คำถามจากผู้ที่เริ่มภาวนา
ดิฉันอ่านข้อเขียนคุณซัำและปฎิบัติตามแต่เผลอบ่อยและก็กลับมาปฏิบัติต่อขณะที่พิมพ์นี้ดิฉันใช้นิ้วเดียวเพราะพิมพ์สัมผัสไม่เป็แต่มืออีกข้างหนื่งดิฉันก็เอานิ้วชี้และนิ้วโป้งแตะปล่อยตลอด
มีปัญหาเรียนถามนะคะ
เวลาเรารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่แต่มือไม้ไม่ว่างที่จะลูบแขนหรืออย่างอื่นได้เช่นล้างจานก็รู้ว่าล้างจานและรู้สึกกับสิ่งรอบๆแบบธรรมชาติ
อันนี้อนุโลมได้ไหมคะประทานโทษนะคะดิฉันเวลามือไม้ไม่ว่างดิฉันใช้วิธีเอานิ้วเท้าสำผัสและปล่อยใช้ได้ไหมคะ
ดิฉันจะพยายามทำตามคำแนะนำของคุณเพราะข้อเขียนคุณให้ความหวังว่ายังมีหวังตอนนี้ดิฉันพยายามไม่อ่านการดูจิตดูใจเพราะทำให้ท้อเพราะจะงงแล้วไม่รู้เรื่อง
จะทวนและปฏิบัตฺตามคุณแนะนำคุณบอกว่าสภาวะธรรมจะเกิดขื้นแล้วเราจะรู้เองหวังว่าดิฉันคงได้มีโอกาศนั้นด้วย
เรียนถามอีกนิดนะคะการลูบหรือสัมผัสร่างกายถ้าทำได้ตลอดคงดีแต่บางทีเผลอยาวเป็นอะไรไหมคะ
****************
จากคำถามข้างต้น ผมจะสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ
1..การที่ผมแนะนำให้ฝีกรู้กายด้วยการลูบแขน หรือ การใช้นิ้วมือแตะปล่อย นั้น ขอให้เข้าใจว่า นั้นเป็นการฝีกฝนในยามที่นักภาวนาไม่ได้ทำอะไร เช่น กำลังพักผ่อนสบาย ๆ อยู่ที่บ้าน กำลังดูทีวีสบาย ๆ อยู่กับบ้าน การฝีกแบบนี้ จะทำให้เกิดสติขึ้นอันเป็นการพัฒนากำลังสัมมาสติให้เติบโตต่อไป
แต่ว่า ในยามที่นักภาวนากำลังทำงานอยู่ เช่น ล้างจาน อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าวหรืออื่น ๆ นักภาวนาไม่ต้องไปทำการลูบแขนหรือใช้นิ้วแตะปล่อยครับ เพราะเราต้องทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แต่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันนี้ ก็สามารถฝีกได้เช่นเดียวกัน ซี่งจะเรียกว่า การฝีกในชีวิตประจำวัน ผมจะตัวอย่าง 2 ตัวอย่างให้ดู
1.1 ขณะกำลังล้างจาน
เมื่อล้างจาน ก็ขอให้ล้างจานไปอย่างสบาย ๆ ตามปรกติตามธรรมชาติ ในขณะล้างจานนั้นขอให้สังเกตดูว่า จะมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากการสัมผัสจาน มือสัมผัสแผ่นล้างจานสก๊อตไบท์ สัมผัสกับน้ำ จมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นอาหารคาว กลิ่นน้ำยาล้างจาน ถ้าล้างนาน ก็รู้สึกได้ถึงความเมื่อยขบที่เกิดขึ้น หรือ รู้สึกร้อนเหงื่อออกเพราะการทำงาน
ขอให้สังเกตข้อเขียนของผม ผมใช้คำว่า **ความรู้สึก** ซึ่งการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะทำงานในกิจวัตรประจำวันนั้น ก็คือ การฝีกฝนสติเช่นเดียวกับการลูบแขน หรือ ใช้นิ้วมือแตะปล่อย
1.2 ขณะอาบน้ำ
เมื่ออาบน้ำ ก็อาบน้ำไปตามธรรมชาติตามปรกติ ขอให้รู้สึกถึงความรู้สึกที่เกิดขี้นในขณะนั้น ๆ เช่น มือที่สัมผัสลำตัว แขนขา กลิ่นสบู่อาบน้ำ รู้สึกถึงน้ำที่สัมผัสร่างกาย รู้สึกถึงความเย็นร้อนที่เกิดจากน้ำเย็นร้อนที่สัมผัสร่างกาย เมืออาบน้ำเสร็จ ใช้ผ้าเช๊ดตัวให้แห้ง ก็รู้สีกถึงผ้าทีสัมผัสตัว ใส่เสื้อผ้า ก็รู้สึกถึงเสื้อผ้าทีสัมผัสกับร่างกาย
การรู้สึกถึงได้ดังกล่าวนี่ก็คือ การฝีกฝนสติครับ
****
2. เรื่องการเผลอ
การเผลอนั้นจะต้องมีเสมอสำหรับการภาวนา ไม่มีใครไม่เผลอสำหรับการเริ่มต้น ถึงแม้ว่า เริ่มไปนาน ๆ ก็ยังมีเผลออยู่เสมอ
การลดความเผลอจะเกิดขึ้นจากที่นักภาวนาเผลอไปแล้วสามารถหลุดจากอาการเผลอได้เองบ่อยๆ แล้วการเผลอจะลดเวลาสั้นลง แต่ยังมีอยู่
ผมจะอธิบายให้ละเอียด สมมุติว่า ตอนแรก ๆ นักภาวนาเผลอนานมากเช่น 2 ชั่วโมงก็จะรู้สึกตัวอีกครั้งหนี่ง พอนักภาวนาฝีกฝนการเจริญสติไป กำลังสติที่เพิ่มมากขึ้นอย่างช้า ๆ จะทำให้นักภาวนาสามารถหลุดการเผลอลงได้สั้นลง เช่นเดิมเคยเผลอ 2 ชั้วโมง ก็ละหดสั่นลงเหลือ 1.30 ชั่วโมง ฝีกไปอีก ก็ลดลงอีก เหลือ 1 ชั้วโมง ... 30 นาที ...20 นาที่ 10 นาที 5 นาที 3 นาที 1 นาที 30 วินาที 20 วินาที 5 วินาที 1 วินาที สั้นกว่า 1 วินาที
การลดลงแห่งการเผลอจะออกมาแบบนี้คือ ยังมีเผลอ แต่จะกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งได้เร็วขึ้น
ซึ่งผลนี้จะมาจากการหมั่นฝีกฝนการเจริญสติที่กระทำอยู่เสมอ
*****
สรุป ถ้าไม่ได้ทำงานอะไร เช่นพักผ่อนสบาย ๆ ก็ให้ฝีกในรูปแบบไป เช่นลูบแขน แตะนิ้วมือสบาย ๆ ไป ถ้าทำงานกิจกรรมในบ้าน ก็ให้รู้สึกถึงความรู้สึกที่เกิดจากกิจกรรมดังที่ได้อธิบายไว้ข้างบน การหมั่นฝีกฝนเท่านั้น ที่จะทำให้การภาวนาก้าวหน้าขึ้นมาได้ครับ