images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

ฉันเป็นพวก 'ทำหมดใจ' แต่ก็ต้องทำด้วยความศรัทธาเท่านั้น แต่ถ้าไม่ใช่แล้วละก็...

เช้านี้เพลียมากเลยค่ะ

แล้วก็ตัดสินว่าความไม่สบายใจทั้งหลายทั้งปวงเลยเถิด
มาจนถึงความป่วยกาย

บ้านหมุน เวียนหัว อ่อนเพลีย เมื่อคืนนี้
ทานยาแล้วหลับเลย หลับไม่รู้เรื่อง พอตื่นมาเช้านี้
ยังรู้สึกเพลีย

วันนี้ขอ 'ถอย' สักวันนะ

เพราะฉันรู้สึกว่า การทุ่มเท การเป็นคนดี การทำงานเต็มที่
กำลังเหวี่ยงฉันเต็มๆ

นอกจากเงินแล้ว ฉันทำงานเพื่ออะไรนี่
เพื่อที่วันหนึ่งจะมีคนเดินมาบอกว่า จะยกงานในส่วนของเรา
ให้คนอื่นทำ
ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี เราไม่ได้ทำอะไรผิดน่ะหรือ

พี่ที่เคารพรักถามว่าทุกวันนี้มีความสุขกับการทำงานไหม
ฉันตอบได้ว่ามี แต่เป็นงานที่รักไหม ฉันตอบได้ว่า ฉันอาจจะรักงานนั่น แต่ไม่เท่าความรักที่มีกับ 'งานในใจ' ที่ฉันรู้ว่ามันคืออะไรหรอก

งานในใจคืองานที่รักและฝัน
แต่งานตรงหน้าคืองานที่ฉัน ทำและจัดการมันได้ดี
แน่นอนว่าฉันภูมิใจ

ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะคะในชีวิต
ใช่ไหม
เพราะสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ของเรา เราทำดีที่สุดใน moment นั้นแล้ว
ฉันบอกตัวเองเสมอว่าเมื่อเราทำดีที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ

ในเมื่อการเปลี่ยนแปลง เกิดจากองค์ประกอบที่เราควบคุมไม่ได้
เขาใหญ่กว่าเรา แล้วเราจะ control อะไรได้หรือ
'คนมีอำนาจ' ก็อยากใช้อำนาจของเขา
เราอยากเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนหมากในกระดานของเขาหรือ

เกมนี้ ไม่สนุกสำหรับฉันแล้วเพราะฉันไม่ชอบเล่นเกม
ฉันเป็นพวก 'ทำหมดใจ' แต่ก็ต้องทำด้วยความศรัทธา
ฉันไม่ใช่ Mister yes ที่อะไรก็ได้ อะไรก็ทำ แล้วเหยียบหัวคนอื่น
เพื่อให้ตัวเองได้ดี
ฉันจะทำมันไม่ได้ดีแน่ๆ ถ้าฉันไม่มีความศรัทธาและนับถือตัวเองมากพอ

เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เรารู้ว่าเราทำทุกอย่างเพื่ออะไร
เราเข้มแข็งเพื่อจะประคองตัวเองแล้ว เราสู้ทุกอย่างแล้ว

มันคงไม่แปลกหากจะบอกว่าเมื่อเหนื่อยก็ต้องหยุด

ใช่ไหมคะ...




 

Create Date : 09 กันยายน 2553    
Last Update : 9 กันยายน 2553 8:09:30 น.
Counter : 533 Pageviews.  

เหนื่อยจัง...

เหนื่อยจังเลย...

กลับบ้านแล้ว บ้านหมุน
บ้านก็อยู่ที่เดิม แต่บ้านในหัวฉัน หมุนติ้วๆๆๆ

เหนื่อยและล้าเกินกว่าจะเขียนอะไรไหว

...




 

Create Date : 08 กันยายน 2553    
Last Update : 8 กันยายน 2553 22:00:23 น.
Counter : 529 Pageviews.  

'ดี เลิศ ไม่มีข้อบกพร่อง' จริงๆหรือ ..

สวัสดีบ่ายวันอาทิตย์ค่ะ

เมื่อวานนี้ฉันไปซื้อของมาตุนไว้ สำหรับเป็นอาหารของวันนี้ทั้งวันแล้ว
วันนี้จึงไม่ได้ออกไปไหน รถได้พักหนึ่งวัน แมวได้ออกไปเที่ยวหลายๆชั่วโมง จากปกติ รถแทบไม่ได้พักและแมวจะได้ออกไปเที่ยวแค่วันละไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ส่วนคนก็ได้พักเหมือนกัน นอนพุงกางอยู่นี่ เพราะกินไม่หยุดมาตั้งแต่เช้า เป็นความสุขที่ได้อยู่เฉยๆ จริงๆไม่ได้เฉยหรอกค่ะ มีผ้าให้ซักแม้จะใช้เครื่องซัก แต่ก็ต้องหิ้วไปตาก ทำอะไรซะบ้างไม่งั้นจะเป็นง่อยเอา

ตั้งแต่หยุดที่จะไปเที่ยวไหนๆ หนึ่งปีต้องไปตามแพลน วันอาทิตย์ของฉันคือการอยู่บ้านทำกับข้าวและเลี้ยงแมวจริงๆ อย่างที่เคยบอกว่าติดแมว .. จังหวะชีวิตในเวลานี้เนิบช้าค่ะ ไม่รู้ช้าเพราะวัย หรือเพราะอะไรกันแน่เหมือนกัน

ที่จะไปไหนยาวๆนานๆนั้นไม่คิด หันกลับมาอยู่บ้าน หาความสุขแบบเรียบง่าย ถ้าบอกตัวเองได้ว่า อะไรคือความสุขของเรา แล้วเราได้ทำอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว จริงไหมคะ

บ้านที่อยู่ก็ออกจะสบายดี หวนคิดถึงตอนที่บ้าน 'ร้อน' จนต้องออกนอกบ้านแล้วก็ให้รู้สึกว่า ตัวเรานี้ช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ที่เลือกแก้ปัญหาด้วยการ 'หนี' อยู่เรื่อย หนี แปลว่าไม่สู้ปัญหา เพราะกลัว หรือเพราะไม่รู้จะสู้กับมันอย่างไร เพราะไม่มีภูมิต้านทานมากพอ หรือเพราะว่าจริงๆแล้ว เป็นคนขี้แพ้กันแน่

แต่ต่อให้เราหนีไปไหน ปัญหามันก็ไม่ได้หนีเราไป มันยังคงอยู่ ตามหลอกตามหลอนเราไปเรื่อยจนกว่าเราจะหันมาตั้งรับและสู้

ชีวิตฉันมีบทเรียนเรื่องการหนีปัญหามาก็ไม่น้อย แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราจนตรอกแล้ว ไม่รู้จะหนีไปไหนแล้ว เรานั่นแหละที่เหนื่อยเอง

ชีวิตคนเรามี 'ปัญหา' กันทุกคนแหละ แล้วแต่ว่าเราจะหยิบมันมาเป็นปัญหาหรือว่าเลือกจะมองผ่านมันไปซะ

นานมาแล้ว เกือบสิบปีที่ผ่านมา ฉันเคยคิดว่าตัวเองนั้น 'สมบูรณ์'
มากค่ะ ชีวิตฉันดี เพียบพร้อมไปหมด ( เรียกว่าไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ ) ไม่เคยลำบากอะไร อยู่ดี กินดี ทำงานดี มีแฟน มีรถ มีบ้าน มีทุกอย่างในระดับที่เรียกว่า สะดวกสบายไม่ต้องดิ้นรน ดูภายนอกฉันนั้น 'สมบูรณ์' ทุกอย่างจริงๆค่ะ

ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่สะสมปัญหา และเป็นที่รวมของปัญหา ด้วยซ้ำไป แต่หารู้ไม่ว่า ฉันนั้นคิดผิดตลอดมา

ช่วงเวลาที่ฉันอยู่กับปัจจุบันอันแสนสุข ฉันเคยคิดอยากทำตัวมีประโยชน์ ก็เลยอยากไปทำงานอาสาสมัครที่มูลนิธิฮอทไลน์ ฉันไปอบรมเป็นอาสาสมัครรับโทรศัพท์ ก็เลยทำให้ฉันได้รู้ว่ามีคน 'อยากตาย' เพื่อหนีปัญหาเยอะมาก และงานของมูลนิธิด้วยการรับโทรศัพท์เป็นเพื่อนรับฟัง เป็นที่ระบายของคนที่มีปัญหาต่างๆนานา ก็ช่วยให้คนเลิกคิดอยากตายมาไม่น้อย

ฉันว่านี่เป็นบุญกุศลจริงๆนะคะ

แต่หลังจากอบรม ฉันไม่ได้เข้าไปทำงานให้เขา จำไม่ได้ว่าติดเงื่อนไขอะไร แต่อย่างไรเสีย ฉันก็ยังอยากจะทำตัวมีประโยชน์ เพราะคิดว่าตัวเองนั้น 'สมบูรณ์' ไงคะ .. อย่างที่บอก ฉันไม่มีปัญหาอะไรเลย ในทางกาย แต่จริงๆแล้วทางใจ ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้น 'พร่อง'

เราไม่ได้สมบูรณ์หรอก เรานั่นแหละที่ขาด จิตใจไม่มั่นคง แย่ที่สุด ร้ายที่สุด คือนอกจากจะใช้อารมณ์กับทุกเรื่องแล้ว ฉันยังเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นเป็นคนประเภท 'วางไม่ลง ปลงไม่เป็น' ทำให้ตัวเอง 'ร้อน' จนเผาคนรอบข้างได้อย่างไม่รู้ตัว มันเป็นมานานแล้ว และฉันไม่เคยรู้เลยว่าการที่ฉันเป็นอย่างนี้ได้ทำร้ายทั้งตัวเองและคนรอบข้างอย่างไร

ที่ร้ายที่สุด ก็คือเรื่องที่ฉันมีปัญหากับน้อง ในเรื่องที่ฉันไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับการกระทำของเขา อย่างที่ฉันเคยเล่าในบล็อกก่อนหน้านี้เรื่อยมา เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำให้ฉันรู้ว่าตัวเองนั้นแย่มากๆ

ความที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์ มันพังทลายลงไปหมดแล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเมล็ดข้าวโพด เมื่อเปลือกของมันถูกลอกออกทีละชั้นๆ ข้าวโพดที่เรียงตัวเป็นระเบียบบ้าง ไม่เป็นระเบียบบ้าง ก็ต้องแยกตัวหลุดออกจากฝัก มันไม่สวยอย่างที่คิดเลย

พอย้อนกลับไปมองตัวเองจากจุดนี้ ฉันรู้สึกละลายใจ ที่คิดว่าตัวเองนั้นดี และเพียบพร้อมมาตลอด ใครอยู่กับฉันไม่ได้ 'คนนั้นต้องแย่มากๆ' ซึ่งมันไม่จริงสักนิดเดียว แต่คนที่อยู่กับฉันไม่ได้เป็นเพราะเขาทนฉันไม่ได้ต่างหากเล่า เห็นไหม.. มันน่าคิดว่าทำไม ฉันจึงกล้าที่จะมองตัวเองแบบนั้นมาตลอด กระทั่งคิดว่าตัวเองจะสามารถรับฟังปัญหาของคนอื่นได้ เพราะตัวเองสมบูรณ์ ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย

คิดผิดอย่างนั้น เพราะอัตตาในตัวเองมันใหญ่ค่ะ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตัดสินทุกอย่างจากมุมของตัวเองหมด เพราะไม่เคยมองข้อบกพร่องของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเปลี่ยนอะไร เพราะตัวเองนั้นสมบูรณ์และ 'ดี' อยู่คนเดียว

ในวันที่มีเรื่องเกิดขึ้นในชีวิต เรื่องบางเรื่องก็สะท้อนตัวเราและเป็นบทเรียนสอนเรา ให้รู้ว่าอย่าได้ทะนงตนนักเลย ไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์จริงๆหรอก โดยเฉพาะตัวเราเอง หากจะเปลี่ยนใครสักคน เราก็ควรเปลี่ยนที่ตัวเอง ไม่ใช่ที่คนอื่น ถ้าตัวเราเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีข้อไม่ดีอย่างไร เราจะกล้าดีไปสอนคนอื่นหรือ...

เมื่อยอมรับว่าตัวเองพร่อง เราก็คือคนเล็กๆคนหนึ่งที่ยังต้องปรับปรุงตัวเองค่ะ

การมองว่าตัวเองนั้น 'ดี เลิศ ไม่มีข้อบกพร่อง' นั้นทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะได้กล่อมเกลาใจตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อเราดูแลใจเราเองได้ดีแล้ว เราจะมีแรงไปช่วยคนอื่นได้อย่างเต็มกำลัง

มันคงยังไม่สายที่ฉันหรือคุณจะลุกขึ้นมาสำรวจ 'ใจ' ตัวเองหรอกค่ะ ในเมื่อเรายังมีโอกาสแก้ตัวขณะยังมีลมหายใจ

แต่อาจจะสาย ถ้าเรายังหลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ

ซึ่งมันไม่จริง !!!




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2553    
Last Update : 29 สิงหาคม 2553 15:43:31 น.
Counter : 614 Pageviews.  

สัจธรรมจากรองเท้า ( แล้วมาเกี่ยวอะไรกับการที่เราจะรักใครสักคน ) !!

วันนี้ทั้งวันฉันพยายามจัดการกับรองเท้าที่ซื้อมา
พยายามจะทำตามวิธีนานา ที่เสิร์ชได้จาก google เพราะกลัวว่าจะถูกรองเท้ากัด โดนแน่ๆ หนังแข็งโป๊ก ส้นสูงสองนิ้ว
ด้วยทรงของมันต้องบีบเท้าน้อยๆของ bewae แน่เลย

เขาบอกว่าให้ลองทาวาสลีนปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ซึ่งฉันเกลียดนักหนาเลย
ด้วยความที่มัน 'ทั้งมันทั้งเยิ้มๆแหยะๆ' ฉันจึงไม่ถูกกับวาสลีนชนิดนี้

แต่ก็เอาค่ะ ลองทำดู ให้รู้ไปว่าจะแหยะขนาดไหน แต่ถ้ามันดีก็ต้องกัดฟันทำ ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว เพราะรู้ว่ารองเท้ากัดมันไม่ใช่เล่นๆนะคะ

กว่าเราจะทำให้ตัวเองชินกับมันได้

เจ็บจริงเลยล่ะ

ที่แน่ๆ เมื่อลองนานาวิธีแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำค่ะ นั่นคือการให้เวลากับมันด้วย

รองเท้า ที่เราเลือกใส่อาจจะด้วยความถูกใจแบบ แต่มันอาจจะบีบรัด ใส่ไม่สบาย หากบางแบบใส่สบายเราอาจไม่ชอบแบบก็มี ของอย่างนี้ว่ากันไม่ได้ค่ะ เพราะว่าต่างคนต่างใจ การเลือกรองเท้า...

จะต่างอะไรกับเมื่อเราคบใครสักคน

ช่วงเวลาที่รองเท้ากัด คือช่วงเวลาที่เราต้องอดทนปรับตัว คุณคงทราบว่ามันไม่ใช่แค่หนึ่งวัน ที่คุณกับรองเท้าจะลงรอย สมานฉันท์ กันด้วยดี แต่คุณต้องทนให้มันกัดอีกหลายๆวัน จนรองเท้าเข้ากับรูปเท้า หนังที่แข็งๆเริ่มอ่อนตัว ท้ายที่สุดเราก็ใส่มันได้อย่างสบายใจ

เห็นไหมคะ ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อเราคบใครสักคนเลย

ไม่มีใครรู้ว่าเรากับเขาจะไปกันได้ไหม ไม่มีใครรู้ว่าเราเลือกถูกหรือผิด เหมือนกับที่เราเลือกรองเท้านั่นแหละ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเราเลือกแล้วเราจะเจออะไร แต่ที่แน่ๆ เราต้องอดทนที่จะผ่านช่วงเวลาปรับตัว ปรับความสัมพันธ์ ไม่ต่างอะไรกับทีเราต้องให้เวลารองเท้าที่เราใส่เช่นกัน

แต่จัดการความสัมพันธ์ย่อมยากกว่าจัดการรองเท้าสักคู่อยู่แล้ว แม้โดยหลักการมันจะคล้ายๆกันก็เถอะค่ะ

รองเท้ารองรับน้ำหนักของเรา แต่คนที่เราคบด้วยไม่ได้มาอยู่กับเราเพื่อรองรับอารมณ์เรานะคะ

ในความรักมีอะไรตั้งหลายอย่างที่เราไม่อาจรู้จนกว่าเราจะได้ลองรัก เหมือนกับเราเองก็ไม่รู้ว่ารองเท้าคู่นี้จะกัดไหม อยากรู้ก็ต้องลองเองเท่านั้น

บางคนมีรองเท้าให้เลือกตั้งหลายคู่ แต่บางคนโชคร้ายไม่มีให้เลือกเลยสักคู่ เต็มใจจะใส่ก็ต้องลองเสี่ยงดู หากจะโดนมันกัดก็หาวิธีรับมือ รองเท้ากัดใช่เรื่องใหญ่ บอกแล้วว่าต้องใช้เวลาค่ะ

รักใครสักคนก็เช่นนั้น ใจร้อนบุ่มบ่าม อาจโดนกัดเหวอะหวะ เจ็บตัว เจ็บใจ จะโทษใครได้ละคะ ในเมื่อเราเลือกเองนี่นา

เซียนความรักบอกว่าอกหักเพียงครั้งยังไม่ตาย เซียนรองเท้าบอกว่าก็เลือกรองเท้าผิดคู่เอง เลยโดนกัดซะ เลือกไม่ดีก็เลือกใหม่ คราวที่แล้วไม่พอดี คราวหน้าก็จะได้บทเรียนเองล่ะ

บทเรียนนี้ต้องจ่ายแพงแค่ไหน เจ้าตัวเองเท่านั้นล่ะค่ะที่ตอบได้ !!




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2553    
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 22:08:19 น.
Counter : 858 Pageviews.  

บทสนทนาที่ทำให้มนุษย์เงืนเดือนอิจฉาเจ๊ขายก๋วยเตี๋ยว..

บ่ายสองกว่า กลับจากซื้ออาหารประจำสัปดาห์ที่ฟู้ดแลนด์แล้ว
กลับมานั่งเขียนบล็อกต่ออีกนิดค่ะ

เสาร์อาทิตย์นี้อยู่บ้านอีกแล้ว เดือนแปดของปีจะผ่านไปอีกแล้วนะคะ นับไปนับมา ปีนี้เป็นปีที่ฉันไม่ได้ออกเที่ยวเลย เป็นปีที่ฉันอยู่บ้านทุกวัน ไม่ได้ไปนอนค้างนอกบ้าน โอ้.. ชีวิตจะพอเพียงอะไรขนาดนี้หนอ

ทั้งฝนยังตก แถมอากาศไม่เป็นใจให้เที่ยว แต่ฉันอยากไปนอนสูดอากาศดีๆตามภูเสียจัง แต่ก็ยังไม่ได้แปลนอะไรทั้งนั้น พอคิดว่าอยากไปเที่ยว จะหนีแมวกุ๊กกี้ไปเที่ยวสักวันสองวัน ก็ใจอ่อนทุกที

ฉันว่าฉันติดแมว เฮ้อ..

ระหว่างทางไปฟู้ดแลนด์ จะกลับบ้าน แวะซื้อบะหมี่ลูกชิ้นปลาร้านโปรดสักหน่อย ร้านนี้อร่อยชนะเลิศ ลูกชิ้นได้ใจมาก ไม่มีคาวเลยค่ะ ยิ่งเส้นบะหมี่นี่ ทั้งเหนียวทั้งนุ่ม อร่อยลื่นกลืนลงคอแล้วชื่นใจ คนละเรื่องกับชายสี่เลยล่ะ (ชายสี่เส้นใหญ่ๆ แข็งๆ แถมขายราคาเท่ากันด้วยนะ )

ร้านเล็กๆนี้ชื่อว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชื้นปลาแต้จิ๋ว เจ้าของร้านกับภรรยาทำกันเองสองคน ร้านเล็กๆ ค่ะ แต่ขายดีระเบิดระเบ้อ ด้วยความที่เขาทำอร่อยและสะอาดด้วย สะอาดตั้งแต่โต๊ะ ยันพื้นเชียวนะ

ฉันไปทานร้านนี้บ่อยจนทั้งเฮียและภรรยาเฮียจำได้ วันนี้ไปสั่งบะหมี่กลับบ้าน ขอหัวไชเท้าใส่น้ำซุปมาด้วย อร่อยดี เธอว่า บ้านฉันอยู่แถวนี้หรือ ( มาทานบ่อย แทบทุกสัปดาห์ ) หยุดเสาร์อาทิตย์หรือ ( ใช่ค่ะ
เพราะฉันทำงานบริษัทฯนี่คะ ) เธอพยักหน้าหงึกหงักแล้วบอกว่า
ดีเนอะ ได้หยุดด้วย ( แต่แหม ใครๆก็ว่าการเป็นเจ้าของกิจการนั้นดีกว่าเป็นลูกจ้างเขานะคะ ฉันเห็นเฮียกับเจ๊เขาขายดีขนาดนี้ ยังอดอิจฉาชีวิตพ่อค้าเตี๋ยวอย่างเฮียไม่ได้เลย )

ฉันก็เลยยิ้มแหยๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะที่เธอบอกว่า ดีเนอะ ได้หยุดด้วยน่ะ เธอคงไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่บรรดามนุษย์เงินเดือนใฝ่ฝันนักหนาก็คือ 'อิสระ' ที่จะได้ทำงานโดยไม่มีใครสั่งนั่นแหละ

ของบางอย่าง ต้องแลก และทุกอย่างที่เราได้ ล้วนมีเสีย ในเมื่อมันมีได้มีเสีย มันก็อยู่ที่แต่ละคนจะรับเงื่อนไขที่ต้องแลกได้หรือไม่นั่นล่ะค่ะ

เรื่อง 'คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า' นั้นเห็นมานักต่อนัก เราไม่มีวันรู้หรอกว่าสิ่งที่เราเห็นจากภาพภายนอก มันจะสวยงามอย่างนั้นจริงหรือไม่

ย้อนอดีตไปเมื่อหลายๆปีที่ยังทำงานในบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ เป็นที่ใฝฝันของบรรดาเด็กนิเทศทั้งหลาย หากบอกใครว่าทำงานอยู่ที่นี่ รับรองว่าจะได้ความภาคภูมิใจกลับมา ใครๆก็อยากทำงานที่นี เพราะได้เห็นดารานักร้องซูเปอร์สตาร์ ได้ทำงานเท่ๆ เข้าไม่เป็นเวลา แต่งตัวอย่างไรก็ได้ ดูสบายดีจัง

ฉันเริ่มชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่นั่นเมื่อปี 2536 เริ่มจากบริษัทฯลูก แล้วย้ายมาบริษัทฯแม่ เกือบสิบปีที่ทำงานอยู่ในแวดวงนั้น

ต้องบอกว่าชีวิตการทำงานที่นั่นให้ประสบการณ์ ให้ความสนุกสนาน แต่ก็เช่นเดียวกันว่างานในแวดวงนั้น มันเหมือนภาพมายา งานที่ใช้ 'ความคิดฝัน' แทบไม่ต้องใช้อะไรในตำราเรียน สิ่งที่เราสัมผัสได้จากงานนั้นใช่ว่าไม่มีนะคะ อย่างน้อย การคลุกคลีกับคนอีกประเภทหนึ่งซึ่งในโลกแห่งความจริงมันคนละเรื่องกัน ก็ทำให้ได้เห็นว่าโลกนี้มีคนสารพัดแบบ

และอย่างไร ฉันก็ยังทำงานในระบบ แม้จะเป็นอีกระบบหนึ่ง ที่ดูโก้เก๋เสียเหลือเกิน

และเมื่อเริ่มไหวตัวว่าตัวเองเริ่ม 'เอียน' กับวงการมายาเลยพยายามพาตัวเองหลีกหนีมาอยู่แวดวงอื่น เมื่อหันหลังให้กับงานประเภทนั้น พาตัวเองมาอยู่กับงานอีกประเภทหนึ่งด้วยตำแหน่งที่สูงกว่า สิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่เงินนะคะ แต่กลับเป็นประสบการณ์อีกแบบที่ในวงการมายาไม่ได้มีให้เราเห็น

อย่างไรเสีย สิบกว่าปีที่ฉันทำงานในระบบ และยังทำอยู่ ก็ทำให้ฉันเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตการทำงานว่ามันไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างในละครสักนิด

เราเรียนไปเพื่ออะไร ? เพื่อไปทำงาน ? งานนั้นให้คุณค่าแก่เราไหม ? และทำไมเราต้องดิ้นรนทำงาน ปากกัดตีนถีบ จำกัดตัวเองให้เป็นมนุษย์ในระบบ 9 to 5 ที่ไม่มีอิสระจะทำอะไรตามใจตัวเองได้ด้วยเล่า

วันที่เงินเดือนออก คือวันที่เราหายเหนื่อยใช่ไหมคะ แต่ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่ งานที่เราทำ ระบบที่เราอยู่ มันกร่อนชีวิตเราไปขนาดไหนแล้ว ถ้าเราทำงานนั้นอย่างซังกะตาย สิ่งที่เราโหยหาคงไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่มันคืออะไรล่ะ ???

ถ้าคุณมีคำถามแบบนี้ มันก็คงไม่ต่างจากที่ฉันมี แต่ฉันก็ยังมีคำตอบให้ตัวเองอยู่ว่า ทำไมฉันจึงต้องทำงาน และจะมีสักวันไหม ที่ฉันจะได้ยืนมองอยู่ข้างนอก มองผู้คนดิ้นรนทำงาน (หาเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เพื่อให้ตัวเองทัดเทียมกับคนอื่นๆ ) แล้วก็อาจมีคำพูดแบบที่เจ๊ขายก๋วยเตี๋ยวพูดกับฉัน

แต่บางที ถ้าฉันเป็นเจ๊ขายก๋วยเตี๋ยว หลังจากที่เป็นมนุษย์ 9 to 5 มาทั้งค่อนชีวิตแล้ว ฉันก็คงไม่พูดแบบเจ๊นะคะ ฉันคงจะไม่อิจฉาพวกมนุษย์ทำงานที่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์ เพราะฉันคงจะมีอิสระกว่าคนพวกนั้น ฉันสิน่าอิจฉากว่า รับเงินสดๆทุกวัน (ฮา) ไม่ต้องรอสิ้นเดือน แถมไม่ต้องโดนใครว่า ไม่ต้องมีใครมาประเมิน KPI ไม่ต้องรองรับ pressure จากนายที่นั่งอยู่ข้างบน ว้า... ทำไมมันดีอย่างนี้ล่ะเนี่ย
( ฮา )

เอาเข้าจริง ฉันว่าเราทุกคนต่างมีเวลาของตัวเองค่ะ และไม่ว่าเราจะเล่นบทบาทไหน ฉันว่าเบสิคที่สุดที่เราควรต้องมีก็คือ ควรทำให้ดีที่สุด
ในทุกสิ่งที่เราต้องทำ

เป็นคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ทำให้ลูกค้ามีความสุข ได้อร่อย ได้สุขภาพ หรือจะเป็นมนุษย์ทำงานในระบบที่มีความสุขกับการทำงาน ฉันก็ว่ามันดีทั้งนั้น

ทั้งหมดอยู่ที่เรามอง และเราเลือกจะเป็นค่ะ !!




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2553    
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 14:42:06 น.
Counter : 552 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.