happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
21 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 

เสพงานศิลป์ ๙๒




ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto















หอศิลป์ 'Palazzo Pavone'


หอศิลป์ "Palazzo Pavone" เป็นบ้านสไตล์ทัสคานี สถาปัตยกรรมชนบทอิตาลี ภายในมีผลงานภาพพิมพ์แกะไม้ของ ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ จัดแสดงอยู่จำนวนมาก เช่น "ครอบครัวแมว" ในปี ๒๕๒๓ "ม้าก้านล้วย" ปี ๒๕๒๖ "เปลือย" ปี ๒๕๓๒ "ควาย" ปี ๒๕๓๓ "ส่องกระจก" ปี ๒๕๓๕ "สามแม่ลูก" ปี ๒๕๓๖ "ปลาตะเพียน" ปี ๒๕๓๘ "ผู้หญิงถอดเสื้อ" ปี ๒๕๔๓ ทั้งยังมีภาพวาดเส้นต่าง ๆ จนถึงจิตรกรรมสีน้ำ สีน้ำมัน และอีกหลายผลงานของศิลปินชั้นครูผู้นี้ที่ดูได้ยาก และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้นิยมงานศิลปะทั้งในและต่างประเทศ






ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ สร้างบ้านสไตล์ทัสคานีไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คือ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ให้เป็นหอศิลป์และสตูดิโอทำงานศิลปะภาพพิมพ์ขึ้นในเมืองไทย และเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้กำหนดเปิดบ้าน ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ขึ้นเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและศึกษาด้านทัศนศิลป์ในส่วนภูมิภาค นับเป็นบ้านหลังที่ ๑๗ ในโครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ โดยมีชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม มาเป็นประธานในพิธี ท่ามกลางบรรรยากาศที่อบอุ่นของคนในวงการศิลปะและมิตรสหายศิลปินแห่งชาติที่มีความผูกพันลึกซึ้ง ได้แก่ ดร.กมล ทัศนาญชลี, ดร.ถวัลย์ ดัชนี, ดร.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน, ศ.เดชา วราชุน, ศ.ปรีชา เถาทอง, ศ.วิโชค มุกดามณี, ยรรยงค์ โอฬาระชิน, สถาพร ศรีสัจจัง และวรนันทน์ ชัชวาลทิพากร






วันเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติหลังนี้ ก่อนที่เจ้าของบ้านจะเป็นผู้บอกจุดเริ่มต้นการสร้างหอศิลป์ขึ้น ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งบ้านดำ ยกย่องเชิดชูประหยัด พงษ์ดำ แบบสด ๆ ว่า นึกถึงคำพูดของลอร์ดไบรอนที่ว่า เมื่อเจอคนรักที่มิพบตั้งนานจะไม่มีคำกล่าวใดหลุดออกจากปาก มีเพียงน้ำตาคลอเป้า แล้วเรามองหน้ากันด้วยความปลื้มปีติ นิ่งเงียบงันอย่างรู้ใจ






"ในบรรดาลูกศิษย์ของพี่หยัด ผมน่าจะเป็นคนที่ใกล้ชิดมากที่สุด ติดตามมาเป็นเวลา ๖๕ ปี รับใช้มาตั้งแต่พี่เป็นนักศึกษาศิลปากรอยู่ปีที่ ๕ ผมอยู่ปี ๑ เพาะช่าง ถือเป็นเทพบุตรในความคิดของพวกเรา เป็นคนเขียนรูปเก่ง เรียนรู้งานเขียนรูปจากรูปของพี่ตอนเรียนเพาะช่าง ทำให้รู้คำว่า spirit หรือจิตวิญญาณ คำว่าสร้างสรรค์เป็นอย่างไร ตั้งแต่นั้นผมก็ตามรอยเท้าพี่เข้ามาเรียนศิลปากรเพื่อให้รู้ว่าศิลปะเป็นอย่างไร" ศิลปินแห่งบ้านดำบอก ทั้งยังระบุ ประหยัด พงษ์ดำ เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมและภาคภูมิใจของศิลปิน เพียบพร้อมไปด้วยสุนทรียภาพ ความงาม ความดี สัจธรรม รอบรู้ มีคารมคมคาย อารมณ์ขัน และมีเสน่ห์เร้าใจต่อผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง






ถวัลย์ ดัชนี ยืนยัน ประหยัดนอกจากทำงานศิลปะ ยังเป็นครูบาอาจารย์ได้สอนแผ่นดินและโลก ได้คืนทุกอย่างให้แก่มนุษยชาติ วันนี้ในวัย ๘o ปี ได้รับค่าจ้างเป็นมหาอาณาจักรที่สร้างขึ้น คือหอศิลป์ นับเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อนพ้องน้องพี่ ศิลปินน้อยใหญ่ ศิลปินแห่งชาติทัศนศิลป์ทุกสาขา ภาพพิมพ์ สื่อผสม ประติมากรรม ได้มาเพื่อแสดงมุทิตาจิตให้แก่ศิลปิน เป็นอนันตความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุดของพวกเราที่รักมาตลอด






"ถ้าไข่มุกเป็นเทวาลัย น้ำตาของหอยที่อาบรดจนกระทั่งกลายเป็นไข่มุก ต้องขอบอกว่าบ้านพี่หยัด Palazzo Pavone เป็นไข่มุกของน้ำตาปีติ ซึ่งหลั่งรดให้แก่แผ่นดิน” ถวัลย์บอกจากหัวใจ จากนั้นอาจารย์สถาพร ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ถ่ายทอดกวีนิพนธ์ที่เขียนขึ้นมาแบบฉับพลันระหว่างเดินทางมาเขาใหญ่ มอบให้ อ.ประหยัด และผู้มาร่วมงานให้ฟังอย่างตราตรึง






