images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 
บริหารเงินออมแบบน้องปุ๊ก

เมื่อบ่ายได้คุยกับน้องปุ๊กใน FB คุยเรื่องการบริหารเงินกันค่ะ
น้องปุ๊กเป็นน้องใน FB ที่มีทัศนคติเรื่องการใช้ชีวิตและการบริหารการเงินที่ดีและไม่มีทัศนคติที่เป็นลบ ต่อการวางแผนการลงทุน

เนื่องจากฉันเคยเขียนเรื่องเงินๆทองๆในบล็อก และสนใจเรื่องการบริหารวางแผนการเงิน(และชีวิต)อยู่แล้ว และกำลังเขียนต้นฉบับเรื่องการบริหารเงินและชีวิตสำหรับผู้หญิงอยู่ด้วยค่ะ

ขอแชร์จากที่น้องปุ๊กเล่ามาเก็บไว้ให้อ่าน โดยไม่ได้ตัดตอนเลยค่ะ

------------------------------------------

ในชีวิตของพนักงานอย่างเรา รายได้หลักคือ เงินเดือน (มาก น้อย แล้วแต่) สำหรับคนอื่น อาจให้ใช้รอดจนถึงวันที่ 30 ของอีกเดือน สำหรับเรามันมากกว่านั้น ความฝันในวันอีกใกลข้างหน้า คือเจ้าของสวนเกษตรพอเพียง มีสวน ไร่ นา สามารถพึงพาตัวเองได้ แล้วเราจะทำอย่างไง ต้นทุนตอนนั้นก็คือ ติดลบ เพราะต้องใช้หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา อีกเป็นแสน หนี้ที่บ้านอีกหลายตังค์ และต้องส่งน้องเรียน นี้คือหลักยึดแรกของการใช่เงินของเรา คือความฝัน กับปลดหนี้

ดังนั้นตั้งแต่เดือนแรกที่ทำงานจนถึงทุกวันนี้ ทุกเดือนจะต้องถูกจัดสรร ต้องติดบวกเหลือเก็บ แต่ตลอด 120 กว่าเดือนที่ทำงานไม่เคยไม่ให้พ่อ-แม่และยืนยันว่าชีวิตก็มีความสุขได้เที่ยว ได้กิน ได้พักผ่อมตามที่ต้องการไม่ได้ลำบากอะไร (แต่มันก็ต้องสมฐานะ)

เริ่มแรก ช่วงสัก2-3 ปีแรกของการทำงานได้ทำงานในส่วนของสัตวบาลฟาร์มอยู่นครนายก เงินเดือนส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ใช้เพราะที่ฟาร์มมีให้หมด อาหาร 3 มื้อ ที่พัก น้ำ ไฟฟ้า ชุดที่ทำงานในฟาร์ม ฟรีหมด หนึ่งสัปดาห์ได้ออกจากฟาร์ม แค่ หนึ่งวัน จะใช้เงินก็ตอนนี้แหละ ออกมาก็ใช้เต็มที่ซื้อของมาตุน ซื้อหนังสือ หนัง มาไว้ ส่วนเรื่องสังสรรค์ ก็มีเพื่อนว่ะเวียนบ้าง ยังไปกินเหล้า เที่ยวกลางคืนบ้าง การเก็บเงินในช่วงนี้ก็เหลือจากใช้แล้วเข้าบัญชีออกทรัพย์ กับฝากประจำ ดังนั้นเงินที่เหลือแต่ละเดือนยังไม่แน่นอน แล้วช่วงแรกของการทำงาน กิเลส เยอะเหลือเกิน แต่ก็ได้เงินเก็บพอสมควร หลังจากนั้นวิธีการเก็บเงินเริ่มเปลี่ยนใหม่ มีแฟน แฟนเป็นสัตวบาลโรงฟัก อยู่บริษัทเดียวกันแต่เค้าอยู่สระบุรี ส่วนใหญ่จะเจอกันตอนประชุม รักกันก็เพราะประชุมนี้แหละ (เล่าทำไมเนี้ย) เราตรงกันเรื่องความฝัน งั้นเป้าหมายเราคือเก็บเงินเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราใช้เงินกระเป๋าเดี่ยวกัน เราจะแกรงใจกันถ้าเราใช่อะไรที่มันนอกเหนือ(พิเศษ)เราจะโทรมาปรึกษากัน แต่เราจะมีขอบเขตของตัวเองอยู่ว่าใช่อะไรได้ ไม่ได้บังคับกันมากมายอะไร (เรื่องกินเหล้า เที่ยวก็เลยหมดไป )ส่วนใหญ่เค้าจะซื้อใว้ให้หมดแล้วของใช้ประจำวัน เสื้อผ้า จนถึงชั้นในเค้าก้ซื้อไว้ให้ เราก็ใช้แต่ส่วนเรื่องกิน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ (อยู่สระบุรีต้องไปขนของใช้มาจากกรุงเทพ ทั้งทีซื้อที่สระบุรีก็ได้ แต่เราก็ให้แฟนซื้อไว้ใตลอดไม่เข้าใจ)

แฟนเค้าก็เริ่มจดบันชีรายรับ รายจ่าย พอจดไปนานก็เริ่มเห็นว่าอะไรมันมากเกินไป เช่น ค่าโทรศัพย์ ค่าหนัง (ของเรา) กินข้าวนอกบ้านบ่อย พอมองเห็นว่าอะไรมาก ก็เริ่มลดไปเรื่อยๆๆ เราก็เริ่มมีเงินเก็บมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในธนาคาร เป็นบัญชีฝากประจำ แล้วก็ซื้อทองรุปพรรณ จนถึงระดับหนึ่งเราจด และลดสิ่งฟุ่มเฟือยจนนิ่ง เราก็เลยมากำหนดเงินที่ฝากแบบตายตัวเลย ว่าต้องเก็บเท่าไหร่ เงินเดือนเข้าก็ฝากเลย ที่เหลือก็ใช้ เป็นเป้าหมายก็ท้าทายมาก ช่วงนั้นก็ย้ายมาอยู่ฟาร์มที่สะบุรีแล้ว

มันก็มีเหตุการณืที่ไม่คาดคิดแม่ปุ๊กป่วยหนักแล้วก็บ้านปุ๊กที่เพชรบูรณ์ก็จะถูกยึด เงินที่เก็บก็ถูกใช่ไปเกือบหมด ต้องขอบคุณแฟนที่ช่วยเหลือ ให้ใช้เงินเพราะมันเป็นเงินที่เราเก็บด้วยกัน แล้วไม่เคยถามถึง หรือบ่นซักคำ เราก็เริ่มกันใหม่ เรียกว่า เป็นศูนย์ดีกว่า เราก็ยังใช้แผนเดิมก็คือเก็บเข้าธนาคารแล้วก็เริ่มซื้อประกันชีวิต หลังจากนั้นแฟนก็ลาออก ย้ายกลับไปอยู่บ้าน เราก็เริ่มมีปัญหาเรื่องจำนวนเงินเก็บ เพราะ แฟนมีค่าใช่จ่ายมากขึ้นเพราะมาทำงานกทม. เราก็มีค่าใช่จ่ายค่าเดินทางมากขึ้น จุดเปลี่ยนมันเริ่มขึ้นตรงนี้ วันหนึ่งเราคุยกันเรื่องเงิน ฝากตั้งนานได้ดอกเบี้ย 3 % เองหัก 15 %อีกน้อยเกินไป เราก็เลยเริ่มศึกษาหาทางเลือกอื่น ก็แหล่งความรู้ทั่วไปนั้นแหละ หนังสือ อินเตอร์เน็ท ถามเอาบ้างสองคนกับแฟนก็ช่วยกัน ได้อยู่กทม.ก็สะดวกมากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น

เราก็เริ่มต้นกันที่กองทุนแต่ตอนนั้นความรู้น้อย เสือกไปเริ่มลงทุนในตราสารหุ้น(ต้องอธิบายไหมว่ากองไหนเป็นอย่างไง)มันเป็นกองทุนที่มีความเสียงสูงสุด (เสียงสูง ผลตอบแทนสูง) นะ ช่วงนั้น ปี 50หรือ 51 มั้งหุ้นกำลังขึ้นสุงสุด ซื้อกองทุน 1 สัปดาห์ได้ผลตอบแทน เกือบ 10 % ได้มั้ง โอ้โฮ สุดยอด( ตอนนั้นมีความรู้น้อย ประสบการณ์น้อย) โชคดี กำลัง ซื้อเพิ่ม หุ้นตก ตกลง ๆๆๆ จาก พันกว่าจุด เหลือ 400 กว่าจุด ไม่รู้เรื่องอะไร เงินก้อนนั้นก็ขาดทุน เราก็ปรึกษากันใหม่เรา เรารู้แล้วว่าจะเอาเงินเก็บไปทำงานกันอย่างไง ทำอย่างไงให้มันงอกเงย เรามีเงินเก็บเราจัดสรรเงินนั้นอย่างไง หรือเรียกว่าการพอร์ตการลงทุน เราสองคนเป็นคนที่ชอบความเสี่ยงสูงทั้งคู่ พอร์ตเราก็ออกในแนวเร้าใจ (ช่วงนี้เริ่มมีความรู้ มีประสบการณ์) เงินฝากประจำครบกำหนดเราก็ย้ายมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ (ก็มีทุกธนาคารก็ศึกษาเอา) อันนี้เสียงต่ำ ผลตอบแทนใกล้เคียงฝากประจำ เป็นกองทุนยืน หลังจากนั้นก็ย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างๆ แล้วแต่จังหวะ ว่าช่วงนั้นเป็นขาขึ้นของอะไร ทอง น้ำมัน หุ้น ความเสียงก็แล้วแต่กอง ก็ได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ เรียกว่ากำไรมากว่าขาดทุน แต่เราก็ยังต้องใช้เงินลงทุนจากเงินออมนะ เงินเดือนที่หายไปอีกช่องนอกจากประกันสังคมก็ภาษี หลายตังค์เลย เค้ามีให้ลดหย่อน ก็ศึกษาใช้สิทธิ์ให้ครบ สิ่งที่ช่วยได้ก็ลงทุนใน กองทุน LTF และ RMF ก็ซื้อตามธนาคารทั่วไป

ส่วนเราต้นปีหลังจากปรับเงิน และก็โบนัสแล้ว ก็คำนวนภาษีไว้เลยว่าต้องซื้อ LTF เท่าไหร่ รู้เป้าหมายแล้วค่อยซื้อไป เอาตอนช่วงหุ้นมันลด เราก็ได้ราคาถูก กระจายไปเรื่อย ถ้าปลายปีมันจะราคาแพง หลังจากนั้นความสนุกของพร์อตเรายังไม่หมด ถ้าเราซื้อกองทุนเราจะต้องเสียค่าบริหารกองทุน งั้นเราเล่นเองเลยดีกว่า เล่นหุ้น ว้าว!! พอกันไอ้คู่นี้ (มีความรู้กับประสบการณ์เยอะขึ้น) เล่นหุ้นทำไง มันไปธนาคารไม่ได้ งั้นก็ตลาดหลักทรัพย์ เค้าก็มีอบรม จำได้ว่าช่วงนั้นเข้า กทม. ทุกอาทิตย์ไปตลาดหลักทรัพย์ ข้างศูนย์ประชุมอ่ะ (โกรธมากตอนเผาห้องสมุดมารวย) แล้วเราก็ถามกันว่ามั่นใจ เปิด พอร์ต (กระบวนการที่จะเล่นหุ้นก็ศึกษาเอา) หุ้น เยอะมาก ซื้ออะไรดี อ่าน อ่าน ดู ดู ก็คุยกัน ถ้าเงินก้อนนี้หายไปจะไม่คิดอะไร ก็ลุยเลย ก็ได้กำไรนะ ตอนแรก จังหวะหุ้นลง ก็ขาดทุน ขายไปทัน ไม่เข้าใจตลาด หลังๆก็เริ่มนิ่ง ดูจากที่เราผิดพลาด จากที่เราเคยขาดทุน จริงเล่นหุ้นไม่ยากหาหลักเราให้เจอว่าเราชอบแบบไหน หุ้นก็มีหลายแบบหุ้นเล่นรอบ หุ้นปันผล หุ้นตามข่าว ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจจริง ( ไม่อยากโม้คุณแฟน ดูกราฟหุ้นเก่งมาก ส่วนใหญ่ได้รอบได้กำไร ส่วนเราไม่ได้เรื่องเลย )

สรุปที่เล่ามาอีกที เริ่มต้นของการบริหารเงิน ก็คือเงินออม ก็ตามสมการ รายได้-รายจ่าย=เงินออม เรามีเงินเดือนเท่าเดิมอย่างนั้น เราต้องลดรายจ่าย เราก็จะมีเงินออม เราจะทำให้งอกเงยอย่างไง เพราะเราต้องต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าเราเอาเงินฝังไหไว้ ค่าเงินเราจะลดลงไปเรื่อยตาม ค่าเงินเฟ้อ ก็เลือกเอาตามที่เราถนัด ฝากกินดอกเบี้ย (ยิ่งนานยิ่งดีเพรามีดอกเบี้ยทบต้น)บางครั้งอาจสู้กับอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ เงินเก็บเราก็ติดลบอีก ก็ลองมองหา เอาว่าจะลงในตราสารต่างๆ กองทุน ต่างๆ หุ้น ทองคำ ประกันชีวิต(มีคนบอกปุ๊กว่าเอาเรื่องการลงทุนไปสอนแล้วขายประกันหน้าจะรุ่ง) อสังหาริมทรัพย์ ของมีค่าอื่น พระ เพชร อื่น ๆก็แล้วแต่ถนัด

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องมีความรู้กับมันจริงๆ มีประสบการณ์ ยึดหลักปลอดภัย เงินที่เอามาต้องเป็นเงินเย็น เพราะเรามีเวลาที่ไม่แน่นอนในการลงทุน สำหรับคนที่มีคู่ ทัศนะ ความเข้าใจในการลงทุนต้องไปด้วยกัน (ไม่งั้นตีกันตาย) สำหรับเรา เราทั้งคู่คุยกันแล้วมีจุดหมายการเงินที่เหมือนกัน คือ ระหว่างทางเราจะมีความสุข เราจะได้เที่ยว ได้ดูหนัง ซื้อหนังสือ ใช่จ่ายได้ไม่อึดอัด เราก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกเท่าที่ควร แต่เราไม่มีรถ (ก็มันลดอ่ะ แต่สังสัยปีนี้ต้องมีแล้ว) จะไม่สร้างภาระ อะไร มีใช้ในยามฉุกเฉินหรือป่วยไข้ ลองวางแผนดูกับเพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต สำหรับเราสองคนส่งน้องเรียนจบ บ้านนั้นก็ถูกเรายึด (แม่โอนให้เพราะเราเอาออกมา) มีเงินใช้ยามฉุกเฉิน แล้วใกล้จะมีที่ดินของเราแล้วนะ

----------------------------

หมายเหตุจากฉันค่ะ : ฉันชื่นชมคู่นี้ หลังจากที่ได้อ่านบันทึกนี้จบแล้ว และได้ข้อสรุปว่า คู่สำคัญมากขนาดไหน คู่ที่ดีจะชวนกันไปในทางดี และจะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันได้มาก ในยามที่อีกคนลำบาก อีกคนก็เคียงข้าง เราไม่มีสิทธิ์จะรู้เลยว่าอยู่ดีๆเราจะเจอวิกฤติในชีวิตตอนไหน เอาง่ายๆจากบันทึก อยู่ดีๆคุณแม่น้องก็ป่วยหนัก ทำให้เงินออมของน้องถูกจ่ายไปกับการรักษาคุณแม่ แล้วยังจะมีเหตุการณ์ที่บ้านจะถูกยึดอีก ถ้าวันนั้นแฟนน้องไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแล้วจะเป็นอย่างไร ( แต่ถ้าน้องมีหลักประกันให้แม่ในการซื่้้อความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลไว้ ก็จะดีกว่านี้มาก จะไม่ลำบากเลย )

ไม่มีใครบอกได้ค่ะว่าเราจะโชคดีมีคนยื่นมือมาช่วยได้ทันเวลาหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิต คือการวางแผนอย่างรัดกุม รองรับความเสี่ยงด้วยการหาหลักยึดเหนี่ยว ( ไม่ใช่บัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิตนะคะ นั่นไม่ใช่หลักยึดที่ดีเลย ) เราก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้โดยไม่ต้องตากหน้าไปขอยืมเงินใครเลย

จริงๆเราเลือกได้ทั้งนั้นค่ะว่าเราจะประมาทหรือรัดกุม รอบคอบ พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เรายังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ทรงตรัสไว้กี่พันปีมาแล้ว วันนี้ พุทธวจนะนี้ยังทันสมัยอยู่เลยค่ะ




Create Date : 22 เมษายน 2555
Last Update : 23 เมษายน 2555 13:48:21 น. 2 comments
Counter : 1275 Pageviews.

 
แวะมาเก็บเกี่ยวความรู้คะ


โดย: ไหมสีตอง วันที่: 30 เมษายน 2555 เวลา:15:58:05 น.  

 
ยินดีค่ะ

ขอบคุณที่แวะมานะคะ
B


โดย: B (bewae1001 ) วันที่: 30 เมษายน 2555 เวลา:16:08:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.