ลักษณะอาการของผู้ทีฝีกฝนจนได้ สติ สมาธิ ทีมั่นคงแข็งแรง
.
1..ไม่ว่า จะทำอะไรอยู่ จะรู้ ลมหายใจ ได้อยู่เสมอ
การรู้ลมแบบนี้ คือ รู้ได้เองว่า มีลมหายใจปรากฏอยู่
.
ไม่ใช่เป็นการไปจ้องรู้ลมทีปลายจมูก
และ การรู้ลมจะรู้สีกได้ว่า สบาย ๆ ด้วย
.
2..เวลามีความคิดเกิดขึ้น จิตผู้รู้ จะไม่ถูกดูดเข้าไปในความคิด
นี่หมายถีง ความคิด ทีเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่เป็นการตั้งใจคิด
จะเห็นความคิดลอยอยู่ห่างๆ ปรากฏให้เห็นความคิดได้
.
ไม่จำเป็นทีว่า ผู้ทีฝีกฝนการปฏิบัติ ต้องไม่มีความคิดเกิดเลย
ซี่งในความเป็นจริง เมื่อคนอยุ่ในชีวิตประจำวัน
ความคิดต่างๆ เกิดอยู่เสมอ แต่คนทีไม่มี สติ สมาธิ ทีแข็งแรงพอ
จะไม่เห็นความคิดนี่ได้ เลยเข้าใจว่า ตนเองไม่ได้คิดอะไรอยู่
ทีสำคัญก็คือ ความคิดมีได้ หรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีความคิด
จิตผู้รู้ต้องไม่ถูกดูดเข้าไปในความคิด และ จิตผู้รู้ควรเห็นความคิดทีกำลังเกิดได้อยู่
.
ขอทำความเข้าใจให้ในเรื่องความคิด
ยกตัวอย่าง
เพียงเห็นสุนัข แล้วรู้ว่า นี่คือ สุนัข นั่นคือ ความคิดเกิดแล้ว
เพียงอ่านหนังสือออก ก็คือ ความคิดเกิดแล้ว
เพียงฟังเสียงแล้วรู้เรื่องราวค่างๆ ทีพูดในเสียง ก็คือ ความคิดแล้ว
.
นักภาวนาเป็นส่วนมาก มักเข้าใจว่า การมีความคิดเป็นสิ่งทีขัดขวางการเข้าถีงธรรม
นับว่า เป็นความข้าใจทีคลาดเคลื่อนมาก
เพราะการมีความคิด และ เห็นความคิดได้ ต่างหาก ทีจะเป็นสิ่งทีทำให้เข้าถีงธรรมได้
ในทีสุด และ จะทำให้เกิดปัญญาตามมาอีกด้วย
ปัญญาในการภาวนานั้น จะได้มาจาก ความคิดทีไหวตัวเอง แล้วนักภาวนาไปรู้ทันการไหวตัวนั้นได้ทัน