ในโอกาสสำคัญนี้เอง อาจารย์ประหยัดบอกจุดเริ่มต้นให้เกิดความคิดอยากสร้างหอศิลป์ภาพพิมพ์ขึ้นว่า อยากทำสตูดิโอเขียนรูปและมีบ้านพักหลังเล็ก ๆ ในพื้นที่เดียวกัน บวกกับเมื่อปี ๒๕๕๔ หนีน้ำท่วมจากบางแคไปอยู่บ้านพักที่พัทยา บรรยากาศสงบเงียบ ส่งผลดีกับการทำงานศิลปะและสุขภาพ ปรึกษาลูก เขาให้ทำเป็นแกลลอรี แต่ตนอยากสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ สรุปมาได้ที่เขาใหญ่ ด้านหลังเห็นเขานกยูง เขตรักษาพันธุ์ฯ เขานกยูง เป็นที่มาตั้งชื่อหอศิลป์ภาษาอิตาเลียน Palazzo Pavone คำว่า "Pavone" แปลว่า "นกยูง" โดยศยมภู พงษ์ดำ ลูกชายที่มีอาชีพสถาปนิก ออกแบบสไตล์อิตาเลียนชนบทตามใจพ่อ เพราะเคยได้รับทุนจากรัฐบาลอิตาลีไปศึกษาต่อทางศิลปะ นอกจากแสดงผลงานยังเป็นสตูดิโอทำงาน ทุกคนเข้าชมช่วงที่ตนทำงานแกะภาพพิมพ์ได้






"ผมเป็นครูมาตลอดชีวิต หลังเกษียณก็สอนต่อ แล้วยังมีเด็กๆ ไปที่บ้าน จิตวิญญาณการสอนยังไม่หมด อยากสร้างที่นี่เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ถือเป็นหอศิลป์ภาพพิมพ์โดยเฉพาะ ในเมืองไทยยังไม่มีมากนัก ส่วนมากซื้อผลงานมาแสดง แต่ที่ Palazzo Pavone ศิลปินทำและแสดง เข้ามาชมแล้วอย่างน้อยได้เห็นในสิ่งที่ผมทำ จดจำ เหตุที่สร้างไกลในต่างจังหวัด เพราะ กทม.มีหอศิลป์เยอะ เปิดแสดงงานทุกวัน แต่เด็ก ๆ แถวนี้ไม่หอศิลป์ให้ดู ควรสร้างโอกาสให้พวกเขาได้รับรู้การทำงานศิลปะที่ถูกต้องเป็นอย่างไร" อาจารย์ประหยัดยืนยันเจตนารมณ์





ผลงานออกแบบดวงตราไปรษณียากร
ที่ระลึกครบรอบ ๕o ปีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๗



ในวัย ๘o ปี บนทางสายศิลปะ ศิลปินแห่งชาติผู้นี้ถ่ายทอดและสร้างสรรค์ผลงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการชื่นชมว่าเป็นศิลปินที่มีส่วนสำคัญในการยกระดับวงการศิลปกรรมชาติ อาจารย์ประหยัดบอกถึงคุณค่าของคนให้ได้คิดว่า ประสบการณ์และองค์ความรู้หากมีประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ควรให้เด็กรุ่นหลังได้ศึกษา พัฒนา และต่อยอด อย่าหวงวิชา หากลูกศิษย์ดีกว่าเราจะดีใจมาก


"คุณค่าอยู่ที่ความจริงใจในการทำงานศิลปะ จรรโลงจิตใจของผู้คนให้สูงขึ้น ไม่ใช่ทำแล้วเงินมา ทำดีทุกอย่างจะมาเอง ทำไม่ดีจะวูบวาบ ศิลปินรุ่นใหม่ขอให้ขยันหมั่นเพียร อย่าเบื่อง่าย หาวิธีการทำงานให้สนุก ผมยังสนุกกับการทำงานที่รัก" ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ฝาก






ได้ไปเห็นหอศิลป์ Palazzo Pavone กับตา พูดคุยกับศิลปินแห่งชาติเจ้าของบ้าน บอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมมาก ได้ความรู้สึกเหมือนชมผลงานในห้องปฏิบัติการที่ศิลปินกำลังทำงาน เปิดให้เข้าชมฟรี ในอนาคตอันใกล้จะมีกิจกรรมสร้างสรรค์ภาพพิมพ์สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคอร์สระยะสั้นและระยะยาว สามารถทดลองทำงานบนแท่นพิมพ์เดียวกับที่ศิลปินแห่งชาติใช้สร้างงานรางวัลระดับชาติ รวมถึงมีห้องแสดงผลงานหมุนเวียนของศิลปินเพื่อให้หอศิลป์มีชีวิตชีวา.







ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
siamrath.co.th
เฟซบุคประหยัด พงษ์ดำ














"เยือนนันทบุรีตามใจ 'สิเนหามนตาฯ'”


เงียบสงบแต่มอบมนต์สะกดใจให้แก่ผู้มาเยือนเสมอ สำหรับนครนันทบุรี หรือ "จังหวัดน่าน" เมืองเล็กที่ควรยกให้เป็นสถานที่พักผ่อนอันดับต้น ๆ ในแผนการท่องเที่ยวสักครั้งในชีวิต ด้วยบรรยากาศความเป็นมิตร เรียบง่าย ไม่รีบร้อน รายล้อมด้วยประวัติศาสตร์ล้านนาที่มีอยู่ในวัดวาอารามเก่าทุกซอกมุมเมือง และหากย้อนไปเมื่อ ๔ ปีก่อน บุคคลดังแห่งวงการธุรกิจ บัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ก็เป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์เมืองน่านเข้าอย่างจัง ถึงขั้นเกิดแรงบันดาลใจให้ศึกษาบ้านเมืองเก่านี้รอบด้าน ทั้งความเป็นอยู่ ภาษา ศิลปวัฒนธรรมและกลั่นกรองออกมาเป็นหนังสือนิยายกึ่งประวัติศาสตร์ด้านเงาและแจ้ง (อดีต-ปัจจุบัน) ในชื่อ "สิเนหามนตาแห่งล้านนา" ที่โลดเล่นอยู่ในโลกของนักอ่านมาเกือบ ๑ ปีแล้ว จนเป็นเรื่องราวก่อเกิดความอยากรู้อยากสัมผัส สถานที่ในแต่ละฉากที่มีอยู่จริงในเมืองน่าน ทำให้วันนี้นักท่องเที่ยวไม่น้อยนิยมเดินทางตามรอยหนังสือเล่มนี้มาที่เมืองน่านเพื่อได้ยลโฉมฉากสวย ๆ ประหนึ่งเป็นตัวประกอบอยู่ในหนังสือสักบทหนึ่ง






เฉกเช่นการเดินทางครั้งนี้ เรามาย้อนรอยหนังสือพร้อมคณะนักอ่านจากเดอะวิสดอม ธนาคารกสิกรไทย ที่ไม่ใช่แค่มาสืบรู้เรื่องนิยายเท่านั้น ประวัติศาสตร์ และศิลปะแบบน่านก็ยังสะกดอารมณ์ทุกคนให้ตื่นตาตื่นใจไปด้วย จากการเล่าเรื่องราวโดยไกด์กิตติมศักดิ์อย่าง อ.เผ่าทอง ทองเจือ ที่บอกว่านิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยตัวละคร ๒ ยุค ๒ สมัย เล่าคร่อมประวัติศาสตร์ล้านนา และสถานที่ที่มีอยู่จริง เริ่มต้นกันที่วัดภูมินทร์ ฉากการมาเยือนน่านครั้งแรกของสาวสมัยใหม่อย่าง รุ้งราตรี นางเอกของเรื่อง ซึ่งมาที่วัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจ.น่านแห่งนี้เป็นที่แรก เป็นวัดหนึ่งเดียวในไทยที่สร้างเป็นทรงจัตุรมุข เป็นทั้งมหาเจดีย์ พระวิหารและพระอุโบสถอยู่ในที่เดียวกัน ไม่มีจารึกชัดเจนว่าว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในปี ๒๑๔๖ มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่า ที่นี่มีความเก่าไม่ต่ำกว่า ๕oo ปี ทั้งสถาปัตยกรรม ภาพฝาผนังมีการวาดขึ้นตอนปลายรัชกาลที่ ๔ ต้นรัชกาลที่ ๕ รูปของหนุ่มสาวกระซิบรัก ซึ่งชาวน่านเรียกคู่รักคู่นี้ว่า "ปู่ม่าน ย่าม่าน" เป็นดังภาพต้อนรับการมาเยือน เพราะนอกจากในวัดนี้แล้วก็ยังมีรูปนี้อยู่ทั่วทั้งเมือง






ตามท้องเรื่องเมื่อพระญาผาสุริยา ตัวเอกของนิยายเล่มนี้ถูกวางไว้อยู่ในยุคต้นราชวงศ์ภูคา หรือประมาณ ๖-๗ ร้อยปีที่แล้ว สามารถกอบกู้เอกราชบ้านเมืองตัวเองมาได้ และได้ปกครองเมืองวรนคร หรือ อ.ปัว ในปัจจุบัน โดยความรุ่งเรืองของเมืองปัวในอดีตอยู่ที่เม็ดเกลือ เพราะมีราคาแพงยิ่งกว่าทองนับเป็นยุทธปัจจัยในสมัยโบราณ หลายนครทางเหนือทั้งอยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ หลวงพระบาง มักยกทัพชิงเมืองปัวเพื่อนำเกลือมาถนอมอาหาร ในปัจจุบันแหล่งเกลือสินเธาว์ยังตั้งอยู่ใน ต.บ่อเกลือ แน่นอนว่ายุคนี้เกลือไม่ใช่ของสำคัญ แต่ชาวบ้านยังคงสืบต่อการต้มเกลือไว้อย่างดีมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี และไม่เปลี่ยนแปลงกรรมวิธีแต่อย่างใด






อีกหนึ่งฉากที่เล่าถึงความเป็นมาของ จ.น่านได้ดีที่สุดคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตัวอาคารในอดีตเป็น “หอคำ” หรือคุ้มของเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงสร้างเป็นที่ประทับเมื่อปี ๒๔๔๖ ในนี้มี “งาช้างดำ” ที่ได้รับมาจากเชียงตุงและกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด ถูกอัญเชิญวางบนครุฑซึ่งเป็นสัตว์พาหนะของพระนารายณ์ เป็นสมบัติของชาติอันสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์สุดขีดของป่าไม้เมืองล้านนา และประเทศเพื่อนบ้านในสมัยก่อนซึ่งหาช้างพิเศษเหล่านี้ไม่พบแล้วในปัจจุบัน โดยในทริปนี้ยังได้ตามรอยสถานที่สำคัญอีกมากมาย อาทิ วัดป่าคอวัง วัดพระธาตุแช่แห้ง และวันต้นแหลง ซึ่งเสน่ห์ที่แท้จริงอยู่ตรงความสงบ มีสถาปัตยกรรม ประเพณีการทำบุญดั่งเดิมราวย้อนไปในอดีต สวยงามไม่เอาใจคนสมัยใหม่แต่อย่างใด






หลังจากเที่ยวตามรอยมาบางส่วน "ปั้น" บัณฑูร ล่ำซำ ผู้ประพันธ์ สิเนหามนตาแห่งล้านนา บอกเล่าถึงเสน่ห์ของประวัติศาสตร์และเมืองน่านในปัจจุบันว่า ความเป็นล้านนาตะวันออกมีการจดประวัติศาสตร์ในแถบนี้น้อยมาก เป็นตำนานที่ยังไม่มีใครยืนยันได้ ๑oo เปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักวิชาการและนักเขียนมืออาชีพที่นี่จึงเป็นพื้นที่ใช้จินตนาการในงานประพันธ์ได้เต็มที่


"เรื่องความเป็นไปของเมืองน่านในปัจจุบันเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เช่น การแทรกเรื่องการเมือง การปกครอง งานบริหารต่าง ๆ รวมถึงการรักษาป่าเมืองน่านที่เป็นปัญหาใหญ่ในตอนนี้ ขณะเดียวกันก็เล่าไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่มนุษย์ต้องรู้ว่าบริบทชีวิตที่มาของประเทศที่เราอยู่ บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร ทำให้เกิดปัญญาไปอีกขั้นหนึ่งที่จะพิจรณาความเป็นไปในสังคมปัจจุบันได้ พูดได้ว่าระยะเวลา ๔ ปี ที่หลงรักและมาอยู่ใน จ.น่าน วัฒนธรรมของนันทบุรีนี้แน่นหนาพอสมควรไม่สามารถมาทำลายได้ง่าย ๆ ยังมีเสน่ห์ที่ความสงบ นุ่มนวล มีไมตรีจิตอยู่เสมอ" ผู้เขียนบอกถึงน่านในมุมมองของสิเนหามนตาแห่งล้านนา



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net













"งานพบปะกับ เจ้าชายน้อย และมูลนิธิแซง-เต็กซูเปรี”


เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗o ปีของการตีพิมพ์วรรณกรรมเรื่อง เจ้าชายน้อย (ตีพิมพ์ครั้งแรกที่นิวยอร์ค ค.ศ. ๑๙๔๓) โอลิวิเย่ร์ ดาเกย์ ตัวแทนจากตระกูลของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรีและผู้ดูแลมูลนิธิ อองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรีเพื่อเยาวชน จะเดินทางมาที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกและมาที่สมาคมฝรั่งเศสเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและผลงานของบรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเขา ท่านจะได้รับฟังการบรรยายที่ไม่เคยจัดที่ไหนมาก่อนเกี่ยวกับชะตาชีวิตที่ไม่เหมือนใครของชายผู้ไม่มีใครเหมือนผู้นี้ โดยจะเริ่มจากชีวิตวัยเด็ก จนถึงการก้าวสู่การเป็นนักบินพาณิชย์และนักบินทหาร ตลอดจนผลงานวรรณกรรมของเขา


หลังการสัมนาจะมีพิธีเปิดงานนิทรรศการภาพถ่ายโดยมาโนโล เครเตียงน์ : “แซง-เต็กซูเปรี เจ้าชายน้อยและการบินฝรั่งเศส”


บรรยายเป็นภาษาฝรั่งเศส
วันพฤหัสบดีที่ ๖ มีนาคม เวลา ๑๙.oo น.
ห้องออดิทอเรียม สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ เลขที่ ๑๗๙ ถนนวิทยุ
บัตรราคา ๒๕o บาท (จำหน่ายที่สมาคมฝรั่งเศส)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. o๒-๖๗o-๔๒๓๑
chalanthorn.kidthang@afthailande.org



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุคสมาคมฝรั่งเศส














"55 Thesis is HAPPY”


ขอเชิญผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร “55 Thesis is HAPPY” เพราะธีสีสมีความสุข และขอเชิญร่วมพิธีเปิดนิทรรศการในวันพฤหัสบดีที่ ๒o มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.oo น. ณ สวนแก้ว มหาวิทยาลัยศิลปากร


นิทรรศการ : วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร “55 Thesis is HAPPY” เพราะธีสีสมีความสุข
วันที่ : ๒๑ มีนาคม – ๕ เมษายน ๒๕๕๗
สถานที่ : PSG ART GALLERY คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ และ หอศิลปะสถาปัตยกรรม พระพรหมพิจิตร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ : เฟซบุคนิทรรศการ































































































ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com
เฟซบุคนิทรรศการ














"ULTIM”


“ไม่มีอะไรน้อยกว่านี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ !” อาจกล่าวได้ว่านี่คือคำแถลงของศิลปินที่เรียกตนเองว่าศิลปินแนวรูปธรรม กระแสของศิลปะรูปธรรม ก่อให้เกิดการรวมตัวของผลงานศิลปะแนวมินิมอลลิสต์ที่สร้างสรรค์งานศิลป์โดยใช้หลักเหตุผล วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ คอลเลกชั่น ULTIM. ซึ่งจะจัดแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ นำเสนองานภาพพิมพ์มากกว่า ๕o ชิ้น ที่มีลายเซ็นของศิลปิน และผลิตในจำนวนจำกัดจากหลากหลายงานเวิร์คช็อปภาพพิมพ์ ที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ แอริค ทีลบูรี คือผู้รวบรวมผลงานของศิลปิน ร่วมสมัย ๑๓ คนทั้งจากยุโรปและที่ต่างๆ ซึ่งจะออกจำหน่ายต่อไปในอนาคต ทั้งนี้เขาจะมาบรรยายเกี่ยวกับ ศิลปะรูปธรรม หลักการ ประวัติความเป็นมา เพื่อเกริ่นนำก่อนเข้าสู่พิธีเปิดนิทรรศการ






ชีวประวัติของแอริค ทีลบูรี ลูกครึ่งฝรั่งเศสสวิส เป็นสถาปนิกที่สำเร็จการศึกษาจาก École Polytechnique Fédérale de Lausanne จากนั้นจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ เขามาเป็นอาจารย์ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เขาขอบวาดภาพและเคยจัดแสดงภาพสีน้ำรูปทรงเรขาคณิตที่กรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากหลังคาวัด (W(H)AT ROOF) เขาเป็นผู้ดูแลพื้นที่ศิลปะแห่งใหม่บนอินเตอร์เน็ตที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมและขายภาพพิมพ์รูปทรงเรขาคณิตของเอเชีย






นิทรรศการ : “ULTIM. เชิดชูศิลปะรูปธรรมในหลากหลายรูปแบบ” (บรรยายเป็นภาษาฝรั่งเศส)
ร่วมเปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ ๓ เมษายน เวลา ๑๙.๓o น.
สถานที่ : สมาคมฝรั่งเศส กรุงเทพ เลขที่ ๑๗๙ ถนนวิทยุ
บัตรราคา : ๒๕o บาท (จำหน่ายที่สมาคมฝรั่งเศส)
วันที่จัดนิทรรศการ (เข้าชมฟรี) : วันที่ ๓ -๒๗ เมษายน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร : o๒-๖๗o-๔๒๓๑
อีเมล : chalanthorn.kidthang@afthaialnde.org
เว็บไซต์ : //www.et-artspace.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














“พุทธมณฆลทราย และ ศิลปะจากเนยแข็ง”


พุทธมณฆลทราย หรือ มันดาล่าทราย (sand mandala) ซึ่งทำจากการนำเม็ดทรายที่ย้อมสีมาจัดเรียงกัน คำว่า "มันดาล่า" แปลตรงตัวว่า “ซึ่งล้อมรอบจุดศูนย์กลาง” โดยใช้ในความหมายควบคู่ไปกับคำว่า “โพธิ” หรือการตื่น การบรรลุธรรม ซึ่งบ่งถึงสถานที่นั่งภายใต้ต้นโพธิ์ที่ซึ่งการตรัสรู้อย่างสมบูรณ์ได้เกิดขึ้น


มันดาล่า คือ จักรวาลอันบริสุทธิ์ ที่ซึ่งสิ่งประเสริฐทั้งมวลถูกรวมไว้อยู่ภายในวงกลมศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการทำมันดาล่าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นการแสดงออกแห่งสภาวะของการรู้แจ้งอย่างถ่องแท้ เนื่องจากต้องมีความประณีตในการทำสูงมาก นอกจากนี้การทำมันดาล่ายังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิอีกด้วย


โดยทั่วไปแล้ว มันดาล่าจะถูกแสดงไว้เป็นรูปแบบสองมิติ ทำจากกระดาษ สิ่งทอ และผงทรายย้อมสี สำหรับมันดาล่าที่ทำจากทรายเมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็ทำถูกทำลาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งในจักรวาล


จะมีมาให้ชม ในโอกาสเเปิด เทศกาลอินเดีย( India Festival) ในวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๙.oo น. เป็นต้นไป ณ ลานตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร และจัดแสดงให้ชมไปจนถึง วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ อันเป็นส่วนหนึ่งของงาน “วัชรยานบูชา การบำเพ็ญกุศลพระศพทางพระพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก สัมพันธ์ อินเดีย-ไทย”


นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงศิลปกรรมที่สร้างจากเนยแข็งที่หาดูยาก แต่มีอยู่แพร่หลายในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ทิเบต เป็นเนยแข็งจาก yak ซึ่งจะถูกนำมาย้อมสี และแกะสลัก ปั้น ตกแต่งเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีทางศาสนาหรือในวันสำคัญเช่นปีใหม่


ขณะที่ตลอด เทศกาลอินเดีย ซึ่งจัดขึ้นโดย สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย และ กระทรวงวัฒนธรรม รัฐบาลอินเดีย ระหว่างวันที่ ๑๙-๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


ยังมีอีกหลายกิจกรรมเกิดขึ้นในหลายสถานที่ดังต่อไปนี้

**วันที่ ๑๙ - ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.oo น.
พุทธมโหสพ - มณฑลทราย สถาปัตยกรรมเนยแข็ง ระบำลามะ และบทสวดลามะ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เลขที่ ๒๔๘ ถนนพระสุเมรุ กรุงเทพฯ


**วันที่ ๒๑ - ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗
เทศกาลอาหาร ณ โรงแรม รอยัล ออร์คิด เชอราตัน เลขที่ ๒ เจริญกรุง ซอย ๓o สี่พระยา บางรัก กรุงเทพฯ


**วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑o.๓o น.

การประชุมเชิงปฏิบัติการโยคะ บอลลี ฟิต
อภิโล คูโว - ระบำชัยชนะจากนากาแลนด์ และเมเฮนดิ (ศิลปะงานเพ้นท์มือ) ณ หอดนตรี และการแสดงอโศกมนตรี ๑ ชั้น ๔ อาคารนวัตกรรม ศ.ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สุขุมวิท ซอย ๒๓ กรุงเทพฯ


**วันที่ ๒๒ - ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๗
การประชุมเชิงปฏิบัติการและ การสาธิตโยคะ Divine Yoga ณ เลขที่ ๒๘๓/๔o อาคารสำนักงานโฮมเพลส ห้อง o๘o๒ ชั้น ๘ ซอย สุขุมวิท ๕๕ คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ และที่ศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย อาคารจัสมิน ซิตี้ ทาวเวอร์ ชั้น ๒๗ สุขุมวิท ซอย ๒๓ กรุงเทพฯ


**วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.oo น.
ระบำและบทสวดลามะ อภิโล คูโว ระบำชัยชนะจากนากาแลนด์ ณ หอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ


**วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๓.oo น.

การแสดงรามายณะ มหาวิทยาลัยบูรพา ณ ๑๖๙ ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี


**วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.
การแสดงรามายณะ ณ ศาลาเฉลิมกรุง เลขที่ ๖๖ ซอย ศาลาเฉลิมกรุง ถนน เจริญกรุง วังบูรพาภิรมย์ พระนคร กรุงเทพฯ


**วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑o.๓o น. (นิทรรศการจะมีไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗)
นิทรรศการพุทธศาสนา ณ G23 ชั้น ๓ อาคารนวัตกรรม ศ.ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สุขุมวิท ซอย ๒๓ กรุงเทพฯ


และมีขึ้นอีกครั้ง วันที่ ๓ - ๗ เมษายน ๒๕๕๗ ณ สยามพารากอนร่วมกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














"Conflicted Visions”


WTF เเกลลอรี่ มีความยินดีขอเชิญท่านเข้าร่วมงานนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีเนื้อหาทางการเมือง ภายใต้ชื่อ Conflicted Visions “งานศิลปะทุกชิ้นถือได้ว่ามีนัยกางการเมืองอยู่เสมอ


เพราะมาจากการนำเสนออย่างมีทัศนมิติของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เเละตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ของสังคม ตัวอย่างเช่น งานรูปกระป๋องซุปเเคมเบลล์ของ Andy Worhol ที่ตีความได้ว่าเป็นการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมการบริโภค มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมดังกล่าว ส่วนภาพเขียน abstract ของ Jackson Pollock เป็นการประกาศถึงบทบาทเเละหน้าที่ของศิลปิน ที่ควรมีอิสระเสรีในการทำงาน ปราศจากการกีดขวาง หรือสร้างงานบนความต้องการที่จะให้ศิลปะเป็นเพียงภาพที่เรารู้จักเเละคุ้นเคย การเมืองเป็นเนื้อหาที่หาดูได้อย่างง่ายดายในผลงานศิลปะยุค Postmodern อย่างเช่นภาพวาดเหมือนของพระมหากษัตริย์ หรือโป๊ป ที่มักถูกผลิตขึ้น เพื่อประกาศการเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของสังคม” บทความคัดจากหนังสือ ‘Artspeak’ โดย Robert Atkins 1997


เหตุการณ์ความไม่สงบเเละความรุนเเรงทางการเมืองในประเทศไทย ตั้งเเต่ปี ค.ศ. ๒o๑o ถึงปัจจุบัน ได้กระตุ้นให้มีการเเสดงความคิดเห็น ความกังวล เกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองจากประชาชนชาวไทยในทุกระดับอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเเตกเเยกเเละเเบ่งข้างในสังคมที่เกิดจากความเเตกต่างทางความคิดเเละอุดมการณ์ทางการเมือง ได้จุดประกายเเละปลุกเร้าให้ชาวไทยออกมาเเสดงจุดยืนทางความคิดจากหลายสาเหตุ อาทิเช่น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง, เพื่อการเเสดงความไม่เห็นด้วย, ไม่พอใจ หรือการหาพื้นที่ในสังคมที่เหมาะสมกับตนเอง ไปจนถึงสาเหตุที่มากไปกว่าเรื่องการเมือง


ประเด็นเรื่อง ศีลธรรม, จรรยาบรรณ, ประเพณีนิยม, ความรักชาติ เเละโครงสร้างอำนาจเเบบเดิมได้ถูกยกออกมาตีความใหม่ เเละนำออกมาใช้เป็นประเด็นในการโฆษณาชวนเชื่อจากกลุ่มคนที่มีอิทธิพลหลายกลุ่ม ที่คอยส่งเนื้อหา ข้อมูล เพื่อเป็นการยกระดับอุดมการณ์ทางการเมืองต่างๆที่ตนเองเชื่อ ผลที่เกิดขึ้นคือการเเยกขั้วอย่างรุนเเรงทางด้านความคิดทางการเมือง ซึ่่งเเผ่ขยายอย่างรวดเร็วในกลุ่มประชากรไทยทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นชั้นรากหญ้า ชนชั้นนักคิด หรือผู้มีฐานะเเละอำนาจสูงสุดของประเทศ


ด้วยสถานการณ์ที่มีบรรยากาศการต่อต้านการมีบทสนทนาเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองอย่างอิสระ หรือความพยายามเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ศิลปินเเละนักคิดทั่วประเทศไทยที่มีความอัดอั้น ได้ออกมาเเสดงทัศนคติของตนเองอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของผู้บริหารหรือระบบการบริหารบ้านเมือง การสร้างงานโฆษณาชวนเชื่อเพื่ออวยระบอบทางการเมืองระบอบใดระบอบหนึ่ง หรือการตั้งคำถามทางวัฒนธรรมเเละความเป็นชาตินิยม ชำเเหละความคิดของมวลชนในประเทศ ในขณะที่ศิลปินบางกลุ่มที่ออกมาเเสดงจุดยืนโดยไม่ได้สนใจประเดฺ็นทางการเมืองมากไปกว่าเป็นการเเสดงออกเพื่อสังเกตหรือตรวจสอบระบบความคิด อารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความสับสน ความโกรธ ทิฐิทางอารมณ์ หรือความเคลือบเเคลงใจ

นิทรรศการ Conflicted Visions ประกอบไปด้วยผลงานศิลปะที่สร้างในระหว่างปี ค.ศ. ๒o๑o-๒o๑๔ โดยศิลปินไทยทั้งหน้าใหม่เเละศิลปินที่มีเป็นที่รู้จักอย่างดี ๗ ท่าน ที่ต่างได้ทำงานศิลปะที่ใช้สื่อที่หลากหลาย เเละได้รับเเรงบันดาลใจการเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

มานิต์ ศรีวานิชภูมิ หนื่งในศิลปินภาพถ่ายที่เป็นที่รู้จักท่านหนึ่งในประเทศไทย ได้สร้างผลงานภาพถ่ายชุดใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Obscene Mantra โดยยกประเด็นการทำโฆษณาชวนเชื่อ ด้วยการจำลองวรรณกรรมล้อเลียนโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเเละพฤติกรรมของผู้บริหารประเทศที่ศิลปินไม่เห็นด้วย ซึ่งในอีกเเง่อาจกล่าวได้ว่าผลงานชุดนี้คือโฆษณาชวนเชื่อด้วยเช่นกัน


ถึงเเม้สุธี คุณาวิชยานนท์ เเละ ประกิต กอบกิตวัฒนา จะมีจุดยืนทางการเมืองที่เเตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เเต่ผลงานศิลปะจัดวางที่ศิลปินทั้งสองท่านร่วมเเสดงในนิทรรศการครั้งนี้คืองานบางส่วนจากนิทรรศการ ‘ดีเป็นบ้า!’ โดยสุธี คุณาวิชยานนท์ จากปี ๒o๑๒ เเละ ‘อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป’ โดย ประกิต กอบกิตวัฒนา ในปี ๒o๑๔ ต่างมีวิธีคิดเเละสื่อความหมายที่ใกล้เคียงกัน คือวิธีการล้อเลียน ประชดประชันประเด็นจิตวิญญาณของประเทศ เป็นการตั้งข้อสงสัยในเรื่องความคิดที่ฉาบฉวย เสเเสร้ง หลอกลวง เเละความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นสังคมไทยปัจจุบัน


ผลงานของจักรพันธ์ วิลาสินีกุล ที่ใช้ชื่อว่า “แขวนอยู่ในอากาศ / ทรงตัวบนเส้นเชือก” เป็นการเปรียบเปรย เชื่อมต่อทางความคิดในประเด็นเกมทางอำนาจ ซึ่งเป็นผลให้มีการเปลี่ยนเเปลง สลับสับเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหารเเละผลประโยชน์ตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของกลไกทางการเมืองไทยที่มีความซับซ้อนเเละมีการทุจริตอยู่สูง


ผลงานของพิสิฐฎ์กุล ควรเเถลง เเละมิติ เรืองกฤตยา ต่างอ้างอิงสถานการณ์ทางการเมือง ด้วยการสังเกต คาดคะเน เเละระบายความขัดข้องใจที่เกิดขึ้นทั้งภายใน เเละรอบตัวของศิลปิน พิสิฐฎ์กุลเลือกที่จะกลับไปใช้การวาดภาพ ไม่เพียงเเค่เพื่อป็นเครื่องมือในการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนจากมุมมองของศิลปิน เเต่ยังเป็นการบำบัดรูปเเบบหนึ่งของศิลปิน ที่ช่วยให้เขาทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมือง สังคม เเละความสับสนวุ่นวายภายในประเทศได้ ส่วนผลงานภาพถ่ายของมิติในชุด “Thai Political No 2″ (2010) เเละ “Thai Political No 3″ (2011) เเสดงถึงการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมวลชนที่ต่างก็เพ่งความสนใจอย่างรุนเเรงจนเกือบอยู่ในภาวะที่ถูกครอบงำ ไปกับตัวเเสดงหลักที่ก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองในปัจจุบันนี้ อันได้เเก่ ทักษิน ชินวัตร, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เเละ อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ


ท้ายสุดนี้ ภัณฑรักษ์ได้เลือกผลงานอีกหนึ่งชิ้นจากศิลปินผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่สร้างผลงานเพื่อที่จะเเสดงบนสื่อโซเชียลมีเดียเท่่านั้น สื่อดังกล่าวถือว่าเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในศควรรษที่ ๒๑ นี้ เเละได้รับความนิยมอย่างล้นพ้นในประเทศไทย ผลงานชุดนี้เป็นการล้อเลียนทางการเมือง เเละการวิจารณ์ที่ใช้ภาพเเละเรื่องเล่าจากหนังสือเรียนของเด็กประถมจากยุค 70s-80s ศิลปินสร้างกรอบทฤษฎีใหม่จากโลกที่ปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่ล้อมรอบไปครอบครัว เพื่อน เเละสุนัขสัตว์เลี้ยง บนบริบทเเละเนื้อหาของความรุนเเรง การเสียดสีประชดประชัน เพื่อที่จะสื่อถึงเรื่องราวของโลกคู่ขนานระหว่างความเดียงสา กับความปากว่าตาขยิบและการใช้วาจาที่สร้างความเกลียดชัง ซึ่งท้ายสุดเป็นการเเสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติของสภาพสังคมไทยในขณะนี้


นิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้เพียงที่ต้องการจะเเสดงความสร้างสรรค์ของศิลปินในการเชื่อมต่อทัศนคติของศิลปินต่อการเมือง หรือการวิพากษ์สังคมเท่านั้น เเต่เป็นการทดลองสถานะการใช้งานเเละสภาวะทางจิตใจของสังคมไทยรวมทั้งกลุ่มศิลปิน ที่มีการเเบ่งขั้วอย่างรุนเเรง ผ่านบทสนทนาเเลกเปลี่ยนบนพื้นที่เล็กๆเเห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกล่างความขัดเเย้งอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ


ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการวันพุธที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


นิทรรศการ : Conflicted Visions
ศิลปิน : ประกิต กอบกิจวัฒนา, สุธี คุณาวิชยานนท์, มานิต ศรีวานิชภูมิ, พิสิฐฎ์กุล ควรเเถลง, จักรพันธ์ วิลาสินีกุล, มิติ เรืองกฤติยา, ศิลปินไม่ประสงค์ออกนาม
วันที่ : ๒-๒๗ เมษายน ๒๕๕๗
สถานที่ : WTF Gallery & Cafe (สถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ)
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : สมรัก ศิลา o๒-๖๖๒-๖๒๔๖, o๘๙-๙๒๖-๕๔๗๔
เว็บไซต์ : //www.wtfbangkok.com
อีเมล : somrak@wtfbangkok.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














"The State of Impermanence”


นำเสนอผลงานภาพพิมพ์ตะแกรงไหมแบบกึ่งสัญลักษณ์และนามธรรมที่ว่าด้วยแนวความคิดเกี่ยวกับหลักธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงแท้ในพระพุทธศาสนา


ความแปรผันไม่คงที่ รวมถึงแนวคิดของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในทุกสภาวะจิตแห่งทุกสรรพสิ่ง ถูกแทนค่าด้วยเส้นสายและสีสันที่สื่อสะท้อนแง่มุมทางความรู้สึกออกมาอย่างสงบงาม


นิทรรศการ : “สภาวะแห่งความไม่เที่ยง”
ศิลปิน : ธำรงค์ศักดิ์ นิ่มอนุสสรณ์กุล
วันที่ : ๒๕ มีนาคม – ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗
สถานที่ : อาร์เดลเธิร์ดเพลส แกลเลอรี (สุขุมวิท ๕๕ ทองหล่อซอย ๑o)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ : o๒-๗๑๔-๗๙๒๙
อีเมล : ardelthirdplace@gmail.com











ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














นิทรรศการ "Where’s My Head"

Where’s My Head
โธมัส โดนัลด์สัน
ละลานตา ไฟน์อาร์ต
๑๙ มีนาคม – ๓o เมษายน ๒๕๕๗



ละลานตา ไฟน์อาร์ต นำเสนอนิทรรศการภาพเขียนในชุด ‘Where’s My Head’ โดยศิลปินร่วมสมัยชาวอังกฤษ โธมัส โดนัลด์สัน


โธมัส ผสมผสานไอเดียการวาดภาพหน้าคน (portrait) และภาพตัวคน (figurative) เข้ากับกลิ่นอายวัฒนธรรม สมัยใหม่ที่เห็นกันทั่วไป ในสื่อโฆษณา และทีวี โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นผิวของผลงานด้วยการใช้ เทคนิคอิมปาสโต ด้วยการใช้สีหนา ทาทับหลายชั้น และการสร้างร่องรอยเพื่อให้เกิดผิวสัมผัสที่น่าสนใจ รวมทั้งความบังเอิญที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพหน้าคน และภาพตัวคนที่โธมัส สร้างขึ้นนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสะท้อนแนวทางการทำงานของศิลปินอย่างชัดเจน






ผลงานกึ่งนามธรรมของโธมัส ในชุด Where’s My Head นี้ ใบหน้าของหญิงสาวบนภาพวาดของโธมัส ถูกซูมเข้ามาในระยะใกล้ โดยตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก เหลือเพียงแต่รูปทรง และเส้นที่สำคัญ เมื่อมองในระยะใกล้ ภาพหน้าหญิงสาวกลับกลายเป็นเพียง องค์ประกอบของฝีแปรง หยดสี และรูปทรงนามธรรม


นิทรรศการ ‘Where’s My Head’ จัดแสดงที่ละลานตา ไฟน์อาร์ต ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม – ๓o เมษายน ๒๕๕๗






ละลานตา ไฟน์อาร์ต ตั้งอยู่ที่ ๒๔๕/๑๔ ถ. สุขุมวิทซอย ๓๑ คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ ๑o๑๑o โทร o๒-๒o๔-o๕๘๓, o๒- ๒๖o-๕๓๘๑ แฟกซ์ o๒-๒o๔-o๕๘๒ อีเมลล์ info@lalanta.com เวลาทำการ วันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา ๑o.oo น. ถึง ๑๙.oo น.







ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net














"ศิลปะสร้างสุข ปี ๓”


ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับสถาบันศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา จัดนิทรรศการ “ศิลปะสร้างสุข ปี ๓” นำเสนอแง่มุมของศิลปะที่มีศักยภาพในการพัฒนาเยาวชนด้วยการสร้างความสุขจากภายในจากโครงการศิลปะสร้างสุขของธนาคาร ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเยาวชนและบุคคลทั่วไป โดยมีศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ประธานกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมจัดเสวนา หัวข้อ “ศิลปะสร้างสุขเพื่อสังคมที่เปลี่ยนแปลง” โดย ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี ผู้อำนวยการสถาบันศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา และครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท วิทยากรประจำโครงการศิลปะสร้างสุข และจัดกิจกรรมสร้างผนังให้มีชีวิตด้วยลมหายใจ สำหรับครู อาจารย์จากสถาบันการศึกษาในระดับประถมศึกษาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่


นิทรรศการ “ศิลปะสร้างสุข ปี ๓” จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ถึง ๔ เมษายน ๒๕๕๗ เว้นวันหยุดธนาคาร ตั้งแต่เวลา ๑o.oo – ๑๗.oo น. ณ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ พร้อมกันนี้ยังจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ศิลปะสร้างสุขให้เยาวชนและผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเอง ได้แก่ กิจกรรมศิลปะสร้างสุข ซึ่งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสุขให้กับเยาวชนระดับชั้นประถม แบ่งเป็น ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ สำหรับประถมศึกษาตอนต้นในวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๙.oo - ๑๕.oo น. และครั้งที่ ๒ สำหรับประถมศึกษาตอนปลายในวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๙.oo - ๑๕.oo น. โดยมีครูมอส- อนุพันธ์ พฤกษ์พันธ์ขจีและครูมัย-ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก เป็นวิทยากร และกิจกรรมเล่านิทานหุ่นมือ-ภาษามือ ซึ่งช่วยเสริมสร้างจินตนาการ และคุณงามความดี ผ่านความรักความอบอุ่นในครอบครัว ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.๓o - ๑๓.๓o น. โดย กลุ่มเล่านิทานจากเครือข่าย ๗Arts Inner Place สอบถามรายละเอียด โทร.o-๒๕๔๔-๓๘๕๘


ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดำเนินโครงการศิลปะสร้างสุขเพื่อพัฒนาเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษที่โรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูลมาอย่างต่อเนื่องกว่า ๓ ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔) โดยร่วมกับสถาบันศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจและวิถีทางของศิลปะให้กับคุณครูโรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูล จนได้คุณครูต้นแบบ ๗ ท่าน ที่สามารถวางแผนและออกแบบกิจกรรมได้ด้วยตนเองและพร้อมที่จะเผยแพร่เป็น “ต้นแบบ” ขยายผลต่อไปยังโรงเรียนปัญญานุกูลในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป โดยธนาคารได้รับความร่วมมือจากสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพิ่มเติมที่โรงเรียนปัญญานุกูลจำนวน ๕ ศูนย์ เพื่อทำหน้าที่เป็นแม่ข่ายในการขยายผลไปยังโรงเรียนปัญญานุกูลอื่น ๆ อีก ๑๔ โรงเรียน ปัจจุบันสำเร็จแล้ว ๒ ศูนย์ ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรีและพิจิตร โดยในปี ๒๕๕๗ นี้ ธนาคารจะเปิดศูนย์เรียนรู้ศิลปะสร้างสุขที่จังหวัดนครราชสีมา ฉะเชิงเทรา และในปี ๒๕๕๘ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตามลำดับ







ภาพและข้อมูลจากเวบ
scb.co.th




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




 

Create Date : 21 มีนาคม 2557
0 comments
Last Update : 23 มีนาคม 2557 22:34:14 น.
Counter : 4881 Pageviews.


haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.