กล้วยทอดขนมกินเล่นแบบบ้านๆ ของไทย นำมาเติมจุดเด่นเรื่องสูตรธรรมชาติแท้ๆ 100% แต่ละรสชาติมีเรื่องราวความเป็นมา ภายนอกใส่บรรจุภัณฑ์สวยงามน่าซื้อ ช่วยให้แบรนด์ ‘บานาน่า โจ’ (BANANA JOE) ของเอสเอ็มอีไทยน้องใหม่แจ้งเกิดบนเวทีส่งออก 

วชิรวัชญ์ ศิริโชควณิชย์

วชิรวัชญ์ ศิริโชควณิชย์ เกิดไอเดียจากที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าด้านอาหารแปรรูปในต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2549 เพราะอยากจะนำเข้าขนมต่างประเทศมาขายในเมืองไทย ทว่า สิ่งที่พบขนมต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มสแน็กขาดความหลากหลาย ส่วนใหญ่มีแต่มันฝรั่งทอด ขณะที่ความอร่อย ส่วนตัวคิดว่ากล้วยทอดของไทยยังเหนือกว่าด้วยซ้ำ ทำให้คิดที่จะทำกล้วยทอดเพื่อส่งออกแทนนำเข้า

“ในหลายประเทศ กล้วยยังเป็นผลไม้ที่หากินยาก ส่วนสแน็กเป็นตลาดใหญ่มาก ผมเลยคิดอยากจะพัฒนากล้วยทอดแบบบ้านๆ ของเราให้เป็นสินค้าส่งออก เริ่มจากศึกษาสูตรที่ชาวบ้านทำขายกันอยู่ทั่วไป แล้วนำมาปรับให้เกิดความแตกต่างเพื่อให้เหมาะส่งออก คือ เจาะจงเป็นธรรมชาติ 100% ตามเทรนด์ฮิตของต่างประเทศ โดยวิจัยและพัฒนาร่วมกับบริษัททำผงปรุงรสอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อจะทำผงปรุงรสที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใส่สารเคมีใดๆ เลย ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมาก ที่จะทำสแน็กให้อร่อยโดยไม่ใส่สารเคมีปรุงรส” วชิรวัชญ์กล่าว และเล่าต่อว่า

หัวใจสำคัญแห่งความอร่อยมาจากการคัดสรรกล้วยเกรดดีที่สุด เจาะจงเป็น “กล้วยหอมทอง” จากหลายๆ แหล่งในเมืองไทย โดยเฉพาะทางภาคใต้ มีคุณสมบัติเด่น เมื่อนำไปทอดเนื้อกล้วยจะกรอบและหอมนวล

       อีกทั้งเพิ่มความน่าสนใจโดยพยายามสร้างรสชาติแปลกใหม่ และแต่ละรสชาติมีเรื่องราวความเป็นมา เบื้องต้นมีรส ‘โตเกียว คัสตาร์ด’ คิดค้นขึ้นเอง ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานกว่า 3 ปี จุดเด่นเป็นการผสมผสานระหว่างกล้วยหอมทองกับคัดสตาร์ด ช่วยให้ได้รสหวานที่ลงตัว ต่อมาเป็นรส ‘เกลือทะเล’ ทำมาจาก “ดอกเกลือทะเล” ที่แต่ละปีจะเก็บได้ไม่กี่เดือน และต้องเก็บเฉพาะตอนเช้ามืด มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และรส 'ซอสพริกศรีราชา’ คิดค้นโดยเชฟมืออาชีพ ใช้วัตถุดิบพริกเกรดดีที่สุดจาก อ.ศรีราชา

       ด้วยเจตนาหลักต้องการส่งขายต่างประเทศ ดังนั้นบรรจุภัณฑ์ต้องดูดีที่สุด วชิรวัชญ์ระบุว่า อาศัยมืออาชีพออกแบบ แล้วตัดสินใจเลือกเอง จนได้แบบที่ถูกใจอย่างในปัจจุบัน สไตล์คล้ายบรรจุภัณฑ์ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศสัญลักษณ์แห่งสินค้าคุณภาพและโดดเด่นเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามน่ามองน่าซื้อ

