Group Blog All Blog
|
สรุปบทความใน กลุ่ม ขีด ๆ เขียน ๆ
สรุปบทความใน กลุ่ม ขีด ๆ เขียน ๆ
เฮราคลีตุส (Heraclitus: 551 491 B.C.)
นักคิดจะค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิต ว่าไม่มีสิ่งใดอยู่คงที่ได้ตลอดเวลา เฮราคลีตุส (Heraclitus: 551 – 491 B.C.) การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นแน่นอน ไม่มีใครหลีกหนีความจริงนี้ไปได้ เฮราคลีตุสถือกำเนิดในนครรัฐเอเฟซุส ซึ่งเป็นหนึ่งใน 12 รัฐที่สังกัดกลุ่มไอโอเนีย เฮราคลีตุสเกิดในตระกูลผู้ดีชั้นสูงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีสิทธิ์ในการเป็นราชาแห่งนครรัฐบาซิเลอุส แต่ได้สละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ให้แก่พระอนุชาแล้วปลีกตัวไปวิเวกเพื่อแสวงหาสัจธรรม ภายหลังได้ประกาศสัจธรรมที่ค้นพบ และกล่าวว่าปรัชญานี้แปลกใหม่และดีเด่นเหนือกว่าของผู้ใด ถึงขั้นที่ตำหนินักปราชญ์อื่น ๆ คำกล่าวที่ว่า การเรียนมากไม่ทำให้ใจพัฒนา มิเช่นนั้นมันคงจะขัดเกลาเฮเลียด ปิทากอรัส เซโนฟาเนสและเฮคาเตอุสไปแล้ว คำพูดเช่นนี้ก่อให้เกิดศัตรูและทำให้หลายคนเกลียดชัง การเป็นคนเก่งแต่ขาดเสน่ห์ หรือเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปจนถึงขั้นดูถูกผู้อื่นว่าด้อยกว่าตนอย่างเปิดเผย อาจสร้างความเกลียดชังจากผู้ที่โดนลบหลู่ได้ การอยู่อย่างพอดีจะทำให้เป็นที่รักของทุกผู้คนได้ เฮราคลีตุสเขียนตำราปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติ เช่น อุปนิสัยของคนคือชะตาชีวิตของคนนั้น แพทย์ผ่าตัดคนไข้ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแต่คนไข้ยังต้องยอมจ่ายเงินให้ การค้นพบความจริงต้องคิดสิ่งที่แตกต่างจากคนทั่วไป การเขียนหนังสือมักใช้คำคมและไม่อธิบายเพิ่มเติม ทำให้บางคนกล่าวว่า มันยากแก่การแปลความ การเขียนเช่นนี้เหมาะสำหรับชนชั้นปัญญาชนเท่านั้น ความเชื่อของเขาเน้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงหรืออนิจจัง การเปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการค้นหาปฐมธาตุของโลกเป็นความเปลี่ยนแปลงมีจริงหรือไม่ เฮราคลีตุสเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะแปรสภาพไปสู่อีกสภาพหนึ่งได้ เช่น จากเด็กเป็นผู้ใหญ่และกลายเป็นคนแก่ในที่สุด มนุษย์ไม่สามารถดำรงตนให้หนุ่มสาวได้ตลอดกาล ทุกสิ่งจึงต้องไหลเรื่อยไปตามกระแส ดุจสายน้ำที่ไหลไปแล้วไม่ไหลกลับ เช่นเดียวกับน้ำในแม่น้ำที่เรายืนอยู่ ย่อมไม่ใช่น้ำเดิมเพราะน้ำใหม่จะไหลมาแทนที่อยู่เสมอ โลกนี้จึงไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอนนอกจากการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตจะมีสิ่งที่เกิดและอยู่กันเป็นคู่สลับกันไปมา ดั่งเช่น ร้อนคู่กับเย็น ตื่นคู่กับหลับ ในแต่ละคู่จะเปลี่ยนแปลงสลับกันไปสลับกันมา ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไป ไม่อาจอยู่ดังเดิมได้ตลอดกาล ผู้ฉลาดย่อมมองเห็นสัจธรรมของการเปลี่ยนแปลงนี้ การตอบคำถามเรื่องปฐมธาตุของโลกซึ่งเป็นปัญหาที่นักปราชญ์ทุกคนต้องค้นหาคำตอบ เฮราคลีตุสตอบว่าไฟคือปฐมธาตุ ไฟมีวิญญาณ ไฟเป็นพระเจ้าและสถิตอยู่ในทุกหนแห่ง พระเจ้าในนัยยะนี้เป็นกฎธรรมชาติตามสากล ซึ่งต่างจากเทพเจ้ากรีกที่มีตัวตน การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกเพราะไฟเป็นต้นเหตุทำให้เกิดทั้งสิ้น เฮราคลีตุส มีความเชื่อเรื่องอนิจจัง การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสัจธรรมชีวิต ไม่มีอะไรที่คงที่ ดังนั้นการยึดมั่นถือมั่นว่าทุกสิ่งย่อมอยู่คงที่ สิ่งใดที่เป็นของเราย่อมเป็นของเราตลอดกาล จึงเป็นความเชื่อที่ผิดและจะนำความทุกข์มาสู่ผู้ที่เป็นเจ้าของความคิด นอกจากการเปลี่ยนแปลงที่ได้รู้ ยังค้นพบว่าสรรพสิ่งในโลกทุกอย่างย่อมอยู่เป็นคู่เสมอแต่จะสลับไปสลับมาเช่นนี้ตลอดกาล เมื่อธาเลสเชื่อว่าน้ำคือปฐมธาตุ เฮราคลีตุสได้คัดค้านว่าแท้จริงแล้วไฟต่างหากคือปฐมธาตุ ซึ่งที่จริงผิดทั้งสองคน ต่อมามีคนคิดว่า ดินกับลมก็เป็นปฐมธาตุ เราจึงมักจะได้ยินคำว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ คือปฐมธาตุ แต่สิ่งที่ทำให้นักคิดยุคต่อมายกย่อง คือ ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะคนในยุคนั้นเชื่อว่าทุกสิ่งจะอยู่คงที่ คำคมของเฮราคลีตุสคือเราไม่อาจเดินลงไปในแม่น้ำสายเดียวกันได้เป็นครั้งที่สอง (You cannot step twice into the same river) เพราะน้ำในแม่น้ำจะไหลลงตลอดเวลา แม่น้ำตำแหน่งเดิมจึงไม่ใช่มวลน้ำเดิมเพราะน้ำได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว หลักการว่าด้วย กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้นำมาอธิบายสรรพสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสสาร วัตถุ โลก จักรวาล และชีวิตมนุษย์ ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่คงที่ถาวร คนเราจะคงอยู่ในรูปแบบหนึ่งในแต่ละช่วงตั้งแต่แรกเกิด เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แก่เฒ่าชราลงเสื่อมสภาพไป แม้แต่จิตวิญญาณของคนเราก็เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันตามกาลเวลา หลักการว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงในตนเอง ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อีกสิ่งหนึ่งได้เมื่อมีตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จักรวาลจะดำรงคงอยู่ถึงแม้จะเปลี่ยนรูปแบบในแต่ละช่วงของกาลเวลาซึ่งจะเป็นกฎธรรมชาติสากล วิธีคิดจะมองเส้นแห่งการเปลี่ยนแปลง จากจุดเริ่มต้นไปหาจุดสุดท้ายแล้วมองสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงกลาง ฐานรากแห่งการคิดของคนที่หนึ่ง ย่อมก่อให้เกิดการคิดแตกยอดของคนต่อ ๆ ไป หนังสือสุดยอดนักคิด ผู้พลิกชะตาโลก
![]() หนังสือสุดยอดนักคิดเล่มนี้ เขียนขึ้นโดยหวังใจว่าผู้อ่านจะได้เรียนรู้วิวัฒนาการของการคิดจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดนักคิดของโลกฝั่งตะวันตก เป็นบทสรุปที่ได้รวบรวมความคิดของนักคิดระดับโลก หลายความคิดจะเป็นคำตอบที่ดี แก่เราที่กำลังงุนงงสงสัยในบางคำถามที่หาคนตอบได้ยาก หลายความคิดเป็นมหัศจรรย์แห่งความรู้ที่ต่อยอดมา จนเป็นศาสตร์สาขาต่าง ๆ ในโลกปัจจุบัน หลายความคิดทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะทำให้เราได้รู้จักคิดมากขึ้น บางครั้ง ความคิดของเขาเหล่านี้ อาจทำให้บางคนเกิดจุดหักเหชีวิต สิ่งที่นักคิดเหล่านี้ได้สร้างเกียรติภูมิ คือ ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ในหลากหลายสาขาเพื่อแก้ไขหรือตอบปัญหาในบริบทของสังคมช่วงขณะนั้น การสะสมต่อยอดจากฐานความรู้ของคนยุคหนึ่งไปสู่คนอีกยุคหนึ่งหรือจากซีกโลกหนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่งจนถึงปัจจุบัน กลายมาเป็นองค์ความรู้ในวิชาสมัยใหม่ซึ่งนับเป็นมรดกอันล้ำค่าที่คนรุ่นหลังควรจะได้เรียนรู้และสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป การเรียงลำดับสุดยอดนักคิดของโลกฝั่งตะวันตก จะเรียงตามลำดับปีที่เกิดของนักคิดจากน้อยไปหามาก ทำให้มองเห็นการต่อยอดของความคิดที่เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาจมีบางคนได้เป็นนักคิดคนต่อไปเพราะได้เรียนรู้สิ่งที่ผู้อื่นคิดมา เป็นฐานความรู้ของตน การนำความคิดของผู้อื่นมาต่อยอดนี้ ไม่น่าจะเป็นการขโมยลิขสิทธิ์ เพราะไม่ใช่การนำความรู้ที่คนนั้นคิดมาโดยตรง แต่ได้คิดจากสิ่งที่คิด วิธีคิดและกระบวนการคิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานของตนต่างหาก คำว่านักคิด (Thinker) จะมีความหมายใกล้เคียงกับคำในภาษาอังกฤษว่า philosopher, sage, intellectual, savant, guru แปลความนักคิดได้ว่า คือคนที่ชอบคิดและวางแผนสิ่งต่าง ๆ เป็นนักคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อันที่จริงโดยธรรมชาติของมนุษย์ ต้องถือว่า เป็นนักคิดด้วยกันทุกคน เพราะเรามีสมองไว้สำหรับคิด บางคนใช้สมองเพียงน้อยนิด คิดแต่เรื่องไร้สาระ หรือคิดแต่เรื่องส่วนตัว ไม่เคยใช้ประโยชน์จากสมองอย่างเต็มที่ที่จะคิดอย่างเป็นระบบ คิดให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เราจึงไม่มีโอกาสได้เป็นนักคิดกับเขาสักที เมื่อเรารู้คุณค่าของสมอง รู้ว่าเคยมีใครคิดเช่นไร เมื่อนั้นเราจะได้มีโอกาสคิดอย่างเป็นระบบ ถึงจะไม่มีโอกาสได้เป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่แต่เราคงได้ทำประโยชน์ให้กับชีวิตของเราและผู้คนรอบข้างบ้าง การเป็นนักคิดมีประโยชน์เช่นไร ผู้ที่เคยคิดจะรู้คุณค่าของมันอย่างมหาศาล เราสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข ใจเป็นสุข และเจริญก้าวหน้าในชีวิตเต็มขีดความสามารถแห่งตน ผู้รู้บอกว่าเมื่อคนเราคิด เซลล์ปลายประสาทสมองจะแผ่ขยายออกไป ถึงร่างกายจะเสื่อมโทรมลง แต่ส่วนของสมองจะฉลาดเฉลียวมากยิ่งขึ้น เราจะไม่เป็นอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม แต่สามารถทำให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าวัยจะล่วงเลยไปมากมายเพียงใดก็ตาม ด้วยการเกริ่นนำเรื่องการคิด ประโยชน์ของการคิดมาพอสมควรแล้วเมื่อได้อ่านสิ่งที่สุดยอดนักคิดได้คิด ได้รู้วิธีคิด กระบวนการคิด แรงจูงใจและความมุมานะที่จะให้คนอื่นได้รู้ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นสามารถเป็นจริงได้แล้วนั้น หวังใจว่าผู้อ่านจะซาบซึ้งกับการอ่านแล้วนำมาคิดให้เกิดประโยชน์ต่อไปแทนการเก็บสิ่งที่รู้ไว้ให้มันนอนสงบในลิ้นชักเฉย ๆ และคงจะเพลิดเพลินกับสิ่งที่จะได้อ่านต่อไปนี้ กาลิเลโอ กาลิเลอี
![]() กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei : A.D. 1564 – 1642) จงเชื่อมั่นและยืนหยัดในความคิดของตน ถ้าคิดว่าถูกต้อง มันก็จะถูกต้อง กาลิเลโอเป็นชาวอิตาลี สืบเชื้อสายจากครอบครัวผู้ดีเก่า แต่ไม่ร่ำรวย บิดาเป็นพ่อค้าขนสัตว์ สมัยเด็กมีความสามารถด้านดนตรี ศิลปะ ภาษา และคณิตศาสตร์ คนสมัยนั้นที่มีโอกาสเล่าเรียนเขียนอ่าน จะรอบรู้ในศาสตร์ทุกสาขาพร้อมกัน ดังนั้นลูกผู้ดีมีสกุลจึงรอบรู้สารพัดเรื่อง เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะใช้ศาสตร์สาขาใดมาประทังชีพเลี้ยงตน ผิดกับสมัยนี้ ยิ่งเรียนสูงมากเท่าใด จะเรียนเจาะลึกในเรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ครอบคลุมไปทุกศาสตร์พร้อมกัน แม้แต่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อเลือกศิลป์ จะไม่เน้นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ทำให้หลายคนพลาดโอกาสในการเลือกเรียนต่อ ในบางสาขาอาชีพ เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปิซา และได้เป็นศาสตราจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยปิซา ลักษณะเด่นของเขา คือ มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง เชื่อมั่นตนเองสูงมาก มีอิสระในการคิด ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะผ่านการพิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตาของตนเองเท่านั้น ความเชื่อมั่นในความคิดของตนเองมีมากอย่างแรงกล้านี้ น่าจะมากเกินคนทั่วไป จนไม่กลัวอิทธิพลทางศาสนจักรที่มีอำนาจล้นฟ้า และสั่งเป็นสั่งตายให้กับคนคิดต่างได้อย่างง่ายดาย ความคิดและความเชื่อนี้มากเพียงพอที่จะขัดขืนต่อความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น กล้าโต้เถียงกับผู้อื่นเพื่อที่จะยืนยันว่าความคิดเห็นของตนนั้นถูกต้อง เป็นไงล่ะ ส่วนใหญ่จะหงอ กลัวโน่นกลัวนี่ ปล่อยไปตามเรื่อง ใครจะคิดเช่นไร ช่างเขา เรื่องอะไรจะไปโต้แย้ง ให้ลำบากและอันตรายต่อชีวิตของตนเองทำไม ความรู้ในสมัยนั้นทางด้านวิทยาศาสตร์มักเป็นสิ่งที่ได้มาจากความรู้ที่อริสโตเติ้ลได้ค้นพบด้วยหลักวิชาตรรกศาสตร์ ไม่ได้ทดลองให้เห็นจริงตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ จึงเกิดการขัดแย้งทางความคิด กับคนในยุคที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟู ต้องทดลองให้เห็นจริงเท่านั้น กาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ที่เชื่อในหลักตรรกศาสตร์เพียงอย่างเดียว เขาต้องทดลองตามหลักที่เรียนรู้มา สิ่งที่กาลิเลโอพยายามบอกใคร ๆ และย้ำว่า ควรจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่เป็นจริงที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้เท่านั้น ทว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้น บังเอิญให้ขัดต่อความเชื่อของคนส่วนใหญ่ และเท่ากับลบล้างคำสอนในพระคัมภีร์ที่ศาสนจักรกำลังเรืองอำนาจสุดขีด การกระทำของเขาเท่ากับการท้าทายผู้มีอำนาจในยุคนั้น