All Blog
คนต่างรุ่น generation
เรื่อง ฉันมันคนรุ่นเบบี้บูม
การวิพากษ์วิจารณ์จะหยิบยกปัญหาที่สำคัญเพื่อทำให้เกิดมุมมองอย่างมีวิจารณญาณ
ในครอบครัวไทยหลายครอบครัวยังอยู่อาศัยแบบรวมกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา รุ่นลูกหลานและเหลน ความแตกต่างที่เรียกว่าช่องว่างระหว่างวัยจึงมักเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันบ้างระหว่างเครือญาติที่มีความคิดเห็นต่างกัน
ทั้งนี้ถ้าเข้าใจคำว่า ช่องว่างระหว่างวัย อาจทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ระหองระแหงกันมากจนเกินไป พ่อแม่ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างปู่ย่าตายายกับลูกและหลาน อาจต้องรับภาระหนักสุดเหมือนไส้แซนวิชที่มีขนมปังขนาบล่างและบน พอจะเอาใจปู่ย่าตายายต้องคอยพูดอธิบายให้ลูกและหลานฟัง พอจะตามใจลูกและหลานต้องทนฟังเสียงบ่นจากปู่ย่าตายายบ้าง แม้บางทีสิ่งที่พ่อแม่ทำยังขัดหูขัดตาปู่ย่าตายายเลย
มีคำตอบเรื่องลักษณะของคนแต่ละวัยมาอธิบายว่า แต่ละบริบทของสังคมทำให้คนที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน นี่เป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจคนแต่ละรุ่นวัยได้ดีขึ้น
ทำไมเราต้องยอมตามใจหลาน ๆ ให้ซื้อมือถือราคาแพงลิบลิ่วในสายตาของปู่ย่าตายาย ทำไมพ่อแม่จึงซื้อรถหรูราคาหลักล้านมาขับเพื่อประดับบารมีนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ทำไมปู่ย่าตายายจึงขี้เหนียวขี้งกนักในสายตาของลูกและหลาน ทำไมปู่ย่าตายายทนทำงานในที่เดิมตลอดชีวิตการทำงาน และพ่อแม่เปลี่ยนงานบ่อยเป็นว่าเล่น ส่วนลูกและหลานต้องวิ่งเต้นเสียเงินเข้าโรงเรียนอินเตอร์ หรือไม่ต้องส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาจะได้มีงานมีการดี ๆ ทำ
 
Generation หรือที่เรียกสั้นๆว่า Gen คือ การแบ่งกลุ่มประชากรตามหลักประชากรศาสตร์ (Demography) โดยมีการแบ่ง Gen ตามช่วงปีเกิด โดยจะแบ่งเป็น 5 Gen คือ Gen B, Gen X, Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha ซึ่งแต่ละรุ่นมีข้อดีและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ฉะนั่นเรามาดูข้อมูลของคนแต่ละ Gen กันค่ะ ว่ามีข้อเด่น อย่างไรบ้าง แต่ละ Gen อยู่ในกลุ่มอายุเท่าไร แล้วคุณละเป็น Gen อะไร
การแบ่งกลุ่มคนตาม generation นั้น มักใช้เพื่ออธิบายลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่ม Baby Boomer มักถูกมองว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ให้ความสำคัญกับครอบครัว กลุ่ม Generation X มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ดี ให้ความสำคัญกับอิสระเสรี กลุ่ม Generation Y มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความเป็นปัจเจกนิยมสูง ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ กลุ่ม Generation Z มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความคล่องแคล่วด้านเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการมีส่วนร่วม
 
การจัดแบ่งคนในแต่ละยุค เริ่มตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งบัดนี้คงไม่มีใครหลงเหลือชีวิตในยุคนี้อีกแล้ว เรียกคนในยุคนี้ว่า
Lost generation พ.ศ. 2426-2443 บ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัติจากสงคราม มีแต่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก การต่อสู้เต็มไปหมดเกือบทั่วทุกมุมโลก เต็มไปด้วยภยันตราย การออกรบและต่อสู้ การมีชีวิตที่รอคอยสามีกลับมา หญิงหม้ายและเด็กเล็กอยู่อย่างยากลำบาก
 
ยุคที่ 2 เป็นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2444-2467 เป็นยุคของการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากประเทศย่อยยับจากภัยสงคราม ทุกคนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม การแต่งกายจะมีความเป็นทางการสูง ทำทุกอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนชัดเจน ซึ่งคงไม่เหลือมากน้อยสักเท่าไรแล้ว เรียกยุคนี้ว่า Greatest generation
 
ยุคที่ 3 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2468-2488 เรียกยุคนี้ว่า Silent generation ผู้คนถูกอบรมมาให้จงรักและภักดีต่อนายจ้างและประเทศชาติสูง ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครยอมออกรบเพื่อผู้นำ สงครามโลกครั้งที่สองนี้นับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ล้านคน ชาวบ้านคงได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสงครามเสียที ยุคนี้เป็นรุ่นทวด ปู่ย่าตายาย ที่ยังพอจดจำความทรงจำที่ทุกข์ทรมานจากภัยสงครามได้บ้างและบอกเล่าให้ลูกหลานได้ฟัง แต่คงไม่มีใครอยากฟังหรือฟังแต่ไม่ซาบซึ้ง ความจงรักและภักดีของคนรุ่นนี้จะเข้มข้นมากถึงขั้นตำหนิคนรุ่นลูกหลานที่เปลี่ยนงานบ่อยหรือแสดงสิ่งที่ไม่จงรักภักดีต่อหน่วยงานที่ตนทำ
 
ยุคที่ 4 เรียก Baby boomer generation ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2489 -2507 สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก หลายประเทศมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมมีสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลสนับสนุนการมีลูกหลายคน จึงเป็นยุคที่มีจำนวนคนสูงสุดของโลก มีชีวิตเพื่อการทำงาน ประหยัดอดทน รอบคอบ ปัจจุบันคนรุ่นนี้เข้าสู่วัยปลดเกษียณพลอยทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเพราะรายได้ที่ลดลง รัฐต้องจ่ายสวัสดิการมากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่จะทำงานแทนมีจำนวนไม่เพียงพอ หรือขาดประสบการณ์
บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด
 
คนเจนบี เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน
 
ข้อดี Gen B เป็นยุคสิ้นสุดสงคราม คนเจนนี้จะมีชีวิตเพื่อการทำงาน สุขุม รอบคอบ ประหยัดอดออม สู้งาน เคารพกฎเกณฑ์ อดทนสูง มีประสบการณ์สูง มีความสามารถทางด้านการเข้าสังคม จงรักภักดีต่อนายจ้าง ให้ความสำคัญกับผลงาน ยินดีทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เคร่งครัดในจารีตประเพณี
 
 
ยุคที่ 5 เรียกยุค generation X โลกมั่งคั่งจากยุคก่อน วีดิโอเกมพัฒนาขึ้น เด็ก ๆ จะสนุกกับการเล่นเกม เมื่อโตขึ้นจะชอบความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์
ขณะที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โลกประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานทดแทน หนุ่มสาวรุ่นใหม่ต้องการความเป็นอิสระจึงเลือกครองตัวเป็นโสดหรือแต่งงานช้าลง และจะมีลูกน้อยลง
Gen X คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 (ค.ศ.1965-1981) คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม)
 
บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)
 
ข้อดี Gen X เป็นรุ่นที่มีความเข้มแข็งและปรับตัวได้ง่าย พวกเขามีความคิดเป็นระบบ และมีความรับผิดชอบสูงในการทำงาน พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ในองค์กรมากกว่ารุ่นอื่น จึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำและสามารถให้คำปรึกษาแก่รุ่นอื่นได้
 
 
ยุคที่ 6 เรียกยุคนี้ว่า generation Y เป็นยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เจริญรุดหน้ามาก คนยุคนี้จึงชอบงานไอที มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ มองโลกในแง่ดี แต่ไม่มีความอดทนทำงานในหน่วยงานที่คิดว่าไม่ก้าวหน้า
Gen Y หรือ Millennials คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2540 (ค.ศ.1982 - 2000) เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร
 
เจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน
 
ข้อดี Gen Y เป็นรุ่นที่เก่งในเทคโนโลยีและการใช้สื่อสังคมออนไลน์ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นทีมงานที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เขามักมีความสามารถในการทำงานแบบแฟล็กซิเบิ้ลและต้องการการตอบรับและการพัฒนาอยู่เสมอ
 
ยุคที่ 7 เรียกยุคนี้ว่า generation Z คนรุ่นนี้โตมาในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแล้วจึงเรียนรู้เร็วตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ
Gen Z คือ คนที่เกิด พ.ศ. 2541 - 2555 (ค.ศ. 2001 - 2014) กลุ่ม Gen Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน
 
สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง
 
ข้อดี Gen Z เป็นรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและมีความคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พวกเขามีมุมมองที่หลากหลายและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
 
Gen A หรือ Gen Alpha คือ กลุ่มคนนี้จะเกิดในช่วงปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป หรือง่ายๆ คือคน เจนอัลฟ่านั้นจะเกิดในช่วง ศตวรรษที่ 21 นั่นเอง จึ่งเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่
เด็กกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีโดยสมบูรณ์แบบ คือ มีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและมองเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนกับเจนก่อน ๆ ที่อยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยี จึงต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงพอสมควร แต่เด็กเจนนี้สามารถค้นหาหรือเข้าถึงข้อมูลใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่
เจนอัลฟ่าเรียกว่าเกิดในสภาพแวดล้อมใหม่ การติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
 
คนอีกกลุ่มหนึ่งเรียก generation C จะมีนิสัยได้ตามคนในยุคต่าง ๆ โดยไม่ได้กำหนดว่าเขาเหล่านั้นจะอายุเท่าใดแน่
 
การให้เหตุผลว่า ช่องว่างระหว่างวัยทำให้ความคิดอ่านของคนในครอบครัวหรือสังคมเดียวกันแตกแยกเป็นเพราะเขาเหล่านั้นเติบโตมาในบริบททางสังคมที่ต่างกัน
แม้แต่ในบ้านหนึ่งที่มีลูก 2 คน เกิดคนละรุ่น คนโต generation X พ.ศ. 2520 อีกคน generation Y พ.ศ. 2525 ลูก 2 คนคิดแตกต่างกันทั้งที่เกิดและเติบโตในบ้านเดียวกัน
คนโตเกิดมาตอนที่พ่อแม่เริ่มตั้งตัวเพิ่งจะมีงานทำ คนที่ 2 พ่อแม่ทำงานที่มั่นคง คนโตต้องการความเป็นอิสระ จึงแต่งงานช้าเพื่อความมั่นคงในครอบครัว เลือกทำงานที่คิดว่ามั่นคงและจะทำตลอดไป คนที่ 2 จะเลือกและเปลี่ยนงานบ่อยตามที่ต้องการ
ความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งช่องว่างระหว่างวัยทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความพยายามที่จะเข้าใจกันย่อมเป็นเหตุให้เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น ซึ่งคนแก่มักจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านของตน คนแก่คือคนรุ่นเบบี้บูมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในขณะนี้ ทำให้คนรุ่นหลังต้องยอมคล้อยตามเสียหลายเรื่องทั้งที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
 
 
ความต่างอาจทำให้เกิดความแตกแยก
แต่ความต่างทำให้สมานฉันท์ได้
ถ้าเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 14:46:23 น.
Counter : 119 Pageviews.

