อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. ความดับเย็นของเวทนามีได้ แม้ในทิฏฐธรรมนี้
วัปปะ! เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว "สตตวิหารธรรม" ทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นถึงทับแล้ว :
ภิกษุนั้น .. ..เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสิตสัมปชัญญะ อยู่ ; ..ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ....; ..รู้สึกกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ....; ..ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ....; ..ถูกต้องสัมผัสผิวหนังด้วยผิวกายแล้ว ....; ..รู้สีกธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ภิกษุนั้น .. ..เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีกายเป็นสุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยซึ่งเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่ ; ..เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่;
เธอย่อมรู้ชัดว่า "เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเ ป็นของเย็นในอัตตภาพนี้๑ นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
วัปปะ ! เปรียบเหมือนเงาย่อมปรากฏเพราะอาศัยเสาสดมภ์ (ถูณะ). ลำดับนั้น บุรุษถือเอามาซึ่งจอบและตะกร้า เขาตัดซึ่งเสานั้นที่โคน, ครั้นตัดที่โคนแล้ว พึงขุด, ครั้นขุดแล้ว พึงรื้อซึ่งรากทั้งหลาย ไม่ให้เหลือแม้ที่สุดสักแต่ว่าเท่าต้นแฝก.
บุรุษนั้น พึงตัดซึ่งเสานั้นให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ ่ ;ครั้นตัดซึ่งเสานั้นให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่แล้ว พึงผ่า; ครั้นผ่าแล้ว พึงจักให้เป็นซีกเล็ก ๆ; ครั้นจักให้เป็นซีกเล็ก ๆ แล้ว พึงผึ่งให้แห้งในลมและแดด ;ครั้นผึ่งให้แห้งในลมและแดดแล้ว พึงเผาด้วยไฟ ; ครั้นเผาด้วยไฟแล้ว พึงทำให้เป็นผงเถ้าถ่าน; ครั้นทำ ให้เป็นผงเถ้าถ่านแล้ว พึงโปรยไปในกระแสลมอันพัดจัด หรือว่าพึงให้ลอยไปในกระแสอันเชี่ยวแห่งแม่น้ำ .
วัปปะ! เงาอันใดที่อาศัยเสาสดมภ์, เงาอันนั้นย่อมถึงซึ่งความมีมูลเหตุอันขาดแล้ว ถูกกระทำให้เหมือนตาลมีขั้วยอดอันด้วน กระทำให้ถึงความไม่มีอยู่ มีอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา, นี้ฉันใด ;
วัปปะ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ เมื่อภิกษุจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว สตตวิหารธรรม ท. ๖ ประการ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นถึงทับแล้ว :
ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัปชัญญะอยู่ ; ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว.... ; รู้สึกกลิ่นด้วยฆานะแล้ว.... ; ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว .... ; ถูกต้องสัมผัสผิวหนังด้วยกายะแล้ว .... ; รู้สึกธัมมารมณ์ด้วยมโนแล้ว
ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่. ภิกษุนั้น .. ..เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยซึ่งเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่; ..เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่ ;
เธอย่อมรู้ชัดว่า "เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย" ดังนี้. . . . จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๙/๑๙๕.
๑. สตตวิหารธรรม ในที่นี้ หมายความว่า มีสติสัมปชัญญะติดต่อกันไป ในการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เกิด ยิน ดียิน ร้ายขึ้น ม าได้ อย่างติดต่อกัน ไม่มีเวลาเผลอ . เมื่อมีสติควบ คุม สิ่งทั้งห กนี้ไว้ได้ อย่างติดต่อกัน เช่น นี้ การเป็น อยู่อย่างนี้ ก็เรียกได้ ว่า "สตตวิหาร ธรรม ๖ ประการ".
๑. การดับเย็นแห่งเวทนาในอัตภาพนี้ มีอธิบายอีกในหัวข้อว่า "การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อ เสวย เวทนาสามแล้วดับเย็น" ที่หน้า ๗๘๗ แห่งหนังสือนี้.
Create Date : 27 มีนาคม 2558 |
|
0 comments |
Last Update : 27 มีนาคม 2558 8:05:14 น. |
Counter : 1215 Pageviews. |
|
|
|