images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

it will past ... เชื่อสิ

คืนนี้ฉันไม่รีบนอน.. และอีกไม่นานคงไม่ต้องรีบแล้ว  มีความรู้สึกหลากหลาย แตกต่างกันไปแต่ละวัน แต่ที่แน่ๆคือสงบนิ่ง .. สงบได้อย่างไม่น่าเชื่อนับจากจุดที่มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

จุดสิ้นสุดของงานในระบบที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน  ราวกับมันเป็นแขนขา หรือเป็นส่วนประกอบบางอย่างในชีวิต

อืมม .. ไม่มีอะไรบางอย่าง ฉันคงไม่ตาย เพราะลมหายใจของฉันยังบอกถึงความมีชีวิต หลังจากนี้ ชีวิตที่เป็นของฉันล้วนๆ จะดำเนินไปท่ามกลางความเชื่อ

เชื่อว่าชีวิตมนุษย์มีทางเลือกมากกว่าการเกิด เติบโต เรียนหนังสือ
และเวียนวนอยู่ในระบบทุน ฉันไม่ปฏิเสธทุน แต่ไม่ชอบความร้ายกาจของคนที่ส่งเสริมให้คนไร้ศีลธรรม

แน่นอนค่ะ ฉันเคยคิดว่าตัวเองเลือกไม่ได้ แต่ที่จริงไม่่ใช่ ที่จริงคือเราเลือกเอง เลือกแล้วที่จะมีชีวิตแบบนั้น และเลือกที่จะไม่กล้าหรือเลือกที่จะกลัว

ฉันชอบคำของคุณวินทร์ เลียววาริณ ที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มใหม่   ( ไม่รีรอที่จะคว้า เพราะนี่คือการปลุกปลอบให้กำลังใจตัวเองได้ดีมาก )  คุณวินทร์เขียนว่า ทุกคนในโลกมีปัญหาทั้งสิ้น ไม่มีใครในโลกสามารถเลือกที่เกิดได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ พัฒนาตัวเองให้ก้าวพ้นข้อแม้ที่เราไม่ชอบ และเลือกไม่ได้ ไปสู่ชีวิตด้านที่เราเลือกได้

ฉันรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวา หลังการคิดและตกผลึกกับปัญหาคาราคาซัง
เพราะอย่างน้อยการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง มันเป็นสัญชาตญาณ
ที่บ่งบอกว่า เรายังอยากที่จะมีชีวิต เราจึงดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอด

และแน่นอนว่า ต้องไม่เบียดเบียนแม้กระทั่งตัวเอง และคนอื่นๆ

....

เมื่อวานนี้ ฉันโทรศัพท์คุยกับแม่นานมาก แม่ดีใจมากๆที่รู้ว่าฉันคิดและวางแผนที่จะย้ายตัวเอง กลับไปสู่ทีทางของเรา ซึ่งนานมาแล้วแม่เคยบอกให้ฉันกลับบ้าน ไปเปิดร้าน ทำมาหากินในที่ของเรา แต่ฉันก็บ่ายเบี่ยงจนแม้ล้มเลิกโครงการไป

แต่เมื่อวาน สิ่งที่เคยคิดไว้ได้ถูกนำกลับมาพูดถึง มันเป็นรูปเป็นร่างและจริงจังกว่าเก่า ฉันมีเป้าหมายเดียวที่วางไว้และต้องการจะทำให้ได้นั่นคือการกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือกับพ่อและแม่ที่บ้านเกิด ทุกอย่างอยู่ที่นั่น  รอเพียงวันเวลาอันเหมาะสม

เราจะกลับบ้านเรา และอยู่ในที่ของเรา

....

ในระหว่างที่ตระเตรียมทุกอย่าง ฉันมีโครงการที่ตั้งไว้หลายอย่าง  และอยากจะทำให้ลุล่วงก่อนจะกลับไปเป็นคนต่างจังหวัดอย่างถาวร   ซึ่งฉันกำหนดกรอบเวลาเอาไว้แล้ว

ฉันมี list ที่ยาวเป็นหางว่าว หลายอย่างเป็นความฝันที่อยู่ในลิ้นชัก และไม่ได้ทำเพราะไม่มีเวลา หลายอย่างเป็นความฝันใหม่ๆที่ฉันมองเห็นว่ามันคือโอกาสที่ควรฉกฉวย

ฉันเคยถามพี่โจ มณฑานี ว่า ถ้าเรามีเป้าหมายหลายอย่างมาก เราจะต้อง
ตัดมันทิ้งไปจนเหลือเพียงหนึ่งอย่างหรือไม่ พี่โจบอกว่าไม่จำเป็น จิตมีวาระ
ของจิต และจิตจะรู้เองว้าต้องทำอะไร ฉันไม่ค้านในข้อนี้เลย เพราะเห็น
แล้วว่ามันจริง

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชีวิตฉันราวกับจักรวาลจัดสรร มันถูกกำหนดมาแล้วจาก
จิตใต้สำนึกและความเชื่อ จึงไม่มีเหตุผลอะไรอีกที่จะสงสัยว่าทำไม เรื่องนี้จึงเกิด เรื่องนั้นจึงมา

มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยนะคะ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา

และแม้มันจะเป็นเรื่องทุกข์ เรื่องไม่ดี หรือเรื่องที่เราไม่ปรารถนา แต่เราก็ปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะมันก็มีเหตุในการมาเช่นกัน ทางพุทธเชื่อว่านี่คือกรรม มันมีเหตุที่เราทำ มันจึงมีผลเช่นนี้ ฉะนั้น อยากให้มีเรื่องดีก็ต้องสร้างเหตุดี แต่อย่าหวังผลเลิศ เพราะชีวิตมนุษย์ไม่แน่นอน และการเป็นคนดีก็ไม่ได้แปลว่าจะได้รับแต่สิ่งดีๆ