0 comment
การประยุกต์ด้วยวิธีการคิดของ Edward De Bono ใช้หลัก To Lo Po So Go 

Y         การประยุกต์ด้วยวิธีการคิดของ Edward De Bono ใช้หลัก To Lo Po So Go 
•            To (Where am I going to) กำหนดจุดมุ่งหมายของการคิด ว่ากำลังคิดอะไร เป้าหมายของการคิดอยู่ที่ใด ต้องให้คำจำกัดความของจุดมุ่งหมายใหญ่และจุดมุ่งหมายย่อยที่สามารถหาแนวคิดใหม่หรือคำตอบให้ชัดเจน
•            Lo (What should I look for) ค้นหาข้อมูลในสิ่งที่คิด ใช้คำถามกว้าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบ แล้วจึงเจาะจงคำตอบลงไปในส่วนที่ต้องการรายละเอียด
•            Po (What are possibilities) ขั้นตอนของการสร้างสรรค์ การผลิต   การทำให้เกิดการคิดเชื่อมโยงกับคำตอบที่ต้องการ ใช้วิธีคิดต่อไปนี้
i.            วิธีการดั้งเดิม ระบุสถานการณ์ที่คุ้นเคย กำหนดวิธีการแก้ปัญหาธรรมดาที่คุ้นเคย
ii.           วิธีการแนวความคิดทั่วไป ให้เชื่อมโยงจุดเริ่มต้นกับผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยความคิดกว้าง ๆ แล้วจึงเจาะจงความคิดลงไปในส่วนที่ต้องการรายละเอียด
iii.          วิธีการที่สร้างสรรค์ ความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นต้องขยายขอบเขตของความคิดเดิมในรูปแบบใหม่
iv.          การออกแบบและการรวบรวม วางเค้าโครงความต้องการและองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วออกแบบวิธีการให้สนองตอบต่อเค้าโครง
•            So (So What is the outcome) นำความคิดที่ได้มาคิดพิจารณาว่าสิ่งใดสามารถทำได้จริง 
i.            ขั้นพัฒนาความคิด นำความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาขจัดจุดบกพร่อง
ii.           ขั้นประเมินค่า สำรวจผลที่จะเกิดจากแต่ละความคิดในส่วนที่เป็นประโยชน์และคุณค่า ปัญหาและอุปสรรค
iii.          ขั้นเลือกความคิด ใช้วิธีการเปรียบเทียบเลือกสิ่งที่ดีสุด
iv.          ขั้นตัดสินใจ ให้พิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
•            Go (Go to it) เป็นขั้นของการปฏิบัติ นำความคิดที่ผ่านการตัดสินใจแล้วนี้ไปปฏิบัติจริง เป็นการประยุกต์ใช้โดยผ่านกระบวนการคิดหลายขั้นตอน
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 12:33:47 น.
Counter : 97 Pageviews.

0 comment
สูตรนำสลัดข้น น้ำใส

สูตรสลัดน้ำข้น
1.ไข่ไก่ (เอาเฉพาะไข่แดงนะ) 2 ฟอง

2.เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
3.น้ำมันพืช 1 1/2 ถ้วยตวง
4.นมข้น 5 ช้อนกินข้าว
5.น้ำส้มสายชูผสมน้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
6.น้ำตาลทราย 5 ช้อนกินข้าว
สลัดน้ำใส โดยมีส่วนผสมที่ไม่มีไข่แดง
1.ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนกินข้าว
2.น้ำมะนาว 1 ช้อนกินข้าว
3.น้ำตาลทราย 6 ช้อนกินข้าว
4.มัสตาร์ดผง 1/2 ช้อนชา
5.กระเทียมสับละเอียด 1/2 หัว
6.น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวง
7.น้ำมันพืช 1/2 ถ้วยตวง
8.เกลือป่น 3 ช้อนชา
9.พริกไทย 1 ช้อนชา



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 9:23:36 น.
Counter : 101 Pageviews.

0 comment
วิธีการฝึกทักษะการสังเคราะห์
วิธีการฝึกทักษะการสังเคราะห์
]         การสังเคราะห์จากการจัดระเบียบความคิดใหม่
การสังเคราะห์จะเกี่ยวข้องกับการนำเอาความรู้ต่าง ๆ มาผสมผสานจัดระเบียบใหม่  เกิดเป็นโครงสร้างใหม่ที่แปลกจากเดิม  แต่ชัดเจนขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
การอ่านหนังสือจำนวนมากหลายเล่มในเรื่องเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันแล้วสามารถคิดใหม่ทำใหม่หรือเขียนใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ซ้ำเดิมแต่มีความคิดรวบยอดหรือหลักการที่เกิดจากการผสมผสานสิ่งที่ได้รับรู้มาทั้งหมดหรือบางส่วน

]         การสังเคราะห์จากมุมมองที่หลากหลาย
การสังเคราะห์จะเกี่ยวข้องกับการมองเรื่องราวต่าง ๆ อย่างถูกต้อง กว้างขวาง หลายแง่หลายมุม และพลิกแพลงปรับปรุงกระบวนการเดิมให้แปลกไปจากเดิม  สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้น 
บางคนชอบอ่านชอบการท่องเที่ยวและรับสื่อมากมายหลากหลายประเภท เมื่อข้อมูลเต็มแน่นในสมองไปหมด จะมีสักวันที่อยากผสมผสานรวมสิ่งที่ได้รู้มาทั้งหมดสังเคราะห์เป็นหนึ่งในรูปแบบเฉพาะของเราเองกลายเป็นงานเขียนงานประพันธ์ภาพวาดหรือวรรณกรรมของตนเอง
 