ส่วนการตลาด หนุ่มไฟแรงเล่าว่า ช่วงแรกทำแบบง่ายๆ บรรจุซองพลาสติกใสติดสติกเกอร์นำไปขายตามย่านออฟฟิศต่างๆ เพื่อจะทดสอบพฤติกรรมลูกค้าที่มีต่อสินค้า ปรากฏว่าได้ผลตอบรับด้วยดี ลูกค้าชื่นชอบรสชาติ พร้อมกับมีผู้สั่งออเดอร์ไปขายต่อ ทำให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนทำบรรจุภัณฑ์ และเปิดตัวในงานแสดงสินค้าอาหารเพื่อส่งออก (THAIFEX) เมื่อปีที่แล้ว (2556)

“หลังจากที่เราไปออกงาน THAIFEX ทำให้ได้รับออเดอร์จากประเทศแคนาดา และเดนมาร์ก เบื้องต้นเขาสั่งไปทดสอบตลาด ปรากฏว่าผลตอบรับดี ทำให้เขามาสั่งออเดอร์ประจำต่อเนื่อง ในขณะที่ การผลิต เดิมเราทำในรูปแบบอุตสาหกรรมครัวเรือน ยอดผลิตแค่ 25,000-30,000 ซองต่อเดือนเท่านั้น

แต่หลังจากเรามีออเดอร์ในมือแน่นอน ผมเลยตัดสินใจลงทุนกว่า 25 ล้านบาท ซึ่งมาจากทั้งทุนส่วนตัว เพิ่มหุ้นส่วน และอาศัยเงินกู้ เพื่อสร้างโรงงานและลงเครื่องจักร เพิ่มการผลิตมากกว่า 30 เท่าจากปัจจุบัน หรือประมาณ 1 ล้านซองต่อเดือน โดยไม่ต้องเพิ่มคนงาน ที่ปัจจุบันมีอยู่ 12 คน” นักธุรกิจรุ่นใหม่เผย

       การลงทุนครั้งใหญ่นี้ วชิรวัชญ์ ยอมรับว่าเป็นก้าวที่ท้าทายอย่างยิ่ง ทว่า เมื่อประเมินจากตลาดสแน็คของโลกที่มูลค่ามหาศาลและยังมีโอกาสอีกมาก ประกอบกับออเดอร์ที่ได้รับประจำในปัจจุบัน รวมถึง ยังมีลูกค้าจากสหรัฐฯ และจีน ติดต่อให้ส่งสินค้าด้วย เป็นแรงหนุนให้กล้าตัดสินใจ ซึ่งตามแผนธุรกิจวางไว้จะคืนเงินลงทุนได้ภายใน 3 ปี

“ปัจจุบันตลาดของผมส่งออก 90% ส่วนในประเทศแค่ 10% ผ่านตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ กับออกงานแสดงสินค้า ซึ่งแผนการตลาดในระยะใกล้นี้ผมพยายามจะปิดจุดเสี่ยงทางธุรกิจให้เหลือน้อยที่สุด เช่น ซื้อประกันอัตราแลกเปลี่ยนเงิน และที่สำคัญ พยายามหาลูกค้ารายใหม่ๆ เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น เพราะถึงแม้เราจะมีออเดอร์ประจำจากลูกค้าต่างชาติรายเดิม

แต่ในความเป็นจริงเขาอาจจะหยุดสั่งของเราก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะประสบปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนทันที ซึ่งการขยายหาตลาดใหม่จะช่วยลดเสี่ยงในจุดนี้ ซึ่งผมจะเน้นการออกโรดโชว์ต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เช่น ชีส บาร์บีคิว ซอสญี่ปุ่น เป็นต้น ให้ตอบตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น” วชิรวัชญ์กล่าวในตอนท้าย

โทร. 0-2305-6623 หรือ www.bananasjoe.com