เราจึงต้อง balance ความรู้สึกของเราให้ดี ไม่ให้ทุกข์จนเกินทน ไม่ให้สุขจนหลงระเริง

ชีวิตฉันในเวลานี้ก็เป็นเช่นนี้ อยู่กับความเข้าใจที่เรามีให้ชีวิต ไม่ทุกข์ร้อน
อยู่กับปัจจุบันให้มากกว่าอดีต ฉันแปลกใจที่ตัวเองสงบและนิ่งกับทุกอย่างได้มากกว่าเก่่า แต่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะฉันพาตัวเองเข้าใกล้ธรรมะของพระพุทธองค์

และนึกถึงคำของแม่ที่ว่า .. ลูกต้องหัวเราะ สดชื่น และมีความสุข...
แม่ซึ่งมองโลกในแง่ดีสุดยอด สอนให้ฉันมีความสุขกับชีวิตทุกวัน ด้วยคำง่ายๆแค่นี้เอง

ลูกต้องมีความสุข..

It will past ..

เชื่อสิ !!!




 

Create Date : 24 มีนาคม 2555    
Last Update : 24 มีนาคม 2555 0:37:10 น.
Counter : 544 Pageviews.  

เราไม่ได้มีชีวิตเพื่ออยู่ไปวันๆ

สายวันหนึ่งขณะนั่งทำงานมีน้องมานั่งคุยด้วย มีคำถามหลายคำถาม คำบ่น คำพ้อ คำพูดที่จับสาระได้ว่า “เบื่อชีวิตที่เหมือนไร้จุดหมายนี่เหลือเกิน” อะไรกันน้อง! อายุสามสิบเท่านั้นเอง ปกติที่ฉันเคยเห็นเธอ น้องคนนี้ก็ไม่ใช่คนเงียบขรึม จมจ่อมอยู่กับตัวเองคนเดียว เธอก็ดูปกติดีในความคิดของฉัน

ฉันสงสัยว่าอะไรทำให้น้องคิดเช่นนี้ น้องอยากระบายอยู่แล้ว ( ต้องขอบคุณที่เธอเลือกมาคุยกับฉันค่ะ ) เธอจึงพรั่งพรูทุกอย่างออกมาโดยแทบไม่ต้องง้างปากพูด ทุกอย่างที่น้องพรั่งพรูออกมาล้วนสัมพันธ์กันหมด นับจากเรื่องงานที่บ่นว่าเบื่อและท้อแท้ เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ใช่งานที่ชอบ งานที่ถนัด หรืออยากทำ เลยไปจนถึงเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกิน รู้สึกเหมือนไม่มีใครเลย

“พ่อกับแม่ล่ะ” ฉันถาม น้องส่ายหน้าและบอกว่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้อยู่กับพี่สาวแค่สองคนเท่านั้น แต่พี่สาวกับเธอก็แทบไม่มีเวลาพูดคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต ( นี่ล่ะค่ะ ชีวิตในเมืองใหญ่ ที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนกับคน ในขณะที่คนก็ชอบที่จะอยู่กับโทรศัพท์มากขึ้นๆ เรื่อยๆ)

“แฟนล่ะ” ฉันถามอีก น้องให้คำตอบที่ทำให้ฉันปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกเช่นนี้ เพราะเธอบอกว่า มีแฟนก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามี ไม่ได้สนิทแนบแน่น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคู่ที่จะสร้างอนาคตไปด้วยกัน ( น่าคิดจริงๆ )

น้องทำเสียงเหี่ยวๆ และบอกว่าไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากมาทำงาน รู้สึกว่างเปล่าและกลวง เธอพูดอีก ว่าเธอใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น มาทำงานสายๆ เหมือนไม่อยากจะมา แปดชั่วโมงในหนึ่งวันที่เธอใช้ไปกับการทำงาน แทบไม่มีความรู้สึกว่ามันมีค่า ตลอดเวลาที่คุยกันเธอไม่เอ่ยถึงมุมดีๆของการทำงานให้ฉันได้ยินเลย

ฉันฟังที่เธอเล่ามาจนจบ จึงสรุปได้ว่า น้องไม่ให้คุณค่ากับการใช้ชีวิต ไม่ตระหนักถึงคุณค่าของการได้เกิดมามีชีวิต ในขณะเดียวกันก็ขาดเป้าหมายที่จับต้องได้เพื่อยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เธอจึงปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปเหมือนต้นไม้เฉาแดดเช่นนี้

ฉันไม่ได้ตัดสินว่าการที่เธอคิดอย่างนี้คือเธอคิดผิด หรือไม่ควรคิด เพราะถ้าเราไม่เป็นเธอ เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในโหมดเศร้าซึมและห่อเหี่ยว ชีวิตคนเราต่างกรรมต่างวาระ และบริบทในชีวิตของเราก็ต่างกันด้วย สิ่งที่เราทำได้ คือการรับฟังอย่างเข้าใจและให้กำลังใจเขาเท่านั้น ฉันจึงบอกน้องไปว่า การที่เธอคิดเช่นนี้ไม่ได้ผิดแม้แต่น้อย เธอมีสิทธิ์ทำอะไรอย่างไรก็ได้เพราะนั่นมันชีวิตของเธอ เธอเลือกได้ทั้งนั้น เลือกจะอยู่ไปวันๆ หรือเลือกสนุกกับชีวิต เลือกให้ชีวิตมีความหมายหรือเลือกที่จะให้ชีวิตไร้คุณค่า

น้องรับฟังในขณะที่คิดตาม ฉันจึงถือโอกาสบอกเธอด้วยความหวังดีว่า ที่เธอรู้สึกเช่นนี้ เพราะเธอไม่มีเป้าหมายในชีวิตให้เดินต่อใช่หรือไม่ เธอไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร อีกห้าปีเธอจะอยู่ตรงไหนหรือเป้าระยะสั้นก็ได้ เอาแค่ในระยะสั้นๆสักหนึ่งปี เธอได้กำหนดไว้หรือไม่ว่าเธอต้องการอะไร เธอจะนำพาชีวิตไปทางไหน หรืออย่างน้อยแค่ถามตัวเองสั้นๆว่ามีความสุขกับชีวิตทุกวันนี้ไหม ก็จะพอเดาได้ว่า เราต้องปรับหรือเปลี่ยนจุดไหนในชีวิตเราได้แล้วค่ะ นี่คือ check list ที่ฉันมักจะถามตัวเองเสมอๆ

น้องไม่มีอะไรที่ว่านั้นจริงๆ เพราะเมื่อฉันถามเธอ เธอก็นิ่งแล้วก็บอกว่า ไม่รู้ โอ้.. ไม่แปลกแล้วค่ะ ฉันบอกเธอว่ารู้ไหมที่เป็นอย่างนี้เพราะน้องขาดเป้าหมาย ชีวิตที่ขาดเป้าหมายจะเป็นชีวิตที่ล่องลอยแบบนี้ เหมือนคว้าอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรเพื่ออะไร น้องถามฉันว่าเธอควรจะทำอย่างไร ฉันจึงบอกเธอว่าในเมื่อไม่มี ก็ต้องสร้างให้มี อันดับแรกน้องต้องหาเป้าหมายให้เจอ

คิดง่ายๆแบบนี้ก็ได้ค่ะ เช่น เป้าหมายคือ การได้มีอิสระ เป็นนายตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า ดังนั้น ต้องมีเงินลงทุน ทีนี้ก็คิดต่อว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็กำหนดแผนเก็บเงินรายเดือน เป้าหมายคือจุดหมายที่เราจะต้องไปให้ถึง วิธีการคือรูปธรรมที่จะทำให้เป้าหมายเป็นจริง จากนั้นก็เดินหน้าอย่างเดียว

บางคนอาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่การเติบโตในระบบต่อไป ก็ต้องวางเป้าและวางแผนดูว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายได้ เช่น จะต้องขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนี้ภายในกี่ปีๆ กำหนดให้ชัดและเดินตามนั้นไป

ไม่สำคัญว่าเป้าหมายของเราจะต้องเหมือนของใคร มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่โตก็ได้ แต่มันจะเป็นตัวผลักดันให้เรามีแรงจูงใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น บางทีการที่เราคิดว่าเราจะอยู่เพื่อใครสักคน หรือแมวสักตัวก็ทำให้เราไม่คว้างแล้ว เราจะอยากมีชีวิตอยู่เพื่อเขา หรือคนที่มีเป้าหมายที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก เขาก็เอาจุดนั้นมาท้าทายชีวิตเขา อัจฉริยะของโลกหลายๆคนในประวัติศาสตร์ ก็ท้าทายตัวเองด้วยการมีเป้าหมายเช่นนี้ และหลายๆครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นก็เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนเราคนตัวเล็กๆ หากไม่อาจหาญพอที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบ แต่เราก็ตั้งเป้าของตัวเอง เพื่อสร้างโลกใบเล็กๆของเรา เพื่อขับเคลื่อนชีวิตได้ค่ะ

ฉันขอเพิ่มเติมว่าการให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ควรจะมากพอๆกับวิธีการที่จะเดินไปถึงค่ะ นั่นหมายความว่า จริงอยู่ที่เราวางเป้าไว้แบบนั้น แต่วิธีการเดินไปถึงของเรา ก็ไม่ควรทำให้เราต้องเหนื่อยเกินไป ไม่ใช่การตะบี้ตะบันจนหมดแรง เพราะมัวแต่จะมุ่งเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจรายละเอียดระหว่างทาง เพราะมันอาจทำให้เราพลาดอะไรดีๆไปก็ได้

อาจใช่ค่ะ ที่การให้ความสำคัญกับเป้าหมาย จะท้าทายเรามาก แต่การเหนื่อยและหมดแรงลงเสียก่อนจะได้ชื่นชมสิ่งที่หวังและฝัน ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกันไม่ใช่หรือ

การใช้ชีวิตจึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และถ้าเราใช้ให้เป็น เราจะรู้ว่าการได้อยู่ชื่นชมทุกอย่างบนโลกนี้ด้วยความรื่นรมย์ในทุกวันนั้น จะทำให้เรามีความสุขเพียงใด

การที่เรามีเป้าหมายไว้ตะกาย ก็น่าท้าทายพอๆกับการใช้ชีวิตให้ละเอียดและประณีตเช่นเดียวกัน จริงไหมคะ ?




 

Create Date : 23 มีนาคม 2555    
Last Update : 23 มีนาคม 2555 23:32:47 น.
Counter : 2164 Pageviews.  

จุดเปลี่ยนในชีวิต...

ฉันเชื่อว่าเราทุกคนต้องมี 'จุดเปลี่ยน' ในชีวิต และเชื่อว่าทุกคนจะมี 'จังหวะชีวิต' ให้ต้องพบเจอเสมอ จุดเปลี่ยนอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบเรา ไม่รู้ล่ะว่า ดี หรือไม่ดี แต่เมื่อเข้ามากระทบเราแล้วทำให้เกิดผลต่อชีวิตเรา ไม่มากก็น้อย

จุดเปลี่ยนที่ว่านี้อาจมีทั้งทำให้เปลี่ยนเอง หรือมีคนอื่นมาทำให้เราเปลี่ยนก็ได้ กรณีแรก หากเป็นการเปลี่ยนโดนตัวเองเปลี่ยน คงเป็นการเปลี่ยนด้วยความเต็มใจ ไม่เกิดผลทางใจของเจ้าตัวสักเท่าไหร่ แต่กรณีหลังค่อนข้างกระทบ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นในการทำงาน
และเกิดขึ้นกับองค์กรที่มีวัฒนธรรม Rotation คือมักจะโยกย้ายคนจากตรงนี้ไปไว้ตรงนั้น

โดยหลักการของการ rotate นั้นมีข้อดี ในแง่ที่จะทำให้ know how ไม่กระจุกอยู่กับคนๆเดียว เป็นการลดความเสี่ยงขององค์กรในแง่ของการ
จะผูกขาดคนไว้กับงาน การ rotate นั้นถ้าทำอย่างถูกต้องและอยู่ในหลักการ จะได้ประโยชน์ทั้งในแง่คนและแง่องค์กร

แต่บ่อยครั้งมากที่การ rotate มันไม่ได้ใช้อย่างถูกหลักการ คือได้ทำ
ความเข้าใจกันก่อนระหว่างองค์กรกับพนักงาน ว่ามันให้ประโยชน์
อย่างไรและส่งเสริมศักยภาพพนักงานอย่างไร แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในแง่อื่นๆ เช่นเพื่อการลงโทษหรือเพื่อการกำจัดพนักงาน
พูดง่ายๆก็คือ เป็นมาตรการที่ใช้บีบกันนั่นเอง

เมื่อตัวพนักงานที่ถูกโยกย้ายไม่ได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องว่าการโยกย้ายนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร และเพื่ออะไร การไม่สื่อสารทำความเข้าใจถึงเหตุและผลจากองค์กร ( เพราะองค์กรคิดว่าไม่จำเป็นต้องแยแสความรู้สึกของพนักงาน ) ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อองค์กร กรณีเช่นนี้สิ่้งที่องค์กรได้เสียไปแล้วอย่างถาวรคือ loyalty ที่พนักงานมีให้ เมื่อเกิดขึ้นได้หนึ่งครั้งย่อมเกิดขึ้นได้อีกหลายครั้งและแน่นอนค่ะว่า loyalty เป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างได้ภายในวันสองวันหรือไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการให้รางวัลเป็นตัวเงินเพียงเท่านั้น

ถ้าองค์กรคิดว่าพนักงานจะมาใหญ่กว่าฉันได้อย่างไร หรือองค์กรคิดว่าพนักงานเพียงคนเดียวจำเป็นต้องสนใจทำไม องค์กรคิดว่าใครใหญ่กว่ากันระหว่างองค์กรกับพนักงานตัวเล็กๆ ฉันคิดว่าองค์กรกำลังฆ่าตัวตายเองอย่างช้าๆ เพราะความจงรักภักดีหรือศรัทธาที่คนๆหนึ่งมีให้ต่อองค์กร มันตีค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ค่ะ แต่สิ่งนี้จะทำให้เกิดความยั่งยืนต่อการเติบโตขององค์กร เปรียบเสมือบการปลูกต้นไม้เล็กๆที่ต้องค่อยๆปลูกและใส่ใจ จนกระทั่งไม้ต้นนั้นเติบโตหยั่งรากฝังลึกในผืนดิน และค่อยๆขยายออกให้ร่มเงาแก่ผู้คน

การเติบโตขององค์กร ย่อมถูกขับเคลื่อนด้วยคน และคนทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบ การดูแลคนจึงเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่องค์กรต้องทำ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการพัฒนาระบบการบริหารงานบุคคล และมีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาสวัสดิการให้กับพนักงาน เพื่อดูแลให้พนักงานอยู่ดี กินดี ทำงานอย่างเป็นสุขในสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อให้ผลงานแตกหน่อออกไปเป็นผลิตภัณฑ์เสนอขายต่อผู้บริโภค หมุนเวียนมาเป็นผลกำไรต่อองค์กรต่อไป

การขับเคลื่อนองค์กรจึงควรต้องทำจากหน่วยที่เล็กที่สุดขององค์กรนั่นคือการดูแล 'คน'

ย้อนกลับมาที่วัฒนธรรมการ rotate ที่ฉันบอกแล้วว่า มันมีข้อดีนะคะ จริงๆแล้วถ้าเราใช้เครื่องมือนี้ให้ถูก การโยกย้ายที่สมเหตุสมผลและยุติธรรม จะเป็นการส่งเสริมตัวพนักงานได้มาก เพราะเขาจะได้เรียนรู้ในสิ่งอื่นที่มีประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง แต่การ rotate ต้องมีองค์ประกอบอื่นด้วย คือต้องเกิดขึ้นบนรากฐานของความยุติธรรม
( fair ) และต้องมีการเปิดใจ ( open mind ) ชี้แจงให้เห็นข้อดีของการโยกย้าย

การ rotate ต้องไม่ใช่การโยกย้ายเพื่อลดศักยภาพ เพราะนั่นไม่ใช่วิถีทางที่ควรกระทำ เนื่องจากเป็นการลิดรอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพนักงาน ( โดยพื้นฐานสิทธิมนุษยชนแล้ว คนทุกคนมีความเป็นมนุษย์เท่าๆกันไม่ว่าจะมีตำแหน่งแห่งที่เป็นอะไรก็ตาม ) หรือไม่ควรเกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าพนักงานคนนั้นมีความถนัดหรือเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือไม่

งานบางอย่างย่อมต้องการผู้มีความถนัดเฉพาะด้าน การไม่มีทักษะหรือ skill เฉพาะ หรือไม่มีพื่้นฐานแล้วต้องมาเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด องค์กรจะยอมรับความสูญเสียในแง่ของเวลาและทุนได้หรือไม่ องค์กรได้ตระหนักถึงข้อนี้หรือไม่

ในแง่ขององค์กร อาจอ้างอิงในแง่ของการปรับ หรือ re-organize
เพื่อความเหมาะสม แต่ความเหมาะสมขององค์กร บางครั้งกลับกลายเป็นดาบสองคมสำหรับองค์กรได้เหมือนกัน การใช้มาตรการ rotate จึงไม่ต่างอะไรกับการที่คนไม่ดีที่มีดาบอยู่ในมือแล้วเที่ยวไล่ฆ่าฟันคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ถ้าดาบนั้นอยู่ในมืออัศวิน เขาย่อมใช้มันเป็น เพื่อภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากหรือส่วนรวมเท่านั้น

ถ้าการ rotate เป็นไปอย่างยุติธรรม ตัวพนักงานเองก็ควรคิดว่าการ rotate ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อย่างน้อยถ้าคิดในแง่ดี มันก็ทำให้เราตื่นตัว พัฒนาตนเองให้ทันโลก ทันกระแส ได้มีทักษะเพิ่มขึ้น และอาจจะช่วยทำให้เราฟื้นจากภาวะจำเจในงานเก่าๆได้ ( ถ้าเราไม่ชอบงานใหม่
นี่จะเป็นโอกาสให้เราได้ฝึกใจ หาสุขในทุกข์ และได้ประสบการณ์ชีวิต )

และถ้าคิดตามหลักพุทธ เราจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันว่า เราไม่ควรยึดติดกับอะไรใดๆ ทุกสิ่งที่ผ่านมาให้เราเรียนรู้ เราก็เรียนรู้มันไป ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนแน่นอน ในเมื่อทุกสิ่งในโลกล้วนตั้งอยู่ในกฏเดียวกันนั่นคือกฏธรรมชาติ ทุกอย่างย่อมผุพัง เสื่อมสลายไปได้ตามกาล

หากใครที่เจอจุดเปลี่ยนทำนองนี้อยู่ ลองคิดดูว่าจะหาทุกข์จากสุขได้อย่างไรนะคะ แต่ถ้าจุดที่เปลี่ยนมันเพี้ยนเสียจนไม่ใช่ หรือว่า ดูแล้วอย่างไรก็ไม่ได้เหมาะสมกับคุณหรือฝืนเสียจนทั้งใจทั้งกายซวนเซ
ก็ควรต้องพิจารณาเปลี่ยนที่ยืน

สิ่งที่เรามีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวเราก็คืออิสรภาพในการเลือกจะใช้ชีวิต แม้บางครั้งเราไม่อยากเปลี่ยนอะไรเลย แต่การเปลี่ยนแปลงก็คือนิรันดร์ มันย่อมเกิดขึ้นได้แม้เราไม่อยากให้เกิด ใครจะไปรู้ว่ามันอาจดีกว่า หรือทำให้เราได้พบสิ่งใหม่ที่ดี หรือต่อให้มันเลวร้าย มันก็ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปได้ตลอดกาล ขอเพียงมีกำลังใจที่จะหยัดยืนและเดินต่อ

จุดเปลี่ยนย่อมไม่ใช่ทางตันค่ะ !!




 

Create Date : 17 มีนาคม 2555    
Last Update : 17 มีนาคม 2555 15:36:10 น.
Counter : 828 Pageviews.  

ชีวิตที่แท้จริงนั้นงดงาม...

เมื่่อก่อน ฉันเป็นคนไกลวัด ไกลธรรมะ แม้จะเห็นถังสังฆทาน เห็นผ้าไตร เห็นเครื่องใช้สิ่งของที่เกี่ยวกับการบวชพระ มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านพ่อบ้านแม่ แบ่งส่วนหนึ่งของร้านขายของเป็นส่วนที่ขายเครื่องพระด้วย

และแม้คุณย่าจะชอบไปวัดและหนีบหลานไปด้วยทุกวันพระ แต่หลานก็ไม่ได้อะไรกับวัดมากไปกว่าการไปเล่นสนุกประสาเด็ก

ฉันยิ่งห่างวัด ห่างธรรม ตอนที่ขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือและไม่ยอมกลับบ้านเมื่อเรียนจบ แถมยังใช้ชีวิตแบบสนุกสนาน(และมีบางจุดที่ผิดพลาด)มาตั้งยี่สิบปีเศษๆ

ฉันมาซาบซึ้งเอากับธรรมะ ก็ตอนอายุเฉียดเลขสี่แล้วนี่เอง

ฉันรู้จักศีลห้า เหมือนที่คุณรู้จัก เพราะเราก็ท่องกันมาแบบนี้ แต่เราไม่รู้ว่ามันลึกซึ้งและใช้เป็นหลักนำทางชีวิตได้ เราสักแต่ว่าท่องได้ แต่บางทีก็หลุดเมื่อไม่มีสติ -- ข้อนี้จริงนะคะ

ฉันไปวัด ไปทำสังฆทาน ไปก็ต่อเมื่อเจอเรื่องไม่สบายใจ แค่นี้เอง
แต่จริงๆไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ถ้าเราศึกษาจริงๆ เข้าใกล้ธรรมะเข้าจริงๆ
เราจะทุกข์น้อย และอาจจะไม่ทุกข์เลย เพราะธรรมะที่เฉียดเข้าใกล้ใจเราเมื่อเราโหยหาทางออกให้กับปัญหาบางอย่างนั้น มันเป็นเรื่องจริง และมันมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และเผยแผ่ธรรมมาตั้งกี่พันปีแล้ว แต่เราคนตัวเล็กๆนี่แหละ ไม่รู้จักเดินเข้าไปหา เอาใจไปใกล้ธรรม แล้วก็หาทางออกผิดๆให้กับความทุกข์ เพราะความไม่รู้ หรือเพราะความที่ใจไม่เคยสัมผัสธรรมอย่างแท้จริง

ตอนที่ฉันไปเรียนเรื่องสมาธิและจิตใต้สำนึกกับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา อาจารย์เคยบอกว่า คนที่มาหาอาจารย์ล้วนมีความทุกข์ แบกความทุกข์ ( ฉันก็แบกเหมือนกันค่ะ ) แต่จริงๆถ้าคนเราศึกษาธรรมะ ใช้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ เราจะไม่ต้องใช้จิตวิทยามาแก้ปัญหาอะไรเลย

ฉันเข้าใจที่อาจารย์พูด และยิ่งเข้าใจเมื่อพบว่า ยิ่งเข้าใกล้ธรรมะ
เราจะยิ่งเห็นว่าจริงๆแล้วหลักในการแก้ปัญหาในชีวิตของคนเรานั้น ไม่ใช่คือการเก็บเอาปัญหามาไว้กับตัว และกลุ้มกับปัญหานั้น

พูดง่ายๆคือไม่รู้จักธรรมชาติของปัญหาหรือความทุกข์ ว่ามันดับและสลายไปได้

..............

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันตื่นแต่ตีห้า ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว สวมเสื้อขาว ลงมาจากบ้านเร็วกว่าทุกวัน เพราะตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมที่บ้านบุญ ที่ปากช่องโน่น ฉันตักกับข้าวที่ทำไว้แล้วได้แก่ ต้มจืดกะหล่ำปลีเห็ดหอม ( มังสวิรัติ ) และข้าวที่หุงแล้วใส่ถุงไว้เป็นชุด ตั้งใจนำไปถวายพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ เท่าที่ฉันทราบคือท่านเป็นพระชาวอังกฤษ และท่านบวชกับหลวงปู่ชา สุภัทโท ที่ วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ท่านบวชมานานถึง 33 ปีแล้ว

และที่บ้านบุญ เราสามารถไปร่วมปฏิบัติกับผู้ก่อตั้งได้ เขาไม่มีกฏเกณฑ์อะไรใดๆมาก อยากไปก็ไปได้เลย และเวลาในการปฏิบัติ ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ ฟังบรรยายธรรมจากพระอาจารย์ ใส่บาตร และรับประทานอาหาร ทั้งหมดใช้เวลาร่วมครึ่งวันเท่านั้น

เช้านั้นอากาศที่ปากช่องดีมาก เย็นสบาย ชุ่มชื่นใจ

ตอนที่นั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า และทำสมาธิ เป็นช่วงเวลาที่สงบจริงๆ
และที่ดีไปกว่านั้น คือเมื่อได้สวดทำวัตรเช้า ภาษาบาลีที่เราเคยผ่านหูมานานและไม่รู้แปลว่าอะไร ก็ได้รู้เอาวันนั้นเองค่ะ

กลับจากปากช่อง ฉันรู้สึกสงบและเป็นสุข ทั้งที่ฉันมีปัญหาใหญ่มาก
อยู่ภายในใจ ซึ่งฉันขบคิดกับมันมานานหลายเดือนแล้ว แก้มันไปหลายเปลาะแล้ว แต่ก็ยังไม่ขาดเสียทีเดียว ปัญหามากระทบใจเป็นระลอกๆจนฉันเหนื่อยและล้า แต่ก็น่าประหลาดใจที่ เมื่อทำเป็นไม่สนใจมันบ้าง ในนาทีที่ไม่สนใจนั่นแหละค่ะ เมื่อเราปล่อยมัน วางมัน ใจเราจึงคลาย

จริงๆในบล็อกก่อนๆหน้านี้ฉันก็เคยเล่าบ้างแล้วว่า ฉันเป็นคนที่ไร้ภูมิชีวิตมากคนหนึ่ง เพราะเติบโตมาท่ามกลางความรัก การดูแลและเอาใจใส่อย่างประคบประหงมจากพ่อและแม่ ด้วยความเป็นเด็กขี้โรค
เข้าโรงพยาบาลและหาหมอบ่อยมาก การถูกเลี้ยงดูมาดีมากเช่นนี้ทำให้ฉันไม่มีวัคซีนที่จะต้านทานปัญหา และตลอดเวลาก็ไม่รู้ตัวค่ะ ยิ่งมาใช้ชีวิตห่างไกลพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ ฉันก็ใช้ชีวิตผิดพลาดไปหลายจุด สมดุลในชีวิตแทบไม่่มีเลย รู้จักแต่การทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตตามความพอใจ ไม่มี balance อะไรใดๆเลย รู้จักแต่ความสุดโต่ง
ทำอะไรตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลเสมอ แต่โชคดีที่ฉันไม่เคยคิดจะข้องเกี่ยวหรือถลำไปกับอบายมุขใดๆ ยังมีความรักดีที่พ่อกับแม่เคยพร่ำสอนเป็นเกราะคุ้มครอง และเพราะครอบครัวคือที่สุดของฉัน ฉันจะไม่ทำอะไรที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกจุดที่ฉันเชื่อว่าครอบครัวมีผลมากที่สุดกับชีวิตของเรา