]         การสังเคราะห์ทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่คล้ายเดิม
การสังเคราะห์เป็นกระบวนการที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ หลายกระแสมาผสมผสานเป็นเรื่องเดียวกัน 
การอ่านเรื่องเดียว มีหัวข้อหรือประเด็นที่สนใจเพียงหนึ่งเดียว เมื่อได้อ่านหนังสือหลายเล่มแล้วนำความคิดของบุคคลต่าง ๆ มาเรียงร้อยถ้อยคำเกิดเป็นผลงานใหม่ของตัวเอง
การทำรายงานของนักเรียน นิสิตนักศึกษาเป็นตัวอย่างหนึ่งของการสังเคราะห์ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเอามาปะติดปะต่อ แปะเข้าไป โดยไม่ได้เรียงร้อยถ้อยคำเป็นสำนวนภาษาเฉพาะของตนเอง แต่มีการอ้างอิงความรู้จากบุคคลแทรกเข้าไปด้วยเท่านั้น
 
]         การสังเคราะห์จากผลการวิเคราะห์
การสังเคราะห์จะเกี่ยวข้องกับการนำความรู้ที่ผ่านการวิเคราะห์มาผสมผสานสร้างสิ่งใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างจากเดิม
เมื่อรับความรู้ใหม่ ๆ เข้ามา อาจจะมาจากแหล่งเดียวหรือหลายแหล่ง และใช้หลักการวิเคราะห์จำแนกแยกแยะประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ แล้ว อาจรวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาเรียบเรียงเขียนใหม่ในความคิดของตนเอง
 
]         การสังเคราะห์เพื่อสร้างสิ่งใหม่
การสังเคราะห์ผลงานชิ้นใหม่จะเริ่มต้นด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์ของสิ่งใหม่ที่จะสร้าง คัดเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะมาผสมผสานกันเป็นสิ่งใหม่ ตั้งชื่อสิ่งของที่สังเคราะห์ใหม่ รวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแล้วสร้างผลงานใหม่ที่ได้จากความรู้เดิมของตนเองหรือผู้อื่น
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 9:16:27 น.
Counter : 51 Pageviews.

0 comment
เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์
เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ เช่น
•            การใช้ผังก้างปลา หาสิ่งที่เป็นเหตุและผล ให้หัวปลาเป็นชื่อของปัญหา ก้างใหญ่เป็นสาเหตุใหญ่ ก้างเล็กที่แยกจากก้างใหญ่เป็นสาเหตุย่อยของสาเหตุใหญ่แต่ละด้าน การคิดหาสาเหตุให้ฝึกคิดว่า ทำไม ๆ แตกแยกออกไปเหมือนก้างปลา ปลายสุดคือต้นตอของสาเหตุของปัญหา
ขั้นตอนการทำผังก้างปลา
1)          กำหนดปัญหา
2)          วาดหัวปลาหัวโต ๆ หันไปทางซ้าย
3)          เขียนปัญหาที่จะแก้ ลงในช่องของหัวปลา
4)          ลากเส้นขนานกับพื้น ก้างใหญ่ที่สุด
5)          เขียนก้างซี่โครงปลา 4 ก้าง และเขียนสาเหตุใหญ่ของปัญหา
6)          เขียนก้างเล็กที่แยกออกไป เป็นสาเหตุย่อยของปัญหา
 
•            การใช้ผังรากไม้ หรือผังต้นไม้  หาสาเหตุที่เกิดจากแต่ละด้าน เช่น กิ่งไม้ 4 กิ่ง  สาเหตุที่เกิดปัญหา เช่น ปัญหามาจากคน  เงิน วิธีการ  อุปกรณ์  ผังนี้จะคิดวิเคราะห์หาความผิดพลาดของปัญหา คิดหาความน่าจะเป็นของแต่ละต้นตอสาเหตุ  ทำให้ทราบลำดับ ความสำคัญของปัญหาได้ด้วย  เช่น  ปัญหา ทำไมหาเหตุผลไม่ได้ เป็นโคนต้นไม้  รากต้นไม้รากแก้วแตกแขนงไป เช่น  ไม่เคยคิดมาก่อน ไม่เข้าใจในปัญหา  ส่วนรากฝอยแตกแขนงจากรากแก้ว หาสาเหตุของปัญหา เช่น ไม่เคยคิดมาก่อนเพราะไม่เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่เคยค้นคว้าเพิ่มเติมในห้องสมุด ไม่เคยค้นในอินเทอร์เนต
•            การใช้แผนภูมิ ทำไมและอย่างไร  เอาปัญหาเป็นตัวตั้ง  แล้วใช้ลูกศรโยงไปยังสาเหตุ  เช่น ฝนตก แตกลูกศรไปยังสาเหตุว่าทำไมฝนตก ปลายหัวลูกศรเป็นสาเหตุและฝนตกอย่างไร หัวลูกศรคือลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร หรืออาจโยงไปยังผลที่เกิดตามมาตามลำดับ จะมองเห็นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
•            การใช้ผังความคิด (Mind Mapping) 
การใช้ลูกศรทางเดียว               แสดงถึงส่งผลต่อ ถ้าลูกศร 2 ทาง              แสดงถึงต้นตอสาเหตุที่โยงใยกลับไปกลับมา จากเหตุเป็นผลแล้วย้อนกลับมาเป็นเหตุได้อีกครั้ง เป็นการ ย้อนกลับไปกลับมา ตรงกับคำว่า ก็ต่อเมื่อ ลูกศรที่เขียนจึงมีความหมาย ผังความคิดจะแสดงภาพรวมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากที่สุดและมองเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและสิ่งที่อาจย้อนกลับมาได้
•            การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ความล้มเหลวและผลกระทบที่ตามมาเพราะความล้มเหลวนั้น (FMEA Failure Mode and Effects Analysis)
•            การวิเคราะห์อดีต   ใช้ความคิดขั้นพื้นฐาน 2 อย่าง คือคิดเชื่อมโยงและคิดเปรียบเทียบ เพื่อนำมาสร้างทางเลือก สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ขั้นตอนการฝึก
•            เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ให้สมาชิกในกลุ่มฟัง ไม่ให้แสดงความคิดเห็นประกอบ
•            วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาจากประวัติศาสตร์ที่เล่า อาจใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น การใช้ผังก้างปลา การใช้ผังรากไม้ การใช้ผังความคิด
•            นำประวัติศาสตร์ตอนนี้เปรียบเทียบกับปัญหาในปัจจุบันที่กำลังจะแก้ไข หาความเหมือน ความแตกต่าง
•            การใช้เครื่องมือทางสถิติ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมีหลายระดับ เช่น ในระดับพื้นฐาน ใช้ค่าเฉลี่ยวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ค่า mean mode median แล้วแสดงด้วยกราฟวงกลม กราฟแท่ง การใช้สถิติกับตัวแปรตามตัวเดียวหาค่าการทำนายจากตัวแปรต้นหลายตัว เช่น multiple regression การดูแนวโน้มหรือการทำนายใช้ Trend Analysis ถ้าตัวแปรต้นหลายตัวตัวแปรตามหลายตัวใช้ multivariate analysis อาจเป็น  canonical เป็นต้น
สถิติมักใช้เพื่อหาค่าความแตกต่างหรือหาค่าความสัมพันธ์ของข้อมูล ให้เลือกใช้ให้เหมาะกับจุดประสงค์

การวิเคราะห์แบ่งได้ 3 ประเภท
2.           การวิเคราะห์ความสำคัญ ค้นหาเนื้อหา มูลเหตุ ต้นกำเนิด สาเหตุ ผลลัพธ์ และความสำคัญของเรื่องราวต่าง ๆ ว่ามีอะไรสำคัญที่สุด ส่วนใดเกิดจากการอนุมาน หรือส่วนใดเป็นสมมติฐาน ส่วนใดเป็นการสรุปผลหรืออ้างอิง ส่วนใดเป็นการสนับสนุน แต่ละส่วนมีวัตถุประสงค์สำคัญอย่างไร
3.           การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ให้ค้นหาความสำคัญย่อย ๆ ของแต่ละส่วน แต่ละส่วนนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในรูปแบบใด    ใช้สมมติฐานใด แต่ละตอนสอดคล้องหรือขัดแย้งกัน ใช้เหตุผลอะไรในการวิเคราะห์ เหตุและผลที่กล่าวอ้างนั้นสัมพันธ์กันหรือไม่
4.           การวิเคราะห์หาหลักการ เกิดจากการจับเค้าเงื่อนหรือหลักการได้ ว่าใช้เทคนิค หลักวิชาใดในการเรียบเรียง มีโครงสร้างอย่างไร การวิเคราะห์หาหลักการได้ต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ความสำคัญ และการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์มาก่อน จะทำให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมด   
 

 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2566 8:53:03 น.
Counter : 89 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments