คนต่างรุ่น generation เรื่อง ฉันมันคนรุ่นเบบี้บูม การวิพากษ์วิจารณ์จะหยิบยกปัญหาที่สำคัญเพื่อทำให้เกิดมุมมองอย่างมีวิจารณญาณ ในครอบครัวไทยหลายครอบครัวยังอยู่อาศัยแบบรวมกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา รุ่นลูกหลานและเหลน ความแตกต่างที่เรียกว่าช่องว่างระหว่างวัยจึงมักเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันบ้างระหว่างเครือญาติที่มีความคิดเห็นต่างกัน ทั้งนี้ถ้าเข้าใจคำว่า ช่องว่างระหว่างวัย อาจทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ระหองระแหงกันมากจนเกินไป พ่อแม่ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างปู่ย่าตายายกับลูกและหลาน อาจต้องรับภาระหนักสุดเหมือนไส้แซนวิชที่มีขนมปังขนาบล่างและบน พอจะเอาใจปู่ย่าตายายต้องคอยพูดอธิบายให้ลูกและหลานฟัง พอจะตามใจลูกและหลานต้องทนฟังเสียงบ่นจากปู่ย่าตายายบ้าง แม้บางทีสิ่งที่พ่อแม่ทำยังขัดหูขัดตาปู่ย่าตายายเลย มีคำตอบเรื่องลักษณะของคนแต่ละวัยมาอธิบายว่า แต่ละบริบทของสังคมทำให้คนที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน นี่เป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจคนแต่ละรุ่นวัยได้ดีขึ้น ทำไมเราต้องยอมตามใจหลาน ๆ ให้ซื้อมือถือราคาแพงลิบลิ่วในสายตาของปู่ย่าตายาย ทำไมพ่อแม่จึงซื้อรถหรูราคาหลักล้านมาขับเพื่อประดับบารมีนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ทำไมปู่ย่าตายายจึงขี้เหนียวขี้งกนักในสายตาของลูกและหลาน ทำไมปู่ย่าตายายทนทำงานในที่เดิมตลอดชีวิตการทำงาน และพ่อแม่เปลี่ยนงานบ่อยเป็นว่าเล่น ส่วนลูกและหลานต้องวิ่งเต้นเสียเงินเข้าโรงเรียนอินเตอร์ หรือไม่ต้องส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาจะได้มีงานมีการดี ๆ ทำ Generation หรือที่เรียกสั้นๆว่า Gen คือ การแบ่งกลุ่มประชากรตามหลักประชากรศาสตร์ (Demography) โดยมีการแบ่ง Gen ตามช่วงปีเกิด โดยจะแบ่งเป็น 5 Gen คือ Gen B, Gen X, Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha ซึ่งแต่ละรุ่นมีข้อดีและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ฉะนั่นเรามาดูข้อมูลของคนแต่ละ Gen กันค่ะ ว่ามีข้อเด่น อย่างไรบ้าง แต่ละ Gen อยู่ในกลุ่มอายุเท่าไร แล้วคุณละเป็น Gen อะไร การแบ่งกลุ่มคนตาม generation นั้น มักใช้เพื่ออธิบายลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่ม Baby Boomer มักถูกมองว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ให้ความสำคัญกับครอบครัว กลุ่ม Generation X มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ดี ให้ความสำคัญกับอิสระเสรี กลุ่ม Generation Y มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความเป็นปัจเจกนิยมสูง ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ กลุ่ม Generation Z มักถูกมองว่าเป็นคนที่มีความคล่องแคล่วด้านเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการมีส่วนร่วม การจัดแบ่งคนในแต่ละยุค เริ่มตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งบัดนี้คงไม่มีใครหลงเหลือชีวิตในยุคนี้อีกแล้ว เรียกคนในยุคนี้ว่า Lost generation พ.ศ. 2426-2443 บ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัติจากสงคราม มีแต่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก การต่อสู้เต็มไปหมดเกือบทั่วทุกมุมโลก เต็มไปด้วยภยันตราย การออกรบและต่อสู้ การมีชีวิตที่รอคอยสามีกลับมา หญิงหม้ายและเด็กเล็กอยู่อย่างยากลำบาก ยุคที่ 2 เป็นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2444-2467 เป็นยุคของการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากประเทศย่อยยับจากภัยสงคราม ทุกคนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม การแต่งกายจะมีความเป็นทางการสูง ทำทุกอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนชัดเจน ซึ่งคงไม่เหลือมากน้อยสักเท่าไรแล้ว เรียกยุคนี้ว่า Greatest generation ยุคที่ 3 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2468-2488 เรียกยุคนี้ว่า Silent generation ผู้คนถูกอบรมมาให้จงรักและภักดีต่อนายจ้างและประเทศชาติสูง ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครยอมออกรบเพื่อผู้นำ สงครามโลกครั้งที่สองนี้นับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ล้านคน ชาวบ้านคงได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสงครามเสียที ยุคนี้เป็นรุ่นทวด ปู่ย่าตายาย ที่ยังพอจดจำความทรงจำที่ทุกข์ทรมานจากภัยสงครามได้บ้างและบอกเล่าให้ลูกหลานได้ฟัง แต่คงไม่มีใครอยากฟังหรือฟังแต่ไม่ซาบซึ้ง ความจงรักและภักดีของคนรุ่นนี้จะเข้มข้นมากถึงขั้นตำหนิคนรุ่นลูกหลานที่เปลี่ยนงานบ่อยหรือแสดงสิ่งที่ไม่จงรักภักดีต่อหน่วยงานที่ตนทำ ยุคที่ 4 เรียก Baby boomer generation ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2489 -2507 สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก หลายประเทศมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมมีสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลสนับสนุนการมีลูกหลายคน จึงเป็นยุคที่มีจำนวนคนสูงสุดของโลก มีชีวิตเพื่อการทำงาน ประหยัดอดทน รอบคอบ ปัจจุบันคนรุ่นนี้เข้าสู่วัยปลดเกษียณพลอยทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเพราะรายได้ที่ลดลง รัฐต้องจ่ายสวัสดิการมากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่จะทำงานแทนมีจำนวนไม่เพียงพอ หรือขาดประสบการณ์ บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด คนเจนบี เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน ข้อดี Gen B เป็นยุคสิ้นสุดสงคราม คนเจนนี้จะมีชีวิตเพื่อการทำงาน สุขุม รอบคอบ ประหยัดอดออม สู้งาน เคารพกฎเกณฑ์ อดทนสูง มีประสบการณ์สูง มีความสามารถทางด้านการเข้าสังคม จงรักภักดีต่อนายจ้าง ให้ความสำคัญกับผลงาน ยินดีทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เคร่งครัดในจารีตประเพณี ยุคที่ 5 เรียกยุค generation X โลกมั่งคั่งจากยุคก่อน วีดิโอเกมพัฒนาขึ้น เด็ก ๆ จะสนุกกับการเล่นเกม เมื่อโตขึ้นจะชอบความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โลกประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานทดแทน หนุ่มสาวรุ่นใหม่ต้องการความเป็นอิสระจึงเลือกครองตัวเป็นโสดหรือแต่งงานช้าลง และจะมีลูกน้อยลง Gen X คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 (ค.ศ.1965-1981) คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม) บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance) ข้อดี Gen X เป็นรุ่นที่มีความเข้มแข็งและปรับตัวได้ง่าย พวกเขามีความคิดเป็นระบบ และมีความรับผิดชอบสูงในการทำงาน พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ในองค์กรมากกว่ารุ่นอื่น จึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำและสามารถให้คำปรึกษาแก่รุ่นอื่นได้ ยุคที่ 6 เรียกยุคนี้ว่า generation Y เป็นยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เจริญรุดหน้ามาก คนยุคนี้จึงชอบงานไอที มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ มองโลกในแง่ดี แต่ไม่มีความอดทนทำงานในหน่วยงานที่คิดว่าไม่ก้าวหน้า Gen Y หรือ Millennials คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2540 (ค.ศ.1982 - 2000) เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร เจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ข้อดี Gen Y เป็นรุ่นที่เก่งในเทคโนโลยีและการใช้สื่อสังคมออนไลน์ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นทีมงานที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เขามักมีความสามารถในการทำงานแบบแฟล็กซิเบิ้ลและต้องการการตอบรับและการพัฒนาอยู่เสมอ ยุคที่ 7 เรียกยุคนี้ว่า generation Z คนรุ่นนี้โตมาในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแล้วจึงเรียนรู้เร็วตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ Gen Z คือ คนที่เกิด พ.ศ. 2541 - 2555 (ค.ศ. 2001 - 2014) กลุ่ม Gen Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง ข้อดี Gen Z เป็นรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและมีความคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พวกเขามีมุมมองที่หลากหลายและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว Gen A หรือ Gen Alpha คือ กลุ่มคนนี้จะเกิดในช่วงปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป หรือง่ายๆ คือคน เจนอัลฟ่านั้นจะเกิดในช่วง ศตวรรษที่ 21 นั่นเอง จึ่งเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เด็กกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีโดยสมบูรณ์แบบ คือ มีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและมองเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนกับเจนก่อน ๆ ที่อยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยี จึงต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงพอสมควร แต่เด็กเจนนี้สามารถค้นหาหรือเข้าถึงข้อมูลใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ เจนอัลฟ่าเรียกว่าเกิดในสภาพแวดล้อมใหม่ การติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด คนอีกกลุ่มหนึ่งเรียก generation C จะมีนิสัยได้ตามคนในยุคต่าง ๆ โดยไม่ได้กำหนดว่าเขาเหล่านั้นจะอายุเท่าใดแน่ การให้เหตุผลว่า ช่องว่างระหว่างวัยทำให้ความคิดอ่านของคนในครอบครัวหรือสังคมเดียวกันแตกแยกเป็นเพราะเขาเหล่านั้นเติบโตมาในบริบททางสังคมที่ต่างกัน แม้แต่ในบ้านหนึ่งที่มีลูก 2 คน เกิดคนละรุ่น คนโต generation X พ.ศ. 2520 อีกคน generation Y พ.ศ. 2525 ลูก 2 คนคิดแตกต่างกันทั้งที่เกิดและเติบโตในบ้านเดียวกัน คนโตเกิดมาตอนที่พ่อแม่เริ่มตั้งตัวเพิ่งจะมีงานทำ คนที่ 2 พ่อแม่ทำงานที่มั่นคง คนโตต้องการความเป็นอิสระ จึงแต่งงานช้าเพื่อความมั่นคงในครอบครัว เลือกทำงานที่คิดว่ามั่นคงและจะทำตลอดไป คนที่ 2 จะเลือกและเปลี่ยนงานบ่อยตามที่ต้องการ ความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งช่องว่างระหว่างวัยทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความพยายามที่จะเข้าใจกันย่อมเป็นเหตุให้เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น ซึ่งคนแก่มักจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านของตน คนแก่คือคนรุ่นเบบี้บูมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในขณะนี้ ทำให้คนรุ่นหลังต้องยอมคล้อยตามเสียหลายเรื่องทั้งที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ความต่างอาจทำให้เกิดความแตกแยก แต่ความต่างทำให้สมานฉันท์ได้ ถ้าเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน |
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 4665919
บทความทั้งหมด
|