การภาวนานั้นต้องการอะไร.....
การภาวนานั้นต้องการอะไร.....
การภาวนานั้นสิ่งทีต้องการคือ การรู้ว่าธรรมชาติจริงๆ ของตัวเรา เป็นอย่างไร
คำถามต่อมาก็คือ รู้แล้วทำอย่างไรต่อไป
คำตอบก็คือ เมื่อรู้ธรรมชาติแล้ว เมื่อมีอาการผิดธรรมชาติที่เพิ่มเข้ามาอีกให้เขี่ยมันทิ้งไปครับ
ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจ
ธรรมชาติของคนเรา ถ้าเป็นปรกติ ก็จะหายใจ จะเฉยๆ ไม่อยากได้อะไร ไม่ยินดี ยินร้าย
ไม่เจ็บ ไม่ป่่วย สบาย ๆ ....
ถ้าเปรียบเหมือนน้ำทะเล นี้คือสภาพน้ำทะเลทีราบเรียบ ไม่มีคลื่นเลย น้ำนิ่งสนิท
เมื่อเราฝีกภาวนา ให้เรารู้จักธรรมชาตินี้ให้ได้ ไม่ว่าฝีกอย่างไร ก็ต้องหาธรรมชาตินี้ให้ได้ครับ
ทีนี้ พอมีสิ่งผิดปรกติเข้ามา เช่น มีอารมณ์เครียด มีอารมณ์โกรธ มีความยินดี ยินร้าย
นักภาวนาเมื่อรู้สภาพที่ปรกติแล้ว พอมีสิ่งผิดปรกติหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาดังตัวอย่างข้างต้น
ซี่งก็คือ ทุกข์ ก็จัดการมันทิ้งซะ แล้วให้ธรรมชาติของเรากลับมาเหมือนเดิมใหม่อีกครั้ง
นักภาวนาที่จัดการให้เหมือนเดิมได้เร็วเท่าไร เขาก็จะทุุกข์น้อยลงเท่านั้น
ปัญหามีอยู่ว่า
1. นักภาวนาไม่สามารถรู้ความผิดปรกติทีเกิดขึ้นได้
2. นักภาวนารู้ความผิดปรกติได้ แต่ไม่สามารถจัดการให้กลับมาเป็นปรกติได้อีกครั้ง
ดังนั้น นักภาวนาจึงต้องฝีกฝน ให้มีความสามารถที่จะจัดการข้อ 1 และ 2 ได้
ก็คือ การฝีกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
เมื่อนักภาวนาฝีกด้วยกฏ 3 ข้อ คือ รู้สึกตัว ผ่อนคลาย สบาย ๆ อย่าอยากรู้อะไร แต่ให้จิตเขารู้เอง นี่คือ การฝีกเพื่อ่ให้นักภาวนารู้จักกับสภาวะปรกติทีไม่มีทุกข์ว่าเป็นอย่างไร
แต่เมื่อฝีก ก็ให้รู้กายที่เป็นดิน ที่เป็นลม ทีรู้สึกได้วูบ ๆ นั่นก็เพื่อให้จิตมีพลังมากขึ้นและมีความสามารถจัดการข้อ 1 และ 2 ได้ การฝีกแบบนี้ ก็คือ การฝีกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ส่วนปัญญานั้น เมื่อฝีกไปเรื่อยๆ ความสามารถของจิตจะมากขึ้นไปตามลำดับ ทำให้นักภาวนาสามารถที่จะรู้จักความเป็นปรกติที่ละเอียดมากขึ้นและรู้จักทุกข์ที่ละเอียดมากขึ้น ผมจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ทุุกท่านคงเคยเห็นทรายที่เขาทำการก่อสร้าง ทรายนี้ละเอียดกว่าก้อนหิน แต่ถ้าใครไปที่หาดทรายแถวหัวหิน จะพบว่า ทรายที่นั้นจะละเอียดกว่าทรายก่อสร้างอีก เมื่อนักภาวนารู้จักสิ่งทีละเอียดกว่าในความปรกติ พอสิ่งแปลกปลอมที่ผิดปรกติเข้ามา เขาก็จะรู้ได้อีก นี่คือความละเอียดของทุกข์ที่รูุ้จักได้ของนักภาวนา
ความเป็นปรกติของคนนั้น จะมี 2 อย่าง คือ
A. ความป็นปรกติทางกาย ไม่เจ็บ ไม่ทุุกข์ และ *** ไม่เครียด***
B. ความเป็นปรกติทางใจ คือ สภาพารไร้การปรุงแต่งของจิตใจที่เกิดขึ้นใน มโน
หาให้พบครับว่า A และ B เป็นอย่างไร เมื่อพบสิ่งที่ผิดปรกติไปจาก A/B แล้วก็ทำลายมันทิ้งเสียด้วยกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่แหละครับ ทางพ้นทุกข์แบบชาวบ้านพูดกัน จะเป็นแบบนี้
นี่คือ สิ่งทีต้องการในการภาวนา ในนักภาวนาที่ชำนาญมากๆ พอเกิดสิ่งผิดปรกติไปจาก A / B แล้ว เขาจะทราบทันทีอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำลายความผิดปรกตินี้อย่างทันทีเช่นกันดังสายฟ้าแลบ
*****
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2012&date=17&group=14&gblog=12