เพราะความที่ไม่มี balance นี่แหละค่ะทีทำให้ชีวิตฉันเป๋ ฉันแก้ปัญหาเรื่องงานได้ แต่แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ และไม่มีหลักในการตั้งรับกับสิ่งที่มากดทับ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากด้วยซ้ำไป

เมื่อไร้หลักยึด มันจะเป็นแบบนี้ค่ะ

สิ่งที่กำลังจะบอกกับคุณก็คือว่า จริงๆแล้ว ถ้าเรารู้ตัวเร็วว่าเรากำลังเสียศูนย์จากเรื่องใดๆในชีวิต แต่เรามีหลักยึด และหลักยึดที่ดีที่สุดก็คือธรรมะ เราจะไม่เคว้ง หรือ เป๋ หรือไปไม่เป็น หรือหาทางออกไม่ได้

เอาง่ายๆแค่เวลาครึ่งวันที่ฉันไปปฏิบัติธรรมที่บ้านบุญ ช่วงเวลาแค่นั้น ธรรมะที่พระอาจารย์บรรยาย ซึ่งก๋็คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ทำให้ฉันได้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้กระจ่างชัดขึ้นมาก แน่นอนค่ะ ฉันไม่ได้กลับมาแล้วจะมาบอกว่า ปัญหาที่แบกอยู่มันถูกแก้ไปได้หมดแล้วเพียงใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ปัญหามันมีอยู่ เพียงแต่เรารู้ว่าเราควรปล่อยมันถ้าเราแก้ไม่ได้ตอนนี้

ที่สำคัญ ปัญหาทุกอย่างในชีวิตเรา มันไม่ได้เที่ยงแท้เลย ทุกอย่างมันเข้ามากระทบ และดับไป มันเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ วันหนึ่งถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เจอนั้นใหญ่แล้ว จะตายแล้ว ถ้าแก้ปัญหาแบบโง่ๆ เราก็อาจจะตายตรงนั้นจริงๆ แต่ถ้าเราคิด พิจารณา โดยรู้หลักหรือมีหลักยึด จะพบว่าปัญหาเดียวกันเมื่อสามเดือนที่แล้ว กับวันนี้ มันไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆนะคะ

ทุกอย่างจะผ่านไป และไม่มีอะไรที่จะคงทน แม้กระทั่งความทุกข์

กลับจากบ้านบุญ ฉันจึงตั้งใจสวดมนต์ทุกวัน เพราะเห็นอานิสงฆ์ของการสวดมนต์ ณ เวลานั้น ขณะที่เราสวดมนต์ ใจเราจะนิ่งสงบ เท่ากับเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง และตั้งใจทานมังสวิรัติเจ็ดวัน นับจากวันพระใหญ่มาฆบูชาที่ผ่านมา

จริงๆถ้าเราตั้งใจจริงเราก็ทำได้ค่ะ แต่ที่ผ่านมาเพราะมีข้ออ้างสารพัด เหมือนมารมาขัดไม่ให้เราได้ทำบุญ มารตัวนั้นก็คือความขี้เกียจ ความไม่ตั้งใจจริง ความประมาทต่อวันเวลาที่ยังเหลือในชีวิต ความโง่เขลาเบาปัญญา ที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของธรรมะ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราไกลจากคุณงามความดี แต่ใกล้กิเลส ที่ทำให้ชีวิตเราล่องลอย ฟุ้งเฟ้อ กลายเป็นความไม่รู้จักพอ หรือต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะไม่รู้ตัวว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่

จริงๆแล้วชีวิตก็ต้องการความเรียบง่าย และเหนือไปกว่านั้นคือความสงบ มันอาจจะไม่ได้ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรหนักหนา แม้แต่อาหารที่เราทาน มันอาจเป็นแค่อาหารธรรมดา มาจากธรรมชาติเพียงเท่านั้น น้ำเปล่าสะอาดๆ ไม่ต้องการการปรุงแต่ง และมีอากาศดีๆไว้หายใจ ง่ายๆแค่นี้ถ้าเราพอ

ชีวิตที่แท้จริงนั้นงดงามค่ะ แต่คนเรานี่แหละที่ทำให้มันยุ่งยากไปเอง
ด้วยความไม่รู้จักพอ !




 

Create Date : 10 มีนาคม 2555    
Last Update : 10 มีนาคม 2555 16:00:13 น.
Counter : 878 Pageviews.  

ดี หรือ ไม่ดี ก็มีสิทธิ์เจอเรื่องร้ายๆ ... อย่าประมาทนะคะ

มีแต่คนบ่นให้ได้ยินเข้าหูว่าอากาศร้อนมากๆ มาหลายวันแล้ว

ร้อนจริงๆนั่นแหละค่ะ เมื่อเหลือบมองดูปฏิทินก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะย่างเข้ามีนาคม แล้วเดี๋ยวก็เมษายน ถัดไปจากนั้นอีกเดือนเดียว ก็พฤษภาคม ฝนก็จะมาตามฤดูกาล

ช่วงเวลาของการผันเปลี่ยนฤดูก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตคนเราหรอกนะคะ

ดีไปอย่าง ที่ฤดูกาลผันผวน มันมาเตือนสติ ถ้าเราคิดให้ดี ธรรมชาติแปรปรวนก็สอนให้เราไม่ประมาทกับชีวิตเหมือนกัน ให้เราเตรียมพร้อมที่จะตั้งรับ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่

