ปฏิบัติให้จิตให้เป็นผู้รู้ ผู้ดู ทำอย่างไร
......สมมุติว่า ท่านกำลังคุยกับใครอยู่ แล้วท่านก็ตั้งใจฟังเขาพูดเป็นอย่างดี
ท่านต้องดูต่อไปว่า การทีท่านตั้งใจฟังเขาพูดแล้ว
ท่านยังสามารถรู้ผัสสะอย่างอื่นของร่างกายได้ไหม เช่น
รู้เสื้อผ้าโดนกาย หรือ รู้ลมหายใจ พร้อมกับการตั้งใจฟังคนอื่นพูดได้ไหม
ถ้าท่านสามารถรู้สัมผัสอย่างอื่นได้ด้วย ในขณะทีตั้งใจฟังคนอื่นพูด
ตอนนั้น จิตท่านกำลังอยู่ในสภาวะ การเป็น ผู้รู้ ผู้ดู อยู่
.
แต่ถ้าท่านตั้งใจฟังเขาพูด แต่ผัสสะอย่างอื่นท่านไม่รู้เลย
เสื้อผ้าโดนกายก็ไม่รู้
ลมหายใจท่านก็ไม่รู้
ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ จิตท่านไม่ได้เป็นผู้รู้ ผู้ดู แต่จิตของท่านไหลออก
แล้วไปเกาะติดการได้ยินเสียงแล้ว
.
นักภาวนาเป็นจำนวนมาก ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติเพื่อให้เป็นผุ้รู้ ผู้ดู
และมักปฏิบัติแบบจิตไหลออก เพราะเข้าใจว่า การรับรู้สิ่งเดียว
ในระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย
คือ สมาธิทีพระพุทธเจ้าสอน
ซี่งเป็นการเข้าใจทีคลาดเคลื่อน
ถ้าท่านปฏิบัติแบบนี้ ท่านเสียเวลาเปล่า
ท่านทำไปทั้งชีวิต ก็ไม่ก้าวหน้าในธรรมได้เลย
.
ท่านทีกำลังเป็นผู้รู้ ผู้ดู อยู่
ในขณะนั้น ท่านกำลังมีสติ สัมปชัญญะ
หรือ จะพูดว่า ท่านกำลังอยู่ในอารมณ์สติปัฏฐาน ก็ได้เช่นกัน
กิเลสจะเกิดมาทำร้ายท่านไม่ได้เลย
การไปรู้อย่างเดียวนี่ซิ จิตท่านฝีกแต่การยีดติด
ไม่ได้ฝีกเพื่อการปล่อยวาง
การทีจิตคุ้นเคยกับการยีดติด แล้วท่านเกิดเผลอขึ้นมา
พอเกิดจิตปรุงแต่งขึ้น
จิตท่านก็เข้าไปยีดติดการปรุงแต่งนั้นทันทีด้วยความคุ้นเคย
.
สิ่งทีผมเขียนนี้ หลายท่านทีฝีกสมาธิจดจ่อ รู้สิ่งเดียว
จะไม่เชื่อในสิ่งทีผมเขียน
เรื่องแบบนี้ ก็แล้วแต่ความเชื่อ
แต่ถ้าท่านปฏิบัติไปหลายๆ ปี แบบสมาธิจดจ่อ
แล้วไม่ก้าวหน้า ท่านสมควรมาพิจารณาแล้วว่า
ท่านปฏิบัติมีอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือไม่