Group Blog All Blog
|
หยิบข่าวเล่าธรรม ตอน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์..? ทีแรกผู้เขียนคิดว่าจะมองข้ามข่าวนี้ไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องความ หลงผิด ของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ที่ยังใช้ ศรัทธา มานำหน้า ปัญญา ในการดำเนินชีวิต เหมือนกับคนที่ยังกราบไหว้ต้นกล้วย จอมปลวก จิ้งจกสองหาง หรือ หลักกิโลเมตร ตามที่เคยได้อ่านกันในพื้นที่ข่าวทั่วๆไป แต่คิดไปคิดมา ก็กลับเห็นอะไรบางอย่างที่พอจะหยิบยกเอามาเล่าเป็นประเด็น ธรรมะ ได้บ้าง และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์หากเอามาเล่าสู่กันฟัง ข่าว บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่มีน้ำสีดำ เกิดที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย ไม่ต้องกล่าวชื่อจังหวัดก็คงจะตามหาอ่านเนื้อความกันได้ไม่ยากเย็นนัก หากดูตามภาพข่าวก็จะเห็นว่าบ่อน้ำที่ว่านี้ มีขนาดไม่ใหญ่นัก ที่แปลกไปกว่าบ่อน้ำอื่นๆ ก็คือน้ำในบ่อนี้มีสีดำ นอนนิ่งอยู่ และน้ำในบ่อนี้ไม่เคยเหือดแห้งมาหลายปี ตามข่าวก็กล่าวถึงเสียงล่ำลือถึง สรรพคุณวิเศษของน้ำในบ่อดังกล่าว เช่น น้ำในบ่อมีสีดำสนิทก็จริง แต่เวลาตักตวงไปเก็บไว้ น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำสีใสสะอาดขึ้นมาได้เอง หรือมีสรรพคุณรักษาโรค ทำให้โรคบางชนิดหายไปได้ เมื่อนำไปทาตามผิวหนังหรือเอาไปล้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังล่ำลือกันว่ามีคนตาบอดนำน้ำจากบ่อดังกล่าวไปล้างตาแล้วกลับหายเป็นปรกติ.. บางคนก็นำภาชนะตักตวงน้ำจากบ่อ ไปดื่มกิน เพราะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคได้ ที่สำคัญคือ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสียเงินเสียทองเพื่อได้ครอบครองน้ำวิเศษนั้น ใครอยากตักอยากตวงเท่าไหร่ก็ตามสบาย.. ข่าวนี้มีคนพูดต่อๆกันปากต่อปาก จนดัง ขนาดทางหน่วยงานราชการต้องขอมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง ขอเก็บตัวอย่างเพื่อเอาไปทดสอบคุณสมบัติของน้ำจากบ่อดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร ผลก็คือ อุดมไปด้วยเชื้อโรค ไม่สะอาดจริง และออกโรงเตือนชาวบ้านที่คิดจะนำน้ำดังกล่าวไปบริโภค ว่า อย่าคิดสั้น เพราะอาจจะทำให้เสียสุขภาพ ต้องเข้าโรงมดโรงหมอเสียกระตุ้งกระตังกันวุ่นวาย.. บางทีอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้.. แต่ก็ไม่ทราบว่า ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาหนาแน่นจะเชื่อหรือเปล่า..!! ข่าวดังกล่าวก็มีเนื้อหาประมาณนี้ หากใช้สติปัญญาวิเคราะห์ดูสักหน่อย ข่าวนี้บอกอะไรกับเราได้บ้าง..? ผู้เขียนไม่ได้ตำหนิชาวบ้านในข่าวที่เขาเชื่อว่าน้ำจากแหล่งน้ำดังกล่าวมีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ และก็ไม่ได้บอกว่าน้ำดังกล่าวมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่.. ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่อยู่ที่เราเมื่อรับฟังข่าวสารดังกล่าว เมื่อได่เสพข่าวนี้แล้วเรารู้สึกอย่างไรมากกว่า..? คล้อยตาม ต่อต้าน หัวเราะขบขัน หรือ ปล่อยวางไม่เอามาเป็นสาระกับชีวิต ฯลฯ ลองคิดดูว่าหากเป็นเรา ที่เชื่อหรือศรัทธาอะไรอย่างจริงจังแล้ว หากมีใครมาพูดอะไรเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของสิ่งนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร.. ฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงความคิดความเห็นความเชื่อ ของใครๆด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เพราะต่อให้มีหลักฐานหนักแน่นชัดเจนแค่ไหน ก็ยากที่จะไปหักล้างความเชื่อของใครได้ง่ายๆ และไม่อยากให้เราไปตราหน้าว่าใครๆว่า งมงาย ไร้เหตุผล เพราะความเชื่อความศรัทธาที่กำลังก่อตัวของเขามันอาจจะเป็น สิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย หรือ ที่พึ่งสุดท้าย ที่เขามีอยู่ ก็เป็นได้.. จงปล่อยให้เขาเชื่อและศรัทธาไปจนกว่าเขาจะ พิสูจน์ความจริงแท้ ได้ด้วยตัวเอง หาใช่เกิดจากการบอกเล่าจากปากคนอื่น ให้เขาได้ ประสบการณ์ตรง ด้วยตนเองจะดีที่สุด จะผิดหรือถูก มันต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง.. ส่วนเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในทัศนะของผู้เขียนมีจริงครับ และมันมีอยู่เพียงสองแหล่งเท่านั้นในโลกนี้ นั่นคือ หยาดเหงื่อ และ น้ำตา ของพ่อแม่ ของบุพการีของเรา หยาดเหงื่อของพ่อแม่นั้นศักดิ์สิทธิ์นัก เพราะสามารถทำให้คนๆหนึ่งหรือหลายคนรอดพ้นจากความอดอยากหิวโหยได้ หยาดเหงื่อที่เกิดจากความเสียสละทุ่มเทเพื่อเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบใหญ่ หยาดเหงื่อที่เกิดจากการสั่งสอนอบรมให้เราเป็นคนดี เป็นครูคนแรกที่ไม่เคยเก็บค่าเทอมจากเรา เป็นเหมือน น้ำศักดิ์สิทธฺิ์ที่ชุบชีวิตของเราจนมีวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะสิ่งนี้.. น้ำตาของพ่อแม่ หากใครทำให้ท่านปลื้มปิติจนต้องหลั่งน้ำตาของความปลาบปลื้มยินดีออกมา ก็ถือว่าท่านได้โปรยปรายสายฝนอันชุ่มเย็น ราดรดบนหัวใจพ่อแม่ ได้ตอบแทนคุณท่านตามฐานะอันสมควร ชีวิตของเราก็มีแต่จะพบความเจริญรุ่งเรือง ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่คอยประคองป้องกันเราไว้ แต่ในทางกลับกัน ใครก็ตามที่ทำให้น้ำตาของบุพการีต้องหลั่งไหลเพราะความทุกข์โทมนัส ตรอมใจด้วยความไม่ดำรงตนเป็นดี ฝักใฝ่อบายมุข ทอดทิ้งท่านไม่เหลียวแล อำนาจของ น้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็จะดลบันดาลความล่มจมไม่เจริญงอกงามในชีวิตและหน้าที่การงาน เพราะบกพร่องต่อคุณธรรมความดี บกพร่องต่อพื้นฐานของคนดีที่ควรทำ.. สุดท้าย ทุกสิ่งก็ต้องแปรปรวนไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ สุดท้าย ไม่ว่าความเชื่อที่หนักแน่นปานศิลาภูผาหินก็ย่อมถูกกาลเวลาย่อยสลายไป ไม่นานก็จะมีความเชื่อใหม่ๆเกิดขึ้นมาทดสอบ ศรัทธาและปัญญา ของชาวโลกอยู่เรื่อยๆ โรคภัยไข้เจ็บก็จะพัฒนาความยากในการรักษาอยู่ตลอดเวลา โรคทางกายเป็นแล้วรักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง เต็มที่ก็แค่ตาย.. แต่โรคทางใจหากไม่รู้จักรักษา เราอาจจะตายทั้งที่ยังหายใจอยู่.. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านในข่าวอาจจะไม่ได้มีเอาไว้รักษาโรคทางกายตามความเชื่ออย่างเดียว แต่มันอาจจะมีเอาไว้รักษาโรคทางใจ ที่หมอแผนปัจจุบันรักษาให้พวกเขาไม่ได้ แต่สำหรับคนที่เสพข่าวนี้ด้วย ปัญญา มากกว่า อารมณ์ ย่อมเข้าใจดีว่า อะไรบนโลกใบนี้หากมันไม่หลอกลวงเรา ก็มีอีกแค่อย่างเดียวเท่านั้นก็คือ.. เราหลอกตัวเราเอง.. ขอขอบคุณเจ้าของภาพสวยๆทุกภาพครับ |
นายสมมุติ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?] | ||