ไม่ต่างอะไรกับในชีวิตของเราเองจริงๆ ที่ต้องเจอกับความแปรปรวนจากเหตุต่างๆที่เข้ามากระทบ ถ้าเราไม่พร้อมตั้งรับ เราจะหยัดยืนอยู่ได้ยาก
ชีวิตมีเรื่องไม่คาดคิด ไม่คาดฝันมาให้เราตื่นตระหนกอยู่เสมอ

อย่าประมาทนะคะ

ถ้าเราคิดไม่ประมาทในทุกเรื่อง จะช่วยให้เรามีแผนสำรองหรือเตรียมพร้อมกับเรื่องร้ายทุกเรื่อง

อย่าดำรงชีวิตโดยคิดว่าเราไม่มีสิทธิ์เจออะไรแรงๆเชียว เพราะนั่นคือหายนะ

เพราะต่อให้คุณเป็นคนดีอย่างไรแค่ไหน ก็ไม่ใช่ certificate ที่จะการันตีหรือจะเป็นเกราะป้องกันเราจากเรื่องร้ายๆได้ แบบนี้ชวนให้สงสัยว่า แล้วจะทำดีไปทำไม แต่ช้าก่อนค่ะ มันคนละเรื่องกัน สิ่งดีๆที่เราทำ หรือการที่เราทำความดี เป็นสิ่งที่ทำแล้วเราได้ความสุขใจ เป็นเรื่องที่ 'ควรต้องทำ' โดยพื้นฐาน

แต่การทำดีแล้วจะไม่เจอเรื่องร้ายๆนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะโดยหลักของธรรมชาติแล้ว ทุกอย่างย่อมมาเป็นคู่ ฉะนั้น เป็นคนดี = เจอแต่เรื่องดีๆ
มันไม่ใช๊ ไม่ใช่ค่ะ มันดูจะผิดหลักไปหน่อย

ถ้าเป็นไปตามด้านบนก็แปลว่า เรามีสิทธิ์จะเจอเรื่องร้ายๆได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติ ( เช่นสุข และ ทุกข์ เรามองว่าสุข = ดี ทุกข์=ไม่ดี )

ฉะนั้น ต่อให้เป็นคนดี ก็เจอเรื่องไม่ดีได้ ไม่เกี่ยวกัน และไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

ในเมื่อฤดูกาลในชีวิตเราหาความแน่นอนไม่ได้ มันปรวนแปรเหมือนฤดูกาลในธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เราโต้ลมโต้คลื่นได้โดยไม่เจ็บตัวมากนักคือ เราไม่คิดประมาท นะคะ

เอาเข้าจริงๆคำพูดนี้ก็เป็นธรรมะ และธรรมะนี่แหละค่ะสอนเรา

...

ลองคิดดูสิคะว่าเราจะสามารถทำให้คำๆนีั้เป็นรูปธรรม เมื่อถึงเวลาหนึ่งมันจะช่้วยชีวิตเราได้อย่างไร

ถ้าวันนี้ต้องเจอเรื่องฉุกเฉิน ร้ายแรง เราจะอุ่นใจได้ไหม ว่าในช่วงที่เรายังลูกผีลูกคนอยู่นั้น เราจะยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน
หรือว่าเราจะยังกินได้ นอนหลับ มีสติลุกขึ้นมาจัดการชีวิตได้อย่างไร

ไม่ประมาทเรื่องงาน ก็คือทำงานให้ดี
( เบื้องต้นนะคะ แต่มันมีเบื้องหลังที่ต้องคิดต่ออีกสำหรับเรื่องนี้ เพราะการทำงานดีนั้น อยู่ที่ใครจะเป็นคนตัดสินคุณนะคะ ไม่ใช่ลำพังเพียงแค่ตัวคุณเอง ฉันจะแชร์เรื่องนี้ในบล็อกถัดๆไปค่ะ 18 ปีกับการทำงานในระบบ ฉันได้รู้ทุกรสชาติของมันแล้ว บอกได้คำเดียว การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น ใช่้ว่าจะฝากชะตากรรมไว้กับบริษัทฯได้ )

ไม่ประมาทเรื่องเงิน ก็คือเก็บออมและทำให้เงินงอกเงย โดยเฉพาะเงินออมเผื่อฉุกเฉิน สำคัญมากถึงมากที่สุด
ไม่ประมาทเรื่องรถ คือขับรถไม่เร็ว ตรวจตราทุกอย่างอยู่เสมอ
ไม่ประมาทเรื่องชีวิต ก็คือดูแลชีวิตให้อยู่ในกรอบที่ดี มีศีลธรรม

ฉันว่าเรื่องที่เราไม่ควรประมาทในชีวิต เรื่องใหญ่ๆนั้นมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าแต่ละเรื่องนั้น เราได้คิดถึงมันบ้างไหม หรือว่าไม่ได้คิดอะไรเลย หรือคิดว่าอะไรที่ดีอยู่แล้วมันก็จะดีอยู่อย่างนั้น มันไม่มีวันที่จะไม่ดีไปได้หรอก ขอบอกว่าการคิดประการหลังนี้ผิดถนัดและประมาทโค- ตะ- ระ เลย

จู่ๆฝนก็ตกไม่รู้ตัว จู่ๆพายุก็ซัดเข้ามากวาดทุกอย่างพังพินาศ มันเกิดขึ้นได้แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตคนเรา มันบอบบางและ out of control ขนาดนั้น

โปรดระวังค่ะ !!




 

Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 9:34:54 น.
Counter : 709 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.