อัตมโนทัศน์ที่สร้างขึ้นมา
อัตมโนทัศน์ที่สร้างขึ้นมา
Self - concept created.
เชื่อไหมว่าคนบนโลกใบนี้ มีหลายล้านคน ไม่มีใครเหมือนกันทุกด้านเลย แม้แต่ฝาแฝดแท้
บางทีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แต่นิสัยใจคออาจต่างกัน ทางพุทธบอก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กรรมคือการกระทำทั้งในอดีตชาติ และชาตินี้ที่กระทำต่างกันในต่างวาระ
ความเป็นตัวตนของแต่ละคน จึงแตกต่างกัน อาจต่างกันมากหรือต่างกันน้อย ขึ้นอยู่กับใครทำอะไร
เวลาใด มากน้อยเพียงใด
เมื่อเจอคนที่คล้ายกันจะคุยถูกคอ เรียกว่าเจอคนรู้ใจ
เจอคนคิดต่าง ทำต่าง คงปวดเฮด มีนหัว ไม่มากก็น้อย
เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า self คือตัวตน แล้ว selfish ล่ะ คือ sell +fish คนขายปลา หรือคือ self +ish คนที่ทำอะไรเพื่อตนเอง คนเห็นแก่ตัวนั่นเอง
ตัวตนนี้หมายรวมถึงร่างกายและจิตใจ เป็นจิตที่รู้คิดของสมอง เกิดจากกระบวนการคิดและได้รับผลจากสารเคมี/ฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้มีผลต่อความคิด อารมณ์ และความรู้สึกได้
สิ่งที่ทำบ่อย ๆ กลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้นชิน อาจทำได้โดยอัตโนมัติ เราเลยรับรู้ว่านี่คือ อัตมโนทัศน์ การมองภาพของตัวตนในสายตาของตนนั่นเอง (self-concept) ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและบริบท
ใจกลางของตัวตนจะอยู่บนความคิดและความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ฉันเป็นผู้กระทำ (self as I do)
ถ้าตัวตนนี้คงที่เป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นภาพประจำ เรียกว่าเอกลักษณ์แห่งตน (self-identity) หรืออัตลักษณ์ประจำตน ที่เขาบอกกันว่า มันคือ uniqueness แปลว่า มีเพียงหนึ่งและหนึ่งเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ คือตัวของเรานั่นเอง
ทางกายจะมีประโยชน์ในการแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือ น้ำเสียง ภาพจากดวงตา
ทางใจ แสดงออกทางการกระทำ ความคิด ความรู้สึก ออกมาในรูปภาพเฉพาะตน ที่ใครอื่นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ บางคนเป็นอัจฉริยะ สร้างผลงานอันลือลั่นโลกได้เลย
ตัวตนที่เกิดจากประสบการณ์นั้น มีผลมาจากสิ่งแวดล้อมและบริบททางสังคมในขณะนั้น ๆ ด้วย
แต่กาลก่อน ดึกดำบรรพ์พอควร มนุษย์เชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า เทวดา ที่จะดลบันดาลทุกสิ่งบนโลกได้ ไม่มีมนุษย์คนใดอาจหาญต่อกรด้วย แม้เมื่อมีคนบางกลุ่มอ้างตัวว่าคือเทพเจ้าที่จุติมายังโลก เพื่อปกครองมนุษย์ เหล่าคนเดินดินที่เกรงกลัวต่อเทพเจ้า ต้องก้มหัวศิโรราบ ยอมเป็นทาสอย่างง่ายดาย
ความเป็นตัวตนจึงเป็นไปตามคำบัญชาของผู้มีอำนาจที่อ้างว่าตนคือตัวแทนเทพเจ้า หาได้กล้าแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนไม่ ไม่เช่นนั้นอาจดดนข้อหากบฏ โดนฆ่าตายอย่างน่าทุเรศ
ต่อมาในยุคกลาง เริ่มมีความเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พูนสุขแท้จริง หน้าที่ของพวกเราคือ แสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็มชีวิต ถ้าแม้นในโลกนี้ยังทำไม่ได้ ขอเผื่อไว้ชาติหน้าจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม
แล้วมาถึงยุควิทยาศาสตร์ครองเมือง ทุกสิ่งต้องพิสูจน์และทดลองจนค้นหาความจริงได้
หลังจากนั้น เชื่อว่า ทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากความสัมพันธ์ จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ควรใช้ความคิดตัดสินสิ่งดีชั่ว แยกแยะถูกผิด
ความเป็นตัวตนแต่ละยุคแต่ละสมัยจึงแตกต่างกัน แม้แต่ในยุคปัจจุบัน
คนที่เกิดมาต่างที่ ต่างเวลา ยังคิดนึกต่างกัน ความคิดเกี่ยวกับตัวตนของตนจึงต่างกัน
จะค้นหาว่าตัวตนของตนแท้จริงเป็นเช่นไร คงต้องสำรวจด้วยตนเองแล้วว่า ได้ผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ที่ทำให้เกิดความคิด ความเชื่อ ศรัทธาเป็นเช่นนี้ ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนตัวเอง ควรทำเช่นไร ขอให้ค้นหาตัวเองให้เจอนะ