จะพ้นไปจากกองทุกข์ได้อย่างไร
พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการมีปัญญา
ปัญญาอะไรละ....
คำตอบก็คือ ปัญญาทีพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสสอน การพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวงก็คือ อริยสัจจ์ 4
อันเป็นแก่นของพุทธศาสนา
ชาวพุทธทีไม่ได้สดับ ไม่มีปัญญาแยกแยะอะไรคือแก่นแห่งพุทธศาสนา ย่อมไม่มีวันทีจะหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ แต่ยิ่งศีกษาหลักธรรมทีผิดเพี้ยนไป ก็กลับยิ่งหลงทางห่างออกไปจากทางแห่งมรรคเข้าไปทุกที
ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 1 พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ ได้ความว่า
ทุกข์ ให้รู้
ในข้อนี้ จะมี 2 คำทีต้องใส่ใจ คำแรกคือ ทุกข์ คำทีสองคือ ให้รู้
คำแรก ทุกข์ หมายถีงอะไร
คำว่า ทุกข์ นี้จะหมายถีง สรรพสิ่งทีไม่เที่ยงแท้ สรรพสิ่งทีมันเปลี่ยนแปลงได้
การรู้ทุกข์นี้ ต้องรู้แบบไม่ยีดติดด้วย อันเป็นอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2
การรู้ทีไม่ยีดติด คือ การรู้ทุกข์ในขณะที่สัมมาสมาธิเกิดอยู่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตัวจิตนั้น จะมี 2 ส่วน
คือ จิตพลังงาน และ จิตผู้รู้
เมื่อจิตพลังงานไหวตัวก่อน แล้ว จิตผู้รู้ไปเห็นทันการไหวตัวของจิตพลังงานนั้น
พอจิตผู้รู้เห็นทันการไหวตัวนี้แล้ว การไหวตัวจะดับลงไปทันที
แล้วปัญญาจะเกิดขึ้น
สรุป เงื่อนไขของการเกิดปัญญาจะเป็นว่า
1. จิตพลังงานมีการไหวตัว
2. จิตผู้รู้ไปเห็นทันการไหวตัวนั้น -เน้นย้ำว่า เห็นทัน-
3. การไหวตัวนั้นสลายตัวไปเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ปกติ จิตพลังงานมีการไหวตัวอยู่เสมออยู่แล้ว เช่น เพียงตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง
จิตพลังงานก็ไหวตัวไปสร้างขันธ์ขึ้นมาแล้ว แต่นักภาวนาไม่รู้เท่านั้นเอง
แต่ทีไม่เกิดปัญญา เพราะจิตผู้รู้ -เห็นไม่ทัน-ตอนการไหวตัวของจิตพลังงาน
คนทั่วไปจะไม่เห็นการไหวด้วยซ้ำ แต่รู้ตอนผลการไหวตัวเกิดขึ้นมาแล้วสักเวลาหนี่ง
นักภาวนาทีภาวนามาพอสมควร ถีงเห็นก็เห็นไม่ทันการไหวตัว
แต่เห็นตอนทีการไหวตัวเกิดขึ้นมาแล้ว
ผมขอยกตัวอย่างการ - เห็นทัน - เพื่อความเข้าใจ
สมมุติว่า ท่านนั่งอยู่บนรถ รถก็แล่นไป
ท่านเอาแต่คุย เอาแต่โม้ กับคนโน้นคนนี้ในรถ
เผอิญรถเกิดอุบัติเหตุ มันเร็วมาก
รถตกถนนไปข้างทาง ผู้คนในรถบาดเจ็บ
ท่านรู้ว่า เกิดเหตุ รถตกข้างทาง แต่นีคือ รู้ไม่ทัน
เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว ท่านรู้หลังอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว
แต่คนทีเขาเห็นทัน คือ วินาทีทีเกิดอุบัติเหตุ -เน้นย้ำว่า วินาทีทีเกิด -
เขาเห็นเหตุการณ์สด ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ว่าเกิดอะไรขึ้น ซี่งเวลาทีเกิดนี้สั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
นีคือ การเห็นทันในวินาทีทีเกิดนั้น
นักภาวนาทีภาวนามาได้สักระยะหนี่ง
พอมีอารมณ์โกรธขึ้น เขาบอกว่าเขาเห็นอารมณ์โกรธนั้น
แล้วอารมณ์โกรธนั้นดับลงไปต่อหน้าต่อตา
ถามว่า นีเห็นทันอารมณ์โกรธไหม
ตอบว่า ทีเขาเห็นยังเห็นไม่ทันครับ แต่เขาเห็นตอนมันเกิดมาแล้ว
ขอให้เทียบกับตัวอย่างของการเกิดอุบัติเหตุทีผมยกไว้ข้างต้น
เมื่อเห็นยังไม่ทัน แต่เห็นมันเกิดแล้วดับลงไปได้
นีก็ยังดี ถีงปัญญายังไม่เกิด แต่ก็ได้สัมมาสมาธิ
การสะสมของการเห็นแบบนี้บ่อย ๆ คือ เกิดสัมมาสมาธิหลาย ๆ ครั้ง
แล้วจะเกิดการเห็นทันได้สัก 1 ครั้ง พอเห็นทัน ปัญญาจึงจะเกิด
จากเงื่อนไขดังกลาว ขอให้พิจารณาดูในวิธีการฝีกฝนเพื่อการปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดเงื่อนไขของการเกิดปัญญาทีสรุปได้ว่า
>>>>>การฝีกฝน ต้องหัดฝีกให้จิตผู้รู้มีความสามารถรู้ได้ว่องไว และ ตั้งมั่น
>>>>>อย่าไปกดจิตพลังงานให้มันนิ่ง
ถ้านักภาวนาไม่ฝีกฝนเพื่อให้เกิดเงื่อนไขดังกล่าวขึ้น
ก็ไม่มีทางเกิดปัญญาได้เลย
คนส่วนมาก มักเข้าใจว่า ต้องทำจิตให้นิ่ง จึงจะมีปัญญา
ความเข้าใจนี้คลาดเคลื่อน การทำจิตให้นิ่ง เป็นการเข้าฌาน
จึงไม่มีปัญญาเกิดขึ้น
เหมือนดังฤาษีในสมัยพุทธกาล ทีต่างจิตนิ่งเพื่อเข้าฌาน แต่ไม่เกิดปัญญา
ทีนี้จะมีคำถามตามมาว่า
เมื่อเกิดปัญญาขึ้นเพราะการเห็นทัน 1 ครั้ง นักภาวนาจะรู้อะไรบ้าง
คำตอบของผมอาจทำให้ท่านตกใจไปสิบตลบ
เพราะ ปัญญาทีเกิดขึ้น นักภาวนาจะไม่รู้อะไรเลยว่านีคือปัญญา
แต่ทีนักภาวนาจะรู้ได้ก็คือ
......สัมมาสมาธิจะเป็นธรรมชาติมากขึ้น กล่าวคือ ไม่ต้องทำสัมมาสมาธิเลย
แต่ก็เป็นสัมมาสมาธิทีทรงตัวอยู่ได้เอง มีเกิดแบบนี้บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น การเผลอลดน้อยลงไป
สัมมาสมาธิทีเป็นธรรมชาติมากขึ้นนี้เอง ผลก็คือ การหลุดจากทุกข์จะง่ายขึ้น
เร็วขึ้น จิตไม่ยีดเกาะทุกข์ดีขึ้น และ เผลอลดน้อยลงไปจนเกิดการไม่เผลออีกเลย
เมื่อเกิดปัญญาแบบนี้เพียงไม่กี่ครั้ง จิตจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง