ตัณหา ทิฐิ เมื่อไม่รู้จัก ก็จักนำความทุกข์มาให้
ในการภาวนานั้น จุดประสงค์ก็เพื่อให้รู้จักกับ ตัณหาและทิฐิ เพราะถ้าไม่รู้จักสภาวะของทั้งสองนี้ ผู้คนก็จะตกอยู่ในความหลงว่า ตัณหาและทิฐิ ต่าง ๆ นั้นเป็นตนเอง และ เป็นของตนเอง แล้วความทุกข์ก็จะตามมา

เมื่อยังไม่มีความสามารถในการจัดการกับ ตัณหาและทิฐิ ก็คือ ยังมี อวิชชา
ถ้ามีความสามารถในการจัดการกับ ตัณหาและทิฐิ ก็คือ มี วิชชา (อาสวักขยญาณ)

นี่คือแก่นของคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่กล่าวในอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจาก อริยสัจจ์ 4 และ ปฏิจสมุปบาท แต่ทั้งหมดก็คือ สิ่งเดียวกัน

ผมเขียนในรูปแบบนี้ ก็เพื่ออธิบายให้ท่านเห็น เข้าใจ เพิ่มมากขึ้น ถ้าท่านที่อ่านเรื่องอริยสัจจ์ 4 ปฏิจสมุปบาทแล้วไม่เข้าใจ ก็อาจทำให้เข้าใจได้ ถ้าอ่านในรูปแบบนี้

ในทาง Physical ทั้ง ตัณหาและทิฐิ จะมีสภาพที่เหมือนกัน คือเป็นก้อนพลังงาน บางท่านจะเรียกรวมๆ ว่า ความคิด ก็คือเจ้าสิ่งนี่เอง

เมื่อท่านเข้าใจแล้วว่า physical ของมันเป็นพลังงานความคิด การที่ท่านจะรู้จักมันได้ ก็คือ ท่านจะต้องเห็นมันได้ก่อน ก็คือ ต้องเห็นความคิด ให้ได้ก่อน

ในการฝึกฝนทุก ๆ อย่าง ถ้าไม่ลงไปสู่การเห็นความคิด หรือเห็น ตัณหาและทิฐิแล้ว จะไม่สามารถเข้าสู่วิชชา อาสวักขยญาณ ได้

การฝึกฝน เพื่อให้เห็นพลังงานความคิด เห็นจิตกระฉอกได้ นี่คือต้นทางการฝึกฝนเพื่อให้รู้จักกับพลังงานตัวนี้ พอท่านสัมผัสมันได้บ้างจากการฝึกฝนที่เป็นรูปแบบการฝึก ต่อไปก็คือ ท่านสมควรจะรู้จักกับตัวจริงของมันที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน

เมื่อท่านพบของจริง สัมผัสได้จริง ๆ ในชีวิตจริง ใหม่ๆ จะพ่ายแพ้ และ ท่านจะเป็นทุกข์ แต่นี่คือประสบการณ์จริงที่ท่านพบแล้ว และ การพบที่พ่ายแพ้นี้จะทำให้ท่านมีการพัฒนาต่อไปเพื่อจะชนะมันได้ในอนาคต

คำสอนในปัจจุบัน มีหลายรูปแบบ ผมไม่บังควรชี้ชัดลงไปว่า แบบใดดีหรือไม่ดี ท่านต้องใช้ปัญญาพิจารณาเอาเอง หลังจากทีท่านศึกษาในพระไตรปิฏกว่า พระพุทธองค์ท่านสอนอย่างไร

ในพระไตรปิฏก เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ก็ไม่สมควรจะไปยึดถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา

ถ้าท่านฝึกมาดีพอ ท่านสามารถสัมผัสอาการทาง*ปรมัตถ์* ของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้ ที่มีสภาพทาง physical เหมือนกันทั้งสิ้น คือ เป็นกลุ่มพลังงาน

เมื่อท่านสัมผัสบ่อยๆ ในการฝึกให้รับรู้กลุ่มพลังงานได้ ต่อไป ท่านก็สามารถจะรับรู้ปรมัตถ์ของขันธ์ 5 ได้ การรับรู้แบบนี้ ผลก็คือ จิตแยกตัว เห็นกลุ่มพลังงานนี้ที่เป็นส่วนของขันธ์ 5 ทีมันเกิดขึ้น แปรปรวน และ ดับลงไป เป็นไตรลักษณ์ ซึ่งจะตรงกันเปะกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนปัญจวัคคีย์

การเห็น physical ของขันธ์ 5 ท่านไม่ต้องไปแยกแยะว่า นี่คือ รูป นะ นี่คือ เวทนา นะ นี่คือ สัญญา นะ ... ไม่ต้องไปแยกแบบนั้น เพียงท่านสัมผัสกลุ่มพลังงานเป็นไตรลักษณ์ได้ แค่นี้จบ

ส่วน physical ของ ตัณหา จะสัมผัสได้ยากกว่า physical ของขันธ์ 5 มาก
ท่านต้องเห็นจิต เห็น มโน ได้ ก่อน ท่านจะเห็นกลไกการทำงานของ ตัณหา ที่จิตไปสร้าง มโน ขึ้น หรือ เห็น จิตหลุดจากฐานแล้ววิ่งเข้าไปยึดกับอาการต่าง ๆ ของขันธ์ 5

นี่คือ ทางตรงๆ ไม่อ้อมค้อมที่ท่านจะเดินเข้าสู่ทางดับทุกข์ ทางอ้อมมี ท่านจะเดินหรือไม่ ท่านเลือกเองได้ แต่อ้อมอย่างไร พอสุดท้าย ถ้าใครไม่เข้ามาที่นี่ เห็น physical ของตัณหาและทิฐิ จะไม่มีทางไปสู่อาสวักขยญาณได้เลย เมื่อไม่ถึงอาสวักขยญาณ ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง






Create Date : 21 มิถุนายน 2555
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 11:15:49 น.
Counter : 2873 Pageviews.

0 comments
:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 379 :: กะว่าก๋า
(25 มิ.ย. 2568 05:15:58 น.)
วิ่งข้างบ้าน 15,17,18,19,21 มิ.ย.2568 สองแผ่นดิน
(24 มิ.ย. 2568 22:37:50 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - หล่นไปในสมมุติ : กะว่าก๋า
(24 มิ.ย. 2568 04:11:57 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ความรักเท่าที่รู้ : กะว่าก๋า
(23 มิ.ย. 2568 04:26:06 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Namasikarn.BlogGang.com

นมสิการ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]

บทความทั้งหมด