การพิสูจน์ให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าวัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกลงมาถึงพื้นในเวลาที่เท่ากัน ที่หอเอนปิซาโด่งดังเป็นอย่างมาก เพราะเท่ากับพลิกวิชาความรู้หรือปฏิรูปวิธีการคิดในยุคนั้นทีเดียว โทษฐานเผยแพร่ความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดต่อคำสอนของอริสโตเติ้ล ผู้มีบทบาทต่อคำสอนทางคริสต์ศาสนา ทำให้เขาต้องโทษโดนจำขัง แม้เมื่อต้องขังในฐานะผู้ที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อในศาสนาและผู้มีอิทธิพลในยุคนั้น กาลิเลโอหาได้เกรงกลัวไม่ ในเมื่อสิ่งที่ผ่านการพิสูจน์เห็นจริงแล้วจะโดนข้อกล่าวหาว่าไม่เป็นจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ความจริงย่อมต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ แต่เขาลืมไปว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงอาจตายได้ เขาพร้อมจะพิสูจน์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง แม้จะโดนสั่งห้ามค้นคว้าต่อ เขาก็หายินยอมไม่ ยังคงศึกษาค้นคว้าต่อไป เพื่อพิสูจน์ความจริงของโลกและจักรวาล ในเมื่อคนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก การขัดขืนต่อคำสั่งของผู้มีอำนาจในสังคม การหักล้างความเชื่อในศาสนา ทำให้เขาไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้มีอำนาจในยุคนั้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการศึกษาค้นคว้าเพื่อพิสูจน์ความคิดนี้ ผลงานที่สำคัญในฐานะนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์ เป็นผู้ค้นพบความจริงว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก และความจริงข้อนี้เองที่เป็นจุดรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้เปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของคน วิชากลศาสตร์ การเคลื่อนที่ของวัตถุ ได้ทดลองเรื่องการตกลงมาของสองสิ่งที่หนักไม่เท่ากันจะตกลงมาพร้อมกัน หักล้างทฤษฎีของอริสโตเติ้ลและสรุปทฤษฎีใหม่ว่า เทหวัตถุทั้งหมดจะตกลงมาในระยะทางเท่ากันในเวลาที่เท่ากัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงน้ำหนัก ระยะทางของเวลาที่ตก วิชาดาราศาสตร์ ได้ผลิตกล้องโทรทรรศน์ส่องดูดาว ค้นพบความจริงตามธรรมชาติของโลกและจักรวาล ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์เป็นบริวาร 4 ดวง ดาวเสาร์มีวงแหวน มีสีต่างกัน 3 แถบ ดาวศุกร์เว้าแหว่งเหมือนดวงจันทร์ และพบจุดดำในดวงอาทิตย์ ผู้ยิ่งใหญ่ คือ ผู้ที่กล้าพิสูจน์ให้เห็นความจริงแท้ ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ รูปแบบการคิด
รูปแบบการคิด
การคิดมี 2 รูปแบบ คิดเท่าเดิม กับคิดสิ่งใหม่ ๆ แบบแรกคิดเฉพาะในสิ่งที่เคยคิดและเคยรับรู้มาเท่านั้น ไม่เปิดใจกว้างยอมรับสิ่งใหม่ ๆ แบบที่สองคิดในสิ่งที่ผ่านเข้ามาใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเคยรู้จักมักคุ้นหรือไม่ก็ตาม ยินดีที่จะรับเข้ามาในสมองแล้วไตร่ตรองว่าจะนำมันมาใช้ได้อย่างไร เรียกว่าเปิดใจกว้างยอมรับสิ่งใหม่ ๆ แล้วเรามีอัตราส่วนแบบใดมากกว่ากัน หรือมีแค่แบบเดียวคือแบบแรกเท่านั้น คิดได้ตามประสบการณ์และความถนัด คนที่คิดได้คิดเป็น ไม่จำเป็นต้องคิดและแสดงออกเหมือนกัน คนที่ถนัดด้านภาษา ผู้ที่คิดได้คิดเป็นบางคน จะแสดงออกด้วยการพูดการเขียน การใช้สัญลักษณ์ ท่าทาง ภาษาพูด เพื่อสื่อสารให้บุคคลอื่นได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตน คนที่พูดออกมาทื่อ ๆ โผงผาง ไม่ขัดเกลาสำนวนให้ผู้ฟังรู้สึกดี แสดงว่า ขาดความสามารถในการคิดด้านการใช้ภาษา ในขณะที่นักคิดนักเขียนนักพูด จะรู้จักเลือกสรรการใช้ภาษาสละสลวยในการแสดงความคิดเห็น คนที่คิดเก่งด้านคำนวณ คนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ได้ดีเป็นเพราะเขามีความสามารถในการคิดด้านสัญลักษณ์ การให้เหตุผล ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนบอกว่าคนเก่งอาจจำแนกได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเก่งด้านใดนับเป็นคนเก่งได้ทั้งสิ้น และคนเก่งเหล่านี้ต่างเป็นคนที่มีความคิดในแต่ละด้านแต่ละแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดที่แต่ละคนมี ในขณะที่คิด จะเกิดภาพพจน์ในการคิด เกิดภาษาและสัญลักษณ์ที่จะใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่กำลังคิดให้ผู้อื่นเข้าใจ ภาพพจน์ในการคิดอาจเป็นรูปภาพในใจที่แสดงถึงวัตถุสิ่งของที่เป็นรูปธรรมและเป็นประสบการณ์ที่เคยรับรู้ในรูปของสิ่งที่เป็นนามธรรม เรื่องของการคิด บางคนชอบคิดแต่ไม่ชอบทำ บางคนชอบคิดและทำในสิ่งที่คิด บางคนคิดแต่ไม่ได้นำสิ่งที่คิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ พอนานวันเข้าลืมในสิ่งคิดไปแล้ว ในขณะที่บางคนพอคิดได้นึกออกจะรีบจดบันทึกทันทีในรูปของภาษา สัญลักษณ์ ภาพวาดเพื่อเตือนความจำ คนที่กำลังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งและต้องการค้นหาคำตอบ อาจไม่ได้คำตอบในทันทีทันใด ต่อเมื่อสมองปลอดโปร่งโล่งอุรา คำตอบจะพรั่งพรูออกมาในทันทีและเขาจะรีบจดบันทึกคำตอบนั้นไว้ในทันใดเช่นกัน ต้องหาว่าพลังชีวิตพีคสูงสุดเวลาใด เช่น บางคนสมองปลอดโปร่งแจ่มใสที่สุดตอนเช้ามืดหลังตื่นนอน สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ คิดเท่าไรไม่ออก พอตื่นนอนเท่านั้น คำตอบพรั่งพรูออกมาทันที บางคนตอนนั่งเพลิน ๆ มองฟ้ามองดิน สิ่งที่คิดค้างไว้ มันโผล่คำตอบให้เห็นได้ บางคนชอบทำโดยไม่คิด และอีกประเภทคือ ไม่คิดและไม่ทำ ประเภทไหนจะแย่ที่สุด ผู้บริหารบางคนแอบบ่นในใจที่มีบางคนชอบทำจังเลยแต่สิ่งที่ทำล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องตามล้างตามเช็ดอยู่ร่ำไป ครั้นจะห้ามปรามจะยิ่งสร้างความร้าวฉานมากขึ้น อีกประเภทเป็นเช้าชามเย็นชาม วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรให้มากความ แค่รับผิดชอบกิจวัตรประจำวันให้เรียบร้อยเป็นอันใช้ได้ ไม่ว่าประเภทไหน ถ้าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ คงไม่เข้าท่าทั้งนั้น คนฉลาดคือคนคิดเป็น คนคิดเป็นคือคนที่รู้วิธีคิด ทำอย่างไรจึงจะรู้วิธีคิด ทำอย่างไรจึงจะคิดเป็น ต้องเรียนรู้วิธีคิด ต้องฝึกทักษะการคิด |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |