มความสามารถ หน้าที่ ความสนใจ ค่านิยม และลักษณะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชีพ การวัดความถนัดทางอาชีพ ลักษณะของแบบทดสอบความถนัดทางอาชีพ เนื้อหาเน้นส่วนประกอบของงานมากกว่าการสอบทางวิชาการ ต้องเน้นความสามารถที่มองเห็นได้ เช่น การทำงานกับชิ้นส่วนเล็ก ๆ จำเป็นต้องมองเห็นวัตถุกับแผนผังการทำงาน ลักษณะงานที่ซับซ้อนจะต้องมีหลาย ๆ งานจึงจะบ่งบอกลักษณะของอาชีพได้ เบนเนทท์ (Bennett) ได้สร้างแบบทดสอบความแตกต่างความถนัด ชื่อ The Different Aptitude Test (DAT) สำหรับนักเรียนเกรด 8-12 เพื่อใช้ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการศึกษาและอาชีพ ประกอบด้วยแบบทดสอบย่อย 8 ฉบับ คือ เหตุผลทางภาษา ความสามารถทางตัวเลข เหตุผลทางนามธรรม ความรวดเร็วแม่นยำในการทำงานเสมียน เหตุผลทางจักรกล มิติสัมพันธ์ การสะกดคำ การใช้ภาษา ตัวอย่างการวัดเหตุผลทางจักรกล คือ วัดความสามารถของบุคคลที่เข้าใจหลักการทางกายภาพที่แสดงในสภาวะปฏิบัติการ คะแนนของแบบทดสอบทำนายความสำเร็จของโปรแกรมการฝึกงานต่างชนิดกัน เช่น งานจักรกล การควบคุมเครื่องจักร เจ้าหน้าที่ คนงาน ผู้ตรวจสอบ คนตรวจเครื่องมือ คนทำเครื่องมือ การวัดความถนัดทางจักรกลของฮาร์เซล (Harsel) ได้วิเคราะห์ว่า ความถนัดทางจักรกลประกอบด้วย ความสามารถทางภาษา คำพูด ความสามารถในการรับรู้รูปทรงทั้งมวลของวัตถุ สติปัญญารับรู้รูปทรงทางเรขาคณิต รับรู้การเคลื่อนที่ของวัตถุอย่างถูกต้อง รับรู้ความสัมพันธ์ของภาษา คำพูด ตัวประกอบด้านความเร่ง ความคล่องแคล่วในการใช้มือ นิ้ว การให้เหตุผลอย่างมีตรรกะ ลักษณะของแบบทดสอบวัดความถนัดด้านมิติสัมพันธ์ ใน Minnesota Paper Form Board จะให้รูปทรงทางเรขาคณิต แล้วผู้ตอบเลือกส่วนประกอบชิ้นส่วนมาต่อกัน เป็นการวัดความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ของวัตถุที่มีการเคลื่อนที่ไปในมิติต่าง ๆ แบบทดสอบความถนัดด้านเสมียนของ Minnesota Clerical Test (The Psychological Corporation) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ การตรวจตัวเลข การตรวจชื่อในเวลา 7 นาที เช่น 8 7 6 9 4 x 8 7 6 9 4 5 4 6 8 9 2 6 x 5 4 6 9 8 2 6 การตรวจสอบให้ทำเครื่องหมาย P ระหว่างตัวที่เหมือนกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แบบทดสอบนี้จะวัดความเร็วและความถูกต้องในการรับรู้ ประเมินความสามารถในการรับรู้ของบุคคล ความสามารถในการสังเกตรายละเอียดได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว รูปแบบของแบบทดสอบเปรียบเทียบชื่อ จำนวนตัวเลข เพื่อแสดงว่าเหมือนหรือแตกต่างกัน วัดความเร็ว ทักษะที่ต้องใช้ความถูกต้อง 100 % ในเวลาที่จำกัด จึงจะสามารถแยกความแตกต่างด้านเสมียนของบุคคลได้ แบบทดสอบความถนัดชื่อ The General Aptitude Test Battery (GATB) ของ The United States Employment Service (USES) ใช้ในการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ แบบทดสอบนี้วัดองค์ประกอบ 9 ด้าน คือ 1) ความสามารถทางสติปัญญาทั่วไป คำศัพท์ เลขคณิต เหตุผล 2) ความถนัดทางภาษา คำศัพท์ 3) ความสามารถด้านตัวเลข การคำนวณ เหตุผล 4) มิติสัมพันธ์ 5) การรับรูปแบบ การจับคู่ 6) งานเสมียน การเปรียบเทียบ 7) การทำงานเครื่องจักรกล 8) ความคล่องในการใช้มือ การวางและการหมุน 9) ความคล่องในการใช้นิ้ว การรวบรวมและการเคลื่อนย้าย สรุป แบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจเลือกอาชีพส่วนมากจะครอบคลุมถึงความสนใจ ความถนัด วุฒิภาวะ ทัศนคติ ความสามารถ แต่แบบสอบวัดแต่ละฉบับจะไม่ครอบคลุมทุกลักษณะ ดังนั้นจึงต้องทำแบบสอบวัดหลาย ๆ ฉบับเพื่อที่จะได้ครอบคลุมทุกลักษณะที่ต้องการเพื่อจะทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกอาชีพได้อย่างสมเหตุสมผล และผู้ให้คำปรึกษาสามารถวัดคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้รับคำปรึกษาได้ครบทุกด้าน ปัญหาเรื่องแบบสอบวัดเพื่อการตัดสินใจเลือกอาชีพในประเทศไทย เราขาดแบบทดสอบมาตรฐาน ดังนั้นสิ่งที่เราน่าจะทำได้ คือการเรียนรู้ลักษณะของแบบสอบวัดแต่ละประเภท แล้วทำในลักษณะของแบบสำรวจ เพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้รับคำปรึกษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้อควรระวัง คือ สังคมไทยกับสังคมอเมริกันจะมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การแปลค่าจากแบบทดสอบจึงอาจแตกต่างกันได้ หรือกล่าวว่าแบบสอบวัดเหล่านี้อาจมีค่าความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่นลดน้อยลงเมื่อนำมาใช้กับคนไทย แต่อย่างไรก็ตามแบบสอบวัดเหล่านี้จะยังคงมีประโยชน์ในการให้แนวทางที่ช่วยให้ข้อมูลแก่เด็กว่าเขาควรเลือกอาชีพอะไร ไม่ใช้เป็นคำตอบที่แน่นอนตายตัวว่าต้องเลือกอาชีพจากแบบทดสอบเท่านั้น ดังนั้น ผลของแบบสอบวัดจึงเป็นเพียงข้อมูลที่ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาได้ศึกษาอาชีพนั้นอย่างละเอียดมากขึ้น และช่วยเป็นข้อมูลในการให้คำปรึกษาเพื่อการตัดสินใจเลือกอาชีพต่อไป Reference Walsh, W. Bruce & Betz, Nancy E., E., Test & Assessment. New Jersy: Prentice Hall, 1985. |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |